ตอนที่ 99 สนามรบ
หลังจากปราบราชันหมาป่าเสร็จ หยางเย่ยังได้รับของที่ไม่คาดคิดมา นั่นคือของสะสมของราชันหมาป่า ในคลังนั้นดูทรุดโทรมเล็กน้อย และมีเพียงสมุนไพรวิญญาณอยู่สิบกว่าต้น ยิ่งกว่านั้นคุณภาพของพวกมันยังไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ มีเพียงสามชิ้นที่เป็นสมุนไพรวิญญาณขั้นสีดําระดับต่ำ นอกนั้นเป็นสมุนไพรจิตวิญญาณธรรมดา
ด้วยความมั่งคั่งของหยางเย่ สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้จึงไม่ค่อยมีค่าเท่าไหร่นัก แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย!
หลังจากราชันหมาป่าหาถิ่นฐานให้ฝูงหมาป่าแล้ว หยางเย่ก็ได้เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
เป้าหมายของเขาตอนนี้คือสัตว์อสูรราชันที่เทือกเขาแห่งความตาย สัตว์อสูรราชันตนนั้นทําให้ทั้งสีเงินและสีหมอกถึงกับแสดงอาการหวาดกลัวออกมา
หยางเย่ทราบดีว่าสัตว์อสูรราชันที่ทําให้ราชันหมาป่าผู้มีความภาคภูมิใจสูงเผยอาการกลัวได้มันต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอนที่จะปราบ แต่เขาหาได้หวาดกลัวไม่ หากสู้ไม่ได้ขึ้นมาเขาจะหนึ่งั้นหรือ?
ด้วยการมีสหายตัวจ้อและสัตว์อสูรราชันอีกสองตัว หากไม่มีสัตว์อสูรจิตวิญญาณปรากฏขึ้น เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะต้องเกรงกลัวไม่ได้
รู้สึกมีพลังอํานาจและความกล้าอย่างมาก
ด้วยความเร็วของสีหมอก หยางเย่ได้มาถึงยังหุบเหวมรณะ เขารู้สึกมึนงงเล็กน้อยเมื่อจ้องลงไปมองหมอกสีม่วงด้านล่างเหว ใครจะไปคาดคิดว่าใต้นั้นจะเต็มไปด้วยโครงกระดูก ใครจะไปคาดคิดว่าด้านล่างนั้นจะมีภูเขาที่งดงามมากมายและแม่น้ำที่สดใส? ใครจะคาดคิดว่าด้านล่างนั้นจะมีชายชราลึกลับแข็งแกร่งอาศัยอยู่?”
เมื่อนึกถึงชายชราคนนั้น ท่าทีของหยางเยเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที เขาไม่ทราบ ว่าชายชราคนนั้นแข็งแกร่งเพียงใด สิ่งเดียวที่ทราบคือแม้จะเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจุติก็ยังไม่สามารถสร้างค่ายกลเช่นนั้นได้
หยางเย่ยังสงสัยว่าเหตุใดชายชราถึงมอบเคล็ดวิชาและของวิเศษขั้นปฐพี่ให้ทันทีที่พบกันครั้งแรก เขาไม่กล้าคิดว่าตนเองมีบางสิ่งที่ดึงดูดชายชราให้สนใจ แต่ก็มีเพียงเท่านั้นที่มันจะเป็นไปได้ สําหรับเหตุผลอื่นเขาไม่ทราบโดยแท้จริง
ผ่านไปครู่หนึ่งหยางเย่ระงับความคิดทั้งหมดไว้ก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าเราจะต้องหาวิธีกลับไปข้างล่างนั้นอีกสักครั้ง มันคงดีหากเราสามารถเข้าไปศึกษาบางอย่างเพิ่มได้!”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาไม่รอช้าพร้อมสั่งให้สีหมอกพุ่งไปทางเทือกเขาแห่งความตาย
ตามคํากล่าวที่เล่ากันไว้ เทือกเขาแห่งความตายเป็นที่อยู่ของราชันหมีพสุธา หมีพสุธาไม่ได้อยู่ในเขตแดนนี้มาก่อน แต่มันก็ได้ปรากฏตัวที่เทือกเขาแห่งความตายมานานแล้ว เมื่อพวกมันมาถึงเทือกเขานี้ บรรดาสัตว์อสูรทั้งหลายภายในเทือกเขานี้ก็ถูกขับไล่ออกไปหมดสิ้น
