สตรีอย่างฮูหยินติงนั้น แม้จะเอ็นดูเด็กที่อ่อนโยน ว่านอนสอนง่าย และเฉลียวฉลาด ทว่ากลับเคารพคู่ต่อสู้ที่มีกำลังที่แท้จริงแข็งแกร่งมากกว่า
ตระกูลหลี่มีเจียงเซี่ยนเป็นพลังช่วยเหลือ การเลื่อนตำแหน่งอย่างเร็วมากก็กำลังจะเป็นจริงในอีกไม่นานแล้ว
หากเจียงเซี่ยนมีความสามารถในการควบคุมตระกูลหลี่ นั่นก็ยิ่งไม่อาจดูถูกได้
ฮูหยินติงถามติงหวั่นลูกสาวที่อยู่ในรถคันเดียวกันว่า “แล้วคุณหนูเกานั่นใครกัน?”
ติงหวั่นยิ้มและเอ่ยว่า “ท่านแม่ จำไม่ได้แล้วหรือ! ตอนที่ตระกูลหลี่เพิ่งมาไท่หยวน ฮูหยินเหอเคยเลี้ยงอาหารในบ้านครั้งหนึ่ง ตอนนั้นพวกนางยังอยู่ที่กองบัญชาการ ท่านพาข้าไปด้วย มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุใกล้เคียงกับข้ายืนอยู่ข้างกายฮูหยินเหอตลอด และคอยดูสาวใช้กับหญิงรับใช้ในบ้านนำชากับของว่างมา ท่านยังชมเด็กผู้หญิงคนนั้นว่าท่าทางสวยงามและสุภาพ แล้วถามฮูหยินเหอว่าเป็นใคร? ตอนนั้นฮูหยินเหอบอกว่าเป็นหลานสาวของนาง…”
ฮูหยินติงเข้าใจทันที และเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้คิดไปถึงตรงนั้น คิดว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นแซ่เหอ ที่แท้นางก็คือคุณหนูเกา”
ในความคิดของนาง เกาเมี่ยวหรงเรียบร้อย เคร่งขรึม และอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นเด็กผู้หญิงที่โดดเด่นมากคนหนึ่ง
“นางมีความขัดแย้งกับท่านหญิงได้อย่างไร?” ฮูหยินติงเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
จุดยืนของฮูหยินติง หากเด็กผู้หญิงคนนี้มีความขัดแย้งกับเจียงเซี่ยน ตระกูลติงจะต้องห่างเหินกับนาง
ทว่าพอนึกถึงรอยยิ้มที่เยือกเย็นของเกาเมี่ยวหรงในตอนนั้น ฮูหยินติงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ติงหวั่นได้ยินก็หัวเราะและเอ่ยว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรล่ะ? จะให้ข้าไปสืบให้ท่านสักหน่อยหรือไม่?”
ประโยคนี้กลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว
ฮูหยินซือวางมาด เวลามีเรื่องอะไร ตนเองไม่ไปที่จวนสกุลหลี่ กลับส่งลูกสาวไปขอให้เกาเมี่ยวหรงออกหน้า
ฮูหยินติงกับฮูหยินหลี่ต่างก็ไม่เข้าใจ
ติงหวั่นจึงอธิบายให้ทั้งสองคนฟัง
ฮูหยินติงได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและด่าว่า “มีแต่เจ้านี่แหละที่พูดเก่ง! เรื่องแบบนี้อย่าเผยแพร่ส่งเดชอีกเลย ระวังกำแพงมีหูประตูมีช่อง”
“ที่นี่ก็ไม่มีคนอื่นเสียหน่อย! ใช่หรือไม่? ท่านป้าหลี่!” ติงหวั่นเอ่ยพลางกอดแขนของฮูหยินหลี่ แล้วออดอ้อนว่า “เรื่องตลกของตระกูลซือแพร่ไปทั่วแล้ว เพียงแต่ไม่เข้าหูผู้ใหญ่อย่างพวกท่านเท่านั้นเอง เรื่องนี้สามซือเป็นคนพูดออกมาเอง นางภูมิใจกับเรื่องนี้!” ติงหวั่นเอ่ยพลางซบไหล่ของฮูหยินหลี่ “ท่านแม่ ตระกูลซือมีเรื่องอะไรต้องขอร้องตระกูลหลี่หรือ? ในความคิดของข้า ทั้งสองตระกูล ตระกูลหนึ่งบุ๋น ตระกูลหนึ่งบู๊ เดินคนละทางกันด้วยซ้ำ”
ฮูหยินติงไม่อยากบอกติงหวั่น “เป็นเด็กเป็นเล็ก จะกังวลเรื่องพวกนี้ไปทำไม? นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่!”