แน่นอนว่าสัตว์อสูรเหล่านั้นไม่ได้ออกไปอย่างเต็มใจ แทบทุกวันจึงเกิดการต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรขึ้น ทุก ๆ การต่อสู้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหมีพสุธา หลังจากสงครามระหว่างหมีพสุธากับสัตว์อสูรที่เคยอยู่ในที่แห่งนี้จบลง หมีพสุธาก็ได้ครองแขตแดนนี้อย่างเต็มตัว
เมื่อสัตว์อสูรทั้งหลายไม่สามารถเอาชนะ พวกมันจึงทําได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้
โชคดีที่หมีพสุธาพอใจแค่นั้น มันไม่ได้ตามไล่ล่าสัตว์อสูรตัวอื่นอีก ยิ่งกว่านั้นสัตว์อสูรตัวอื่นยังสามารถเข้ามาในเขตแดนเพื่อหาสมุนไพรวิญญาณได้ ด้วยเงื่อนไขเท่านี้จึงไม่ได้ทําให้หมีพสุธาขุ่นเคือง แต่หากมีมนุษย์เหยียบเข้ามาในเทือกเขาแห่งนี้ เช่นนั้นมันจะไล่ล่าอย่างไม่ปรานี
ดังนั้นเมื่อหยางเย่ตั้งใจจะเข้าไปในเขตแดนหมีพสุธา ราชันหมาป่าจึงแสดงท่าที่ต่อต้านเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นหยางเย่มากับมิงค์ม่วงและสีหมอก ราชันหมาป่าจึงไม่เปลี่ยนความคิด
และอันที่จริงหมีพสุธาก็เป็นแค่สัตว์อสูรราชัน ตราบใดที่มันไม่ใช่สัตว์อสูรจิตวิญญาณ ด้วยความสามารถของกลุ่มพวกเขา แม้จะไม่สามารถเอาชนะได้ก็สามารถเอาตัวรอดได้
ราชันหมีพสุธาอาศัยอยู่ในหุบเขาเล็ก ๆ ในเขตแดนนั้น หยางเย่มาถึงอย่างรวดเร็วจากการนําทางของราชันหมาป่า
เมื่อหยางเย่มาถึงยังเขตแดนหมีพสุธา เสียงระเบิดได้ดังก้องมาแต่ไกล หยางเย่หยุดเคลื่อนไหวพร้อมมองไปข้างหน้า “มันกําลังต่อสู้อยู่งั้นหรือ?”
หยางเย่เก็บราชันหมาป่าทั้งสองไว้ในตันเถียนน้ำวน จากนั้นเขานํามิงค์ม่วงออกมาอยู่ข้างกายก่อนจะพุ่งเข้าไปยังสถานที่นั้น
ส่วนเหตุผลที่เขาเก็บหมาป่าทั้งสองไว้ก่อน เพราะหยางเย่เกรงว่าจะมีคนกําลังสู้อยู่กับหมีพสุธา เพราะมันจะเป็นสิ่งที่ชวนตกตะลึงอย่างมาก หากมีคนเห็นมนุษย์อยู่สัตว์อสูรราชันถึงสองตัว
ไม่นานหยางเย็ได้ไปถึงต้นไม้ที่เป็นรังของหมีพสุธา เมื่อมองผ่านช่องใบไม้ออกไป เขาเห็นคนแปดคนกําลังต่อสู้อยู่กับราชันหมีพสุธาที่ตัวใหญ่โตกว่าราชันหมาป่า คนทั้งแปดยังดูหนุ่มแน่นกันอยู่ พวกเขาอายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี สิ่งที่ทําให้หยางเย่ตกตะลึงคือทั้งแปดคนเป็นยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ และเขาก็เข้าใจทันทีที่เห็นตราสัญลักษณ์บนเสื้อของทุกคน
เพราะทั้งแปดคนน่าจะเป็นศิษย์ของหกมหาอํานาจ และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะเป็นยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ด้วยอายุเพียงเท่านี้
แต่หยางเย่ยังคงสงสัยว่าเหตุใดพวกเขาถึงได้มาสู้กับราชันหมีพสุธา เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขามาล่าแก่นภายในกับหนังหมีเพื่อเงิน?