“ท่านนี่น่าเบื่อจริงๆ!” ติงหวั่นทำแก้มป่อง “ตอนที่ถามข้า อยากจะให้ข้ารู้ทุกอย่าง? ตอนที่ข้าขอคำแนะนำจากท่าน ท่านไม่บอกอะไรข้าเลย? หรือว่าอยากจะให้ข้าเป็นเหมือนพี่อวิ๋นอย่างนั้นหรือ!”
พี่อวิ๋นที่ติงหวั่นเอ่ยนั้น เป็นลูกของลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวของติงหลิว ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือนิสัยต่างก็ไม่เป็นสองรองใคร คนในครอบครัวเอาแต่เลี้ยงให้สุภาพและเยือกเย็น ใครจะรู้ว่าหลังจากแต่งงานกลับถูกเมียบ่าวของสามีอาศัยช่องโหว่และถูกปรักปรำ จนกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตาย
ฮูหยินติงได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ
ฮูหยินหลี่ก็ยิ้มและจิ้มหน้าผากของติงหวั่น แล้วเอ่ยว่า “เจ้านี่นะ พยายามพูดสิ่งที่ทำให้แม่เจ้าลำบากใจ! เรื่องนี้บอกเจ้าก็ไม่เป็นไรเช่นกัน แต่เจ้าจะพูดออกไปมั่วซั่วไม่ได้ ตระกูลซือนั้นเมื่อก่อนเป็นเพียงตระกูลที่ยากจนและล้าหลังมาก ใต้เท้าซือสอบผ่านระดับเซียงซื่อ ตระกูลซือจึงลืมตาอ้าปาก ก็ย่อมอยากทำการค้าสักหน่อย และบังเอิญใต้เท้าซือควบคุมการเงินกับเสบียงอาหารในเมืองไท่หยวนพอดี คนของตระกูลซือจึงเริ่มทำการค้าเสบียงอาหาร ถึงแม้หลายปีนี้ชายแดนจะสงบมาก ทว่าที่อื่นต่างก็วุ่นวายเล็กน้อย มักจะมีพ่อค้าเสบียงอาหารถูกปล้น ตระกูลซือจึงอยากให้ตระกูลหลี่โยกย้ายฐานที่มั่นซานซีไปติดตามรถและดูแลสินค้าให้พวกเขา!”
เรื่องแบบนี้ติงหวั่นรู้
แต่ละกองบัญชาการต่างมีภารกิจฝึกฝน
ฉวยโอกาสย้ายองครักษ์ของแต่ละฐานที่มั่นไปไถนาทำการเกษตรเป็นเรื่องธรรมดา จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงงานอย่างการติดตามรถและดูแลสินค้า
แถมยังแค่ต้องดูแลอาหารสามมื้อ ไม่ต้องจ่ายเงิน
แน่นอนว่า กองบัญชาการไท่หยวนก็มีฐานที่มั่นเหมือนกัน ทว่านั่นเป็นของส่วนตัวที่ไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าไปแทรกแซงของจินไห่เทา ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะยืมได้หรือไม่ ต่อให้ยืมได้ เงินนั้นก็คงจะไม่น้อยเช่นกัน และบางทีอาจจะแพงกว่าเชิญสำนักคุ้มภัยเสียอีก
ติงหวั่นอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
ฮูหยินหลี่ก็เอ่ยกับฮูหยินติงว่า “ข้าว่า…ยังต้องลองสืบดูจริงๆ ว่าทำไมเจียงเซี่ยนถึงไม่ชอบคุณหนูเกา ช่วงสิบปีนี้ตระกูลหลี่ไม่มีทางที่จะไม่เคารพท่านหญิง!”