อันที่จริงแก่นภายในของราชันหมีนั้นนับว่ามูลค่าสูงมาก ผิวหนังของหมีพสุธานั้นก็มีมูลค่าสูงเช่นกัน กล่าวได้ว่าหนังของสัตว์อสูรขั้นราชันขึ้นไปนั้นมันของมีราคาหมด
“อ๊ะ?” ทันใดนั้นหยางเย่มองไปยังสตรีคนหนึ่งในแปดคนนั้น เพราะเขาค่อนข้างประหลาดใจ เมื่อเห็นสตรีผู้นั้นคือศิษย์สํานักดาบราชัน ชิงเสวีย
พวกเขาทั้งแปดไม่ได้ต่อสู้กับราชันหมีพสุธาอย่างที่หยางเยสู้กับราชันหมาป่า พวกเขาใช้เล่ห์เหลี่ยมและเคล็ดวิชาอันทรงพลังเข้าต่อสู้ และยังหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงกับมัน แต่ผลที่ได้ไม่ค่อยออกมาดี กระบวนท่าแพรวพราวทั้งหลายไม่สามารถทําให้ราชันหมีสะดุ้งสะเทือนเท่าไหร่นัก
หยางเย่กวาดสายตามองคนทั้งแปดก่อนจะมองไปที่ชายคนสุดท้าย เพราะเขาผู้นั้นมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในหมู่คนทั้งแปด ชายผู้นั้นถือหอกทมิฬในมือ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่หอกธรรมดา ทุกครั้งที่ชายผู้นั้นเหวี่ยงหอก มันจะสร้างภาพติดตาไว้ข้างหลัง และทุกครั้งที่โจมตีโดนราชันหมีมันจะสร้างบาดแผลเลือดออกไว้
ชายผู้นั้นเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเจาะหลวงเกราะป้องกันของราชันหมีโดยไม่ใช้เคล็ดวิชาใด แต่มันก็เป็นทั้งหมดที่เขาทําได้ แผลจุดแต้มเล็กราวกับยุงกัดไม่สามารถทําอะไรราชันหมีพสุธาได้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง หากใครคนใดคนหนึ่งโดนกรงเล็บหมีเข้า คนผู้นั้นจะต้องเละเป็นข้าวต้มแน่นอน
“เราจะเข้าไปหลังจากพวกเขาแพ้!” ข้อสรุปเดียวที่หยางเย่ทราบคือ พวกเขาไม่สามารถสังหารราชันหมีพสุธาตัวนี้ได้แน่นอน แต่หยางเย่ก็สงสัยเล็กน้อย เพราะราชนหมีพสุธาตัวนี้ดูไม่ค่อยร้ายกาจอย่างที่ราชันหมาป่าบอกไว้ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น?”
ในสนามรบ ชิงเสวียกําลังเคลื่อนที่โดยโจมตีอย่างรวดเร็วพร้อมหลบหลีกไปด้านข้าง ตั้งแต่เข้าสู่การต่อสู้กับราชันหมีพสุธา นางก็ได้ใช้ความคล่องแคล่วเฉพาะตัวเพื่อจู่โจม ทั้งยังสามารถสร้างรอยถลอกเล็กน้อยให้ราชันหมีได้ แต่ถึงแม้จะทําสุดความสามารถ นางก็ยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจอยู่ดี ถูกต้อง นางรู้สึกเสียใจที่เข้าร่วมล่าราชันหมีพสุธา
หากศิษย์ของสํานักดาบราชันต้องการทรัพยากรเพิ่ม พวกเขาต้องรับภารกิจของสํานัก นางยังไม่สามารถเข้าสู่เทียบอันดับสํานักนอกได้ในตอนนี้ ดังนั้นจึงทําได้แค่รับภารกิจในสํานักเท่านั้น นางมายังขุนเขาไม่สิ้นสุดเพราะรับภารกิจล่าสัตว์อสูรทมิฬระดับเก้า และก็ได้เข้าร่วมกลุ่มนี้ขณะทําภารกิจ พวกเขาทุกคนเป็นศิษย์ต่างสํานักกัน และมายังขุนเขาไม่สิ้นสุดเพื่อฝึกฝนตนเอง ภายใต้การหลอกล่อของพวกเขา นางไม่สามารถปฏิเสธการชักชวนได้
มีภารกิจมากมายในสํานักที่ต้องใช้เส้นเอ็นและโลหิตของสัตว์อสูรราชัน ดังนั้นหากนางสามารถสังหารสัตว์อสูรราชันตัวนี้ได้ นางก็จะได้รับส่วนแบ่งเล็กน้อยแม้ความสามารถจะด้อยสุดในกลุ่มก็ตาม ด้วยโลหิต เส้นเลือด และวัตถุดิบอื่น ๆ จากสัตว์อสูรราชัน นางจะสามารถใช้มันแลกเปลี่ยนกับทรัพยากรบ่มเพาะพลังได้
ความคิดของนางนั้นยอดเยี่ยม แต่ความเป็นจริงกลับโหดร้าย
ในตอนแรกนางคิดว่าพวกเขาที่เป็นถึงยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์จากสํานักอื่นจะแข็งแกร่งพอ ดังนั้นนางจึงเข้าร่วมด้วย แต่ความจริงอันโหดร้ายที่ว่าเคล็ดวิชาปราณดาบของนางไม่สามารถทําอะไรมันได้ ยิ่งกว่านั้นหากหลบพลาดเพียงครั้งเดียว นางอาจจะถูกพลังโจมตีของมันตบเข้าถึงตายได้!
ดังนั้นนางจึงรู้สึกพลาดที่เข้าร่วมกลุ่มนักล่า เพราะสัตว์อสูรราชันตนนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อกรได้เลย นางสามารถออกไปได้ตอนนี้ แต่ก็ยังไม่ไปไหน
ชิงเสวียไม่มีสิ่งใดจะตําหนิเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของศิษย์โรงเรียนปราชญ์ผู้นี้ แต่นางไม่อาจชมเชยในตัวตนของเขา อย่างที่ข่าวลือว่ากัน ศิษย์โรงเรียนปราชญ์มักจะทระนงตนและหยิ่งผยองเมื่อพวกเขาอยู่ต่อหน้าศิษย์สํานักอื่น
สําหรับชิงเสวียคิดว่าสิ่งนี้เป็นเพียงเรื่องธรรมดา แต่ก็ไม่สามารถเลี้ยงได้ว่าความแข็งแกร่งของเขาร้ายกาจที่สุดในคนทั้งแปด
หอกได้แทงเข้าไปที่ท้องของราชันหมีพสุธา จากนั้นเขาหมุนควงก่อนจะดีดตนเองกลับหลังเพื่อหลบหลีกอุ้งตีนราชันหมี
ขณะที่เขาโคจรพลังปราณไปทั่วร่างกาย ชายหนุ่มผู้นั้นขมวดคิ้วแน่นพร้อมหันไปมองพุ่มไม้หนาพร้อมกล่าวในใจ ยังไม่เสร็จอีกหรือ?”
ขณะที่เขากําลังจะโจมตีอีกครั้ง ได้มีเสียงหนึ่งดังก้องออกมา “เจียงเหว่ย ถอยเร็ว!”
ทันทีที่ได้ยินชายถือหอกเผยอาการดีใจออกมา ทันใดนั้นเขากระทืบเท้าพร้อมพุ่งออกไปจากสนามรบ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนี้ ทําให้คนทั้งเจ็ดท่าที่เปลี่ยนไปทันที
ในด้านหยางเย่ เขากลังจ้องมองผ่านช่องในต้นไม้พร้อมหรี่ตาลงเล็กน้อย “กําลังเสริมงั้นหรือ? แถมมีมากกว่าหนึ่งคน!”
ขณะที่เจียงเหว่ยทําการหนีออกจากสนามรบ คนทั้งเจ็ดเองก็เตรียมตัวจะหนี้หลังจากระงับความโกรธ แต่ทันใดนั้น เกราะพลังสีเหลืองได้เข้าห่อหุ้มคนทั้งเจ็ดกับราชันหมีพสุธาไว้ ไม่นานชายสามคนสวมชุดคลุมสีขาวได้เดินออกมาจากมุมของเกราะพลัง