การดำรงอยู่ของเจียงเซี่ยน ก็หมายความว่าตระกูลหลี่สามารถพึ่งพาตระกูลเจียงได้ แต่หลังจากสิบปี หากเจียงเซี่ยนไม่สามารถให้กำเนิดลูกชายได้ หรือระหว่างสามีภรรยาไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้เพราะความแตกต่างของชาติกำเนิดและการอบรมสั่งสอน ความรักนับวันยิ่งจืดจาง หลี่เชียนกับเจียงเซี่ยนต่างคนต่างใช้ชีวิตแล้ว นี่ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
อย่างน้อยตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหลี่หรือหลี่เชียน ก็ไม่อาจเมินเจียงเซี่ยนได้
นอกเสียจากว่าพวกเขาไม่ไปมาหาสู่กับตระกูลหลี่ ไม่อย่างนั้นก็ต้องให้ความสำคัญกับความชอบของเจียงเซี่ยนอย่างแน่นอน
ฮูหยินติงพยักหน้า พลางนึกถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินจากที่ไปตระกูลหลี่ในวันนี้ “เจ้าเห็นหรือไม่ พวกสาวใช้ที่เข้าเวร แต่ละคนต่างยืนตัวตรง ปกติไม่เอ่ยปากง่ายๆ พอเอ่ยปากพูดก็จะยิ้มเล็กน้อย ดูหน้าตาเต็มไปด้วยความสุข ทำให้คนเห็นแล้วอารมณ์ดีขึ้น…เหมือนพวกนางในที่พวกเราเห็นในวังหรือไม่”
“เหมือน!” ฮูหยินหลี่เอ่ย
เมื่อก่อนสามีของทั้งสองคนต่างเคยเป็นขุนนางที่เมืองหลวง หลังจากนั้นถึงจะถูกส่งมาเป็นขุนนางท้องถิ่น
พวกนางเคยเข้าร่วมการประชุมว่าราชการครั้งใหญ่ และเข้าวังไปคุกเข่าคำนับเฉาไทเฮาวันที่หนึ่งกับวันที่สิบห้า เพียงแต่เฉาไทเฮาชอบนั่งรับการคำนับจากขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่ตำหนักจินหลวนมากกว่า ดังนั้นนอกจากวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งแล้ว เวลาอื่นสตรีบรรดาศักดิ์ข้างนอกล้วนไม่จำเป็นต้องเข้าวังไปคารวะนาง ดังนั้นฮูหยินติงกับฮูหยินหลี่จึงได้เข้าวังไม่กี่ครั้ง จึงจดจำได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
“เจ้าเห็นอาหารที่เตรียมวันนี้หรือไม่?” ฮูหยินหลี่พึมพำว่า “นำอาหารมาก่อน แล้วก็ผลไม้สดสี่ ผลไม้แห้งสี่ ผลไม้ที่ทำจากไม้ ดิน และขี้ผึ้งสำหรับชมสี่ ผลไม้เชื่อมสี่ อาหารเรียกน้ำย่อยห้าอย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่าง อาหารจานใหญ่ห้าอย่าง ของว่างที่ทำจากแป้งสองจาน แล้วก็อาหารจานใหญ่อีกห้าอย่าง ของว่างที่ทำจากแป้งสองจาน ข้าวต้มหนึ่งอย่าง ผลไม้หนึ่งจาน ชาหอมหนึ่งถ้วย เป็นการจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกในวังอย่างสิ้นเชิง”
ฮูหยินติงพยักหน้า และเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังเล็กน้อยว่า “ในนั้นมีแตงกวาดอง ที่เหมือนกับที่ข้าได้กินในวังไม่มีผิด เจ้าว่า…ท่านหญิงคงจะไม่ได้พาพ่อครัวหลวงมาใช่หรือไม่?”
“พาพ่อครัวหลวงมาหรือไม่นั้นข้าไม่รู้” สีหน้าของฮูหยินหลี่ก็จริงจังเล็กน้อยเช่นกัน “ข้ารู้ว่านางพาหมอมาคนหนึ่ง ได้ยินว่าเป็นหลานของหมอหลวงเถียนสำนักหมอหลวง ตอนข้าอยู่ที่ต้าถงเคยได้ยินฮูหยินฉีเอ่ยว่า ท่านหญิงร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หมอหลวงเถียนเป็นคนตรวจชีพจรด้วยตนเองมาตลอดด ในเมื่อหมอหลวงเถียนแนะนำหลานคนนี้ของเขาให้ท่านหญิง ฝีมือในการรักษาจะต้องเหนือกว่าผู้อื่นอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ถนัดกุมารเวชหรือสูตินรีเวช…”
แม้เจียงเซี่ยนจะแต่งงานแล้ว แต่นางอายุแค่นั้น ในสายตาของฮูหยินติงกับฮูหยินหลี่ นางก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งอยู่ดี
ทั้งสองคนอดที่จะแลกเปลี่ยนสายตากันไม่ได้
หมอดังหายาก!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่ถนัดกุมารเวชกับสูตินรีเวช
สำหรับเหล่าสตรีเรือนด้านในอย่างพวกนางก็เท่ากับการมีอยู่เหมือนยาวิเศษช่วยชีวิต
ทั้งสองคนต่างพุ่งเป้าไปที่ฉางเหริ่นตง
แน่นอนว่าฉางเหริ่นตงย่อมไม่รู้
เขามาตรวจชีพจรให้เจียงเซี่ยนตามปกติ และหลังจากจัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยกับเจียงเซี่ยนอย่างจริงจังมากว่า “ท่านหญิง อากาศยิ่งร้อน ยุงก็ยิ่งบินไปบินมาบ่อย ข้าคิดว่าข้าควรจะปรุงยาแก้คันให้ท่านสักหน่อย ท่านถูกกัดแล้ว จะได้ไม่ปลุกข้าขึ้นมาจากเตียงเพียงเพื่อทายาแก้คันให้ท่านเล็กน้อยตอนดึกดื่นเที่ยงคืน”
ฉางเหริ่นตงยังคงหัวเราะเยาะที่ครั้งก่อนพวกเขาวุ่นวายไปหมด