ตอนที่ 49 การต่อสู้ที่ยากลำบาก
ด้านนอกหอคอย สายตาทุกคู่มองไปยังตัวอักษรตรงกลางนั้น
เวลานี้ชิงเสวียที่พลังกำลังเพิ่มพูนขึ้นได้ถูกลืมไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าการบรรลุชั้นสิบแปดมันน่าตกตะลึงยิ่งกว่า หากเทียบกับชิงเสวียที่กำลังจะเข้าสู่ขั้นปราณสวรรค์ มันเป็นเช่นนี้เพราะทุกคนต่างทราบดีถึงความร้ายกาจของผู้รับใช้แห่งดาบ โดยเฉพาะผู้อาวุโสเฉาหัวและผู้อาวุโสคนอื่น พวกเขาทราบดีว่าการไปที่ชั้นสิบแปดหมายความว่าอย่างไร
วัตถุประสงค์หลักของหอคอย คือสำหรับทดสอบศักยภาพของผู้เข้าไป ศักยภาพนี้ไม่ได้หมายถึงขั้นพลังการบ่มเพาะ แต่เป็นศักยภาพในการต่อสู้ โลกนี้ไม่เคยไร้สิ้นอัจฉริยะ กระทั่งผู้คนในเขตแดนใต้ก็สามารถบรรลุระดับขั้นได้ในการต่อสู้ กล่าวคือความแข็งแกร่งที่แท้จริงนั้น แม้ระดับขั้นการบ่มเพาะพลังจะสูงกว่า แต่ก็อาจด้อยกว่าบางคนที่มีขั้นการบ่มเพาะพลังที่ต่ำกว่า
ระดับขั้นการบ่มเพาะพลังไม่ใช่พื้นฐานของความแข็งแกร่ง แต่การมีระดับขั้นที่สูงก็ย่อมเป็นประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด ปริมาณของพลังปราณล้ำลึกที่มีก็ย่อมมากกว่าคนที่อยู่ระดับขั้นต่ำกว่า ยิ่งกว่านั้นเมื่อบรรลุขั้นใดขั้นหนึ่ง มันจะสามารถมีพลังที่มหัศจรรย์ตามมาได้
สำหรับเหตุผลที่ขั้นปราณสวรรค์ร้ายกาจกว่าขั้นปราณมนุษย์ คือเมื่อบรรลุขั้นปราณสวรรค์ ผู้นั้นจะสามารถดูดซับพลังจิตวิญญาณของสวรรค์และปฐพีเข้าสู่ร่างกายได้ เมื่อพลังจิตวิญญาณผสานกับร่างกายและความแข็งแกร่งแล้ว มันจะดึงพลังปราณล้ำลึกจากร่างกายออกมาเพื่อกลั่น ดังนั้นเมื่อพลังปราณล้ำลึกดูดซับพลังจิตวิญญาณด้วยตนเอง มันก็จะแข็งแกร่งขึ้นเองในร่างกาย จากนั้นมันจึงจะสร้างรูปร่างใหม่อีกครั้ง
แต่จากอธิบายก่อนหน้านี้ ขั้นปราณสวรรค์เองก็ไม่สามารถเอาชนะขั้นปราณมนุษย์ได้ทั้งหมด เพราะโลกนี้มีอัจฉริยะอยู่หลากหลายประเภท ไม่เพียงแค่ความร้ายกาจจากการบ่มเพาะพลังเท่านั้น การบ่มเพาะพลังระดับสูงมากมายหลายวิชา หรือความแข็งแกร่งภายนอกที่หายาก มันสามารถทำให้ยอดฝีมือขั้นปราณมนุษย์แข็งแกร่งทัดเทียมกับขั้นปราณสวรรค์ได้
อย่างเช่นตันเถียนน้ำวนในร่างของหยางเย่ พลังปราณห้าธาตุทองคำที่ถูกสร้างจากตันเถียนน้ำวนนั้นก็ร้ายกาจไม่แพ้กัน ในช่วงเวลาหนึ่งเมื่อพลังปราณทองคำหล่อเลี้ยง ร่างกายของเขาก็ได้ไปอยู่ในขั้นปราณสวรรค์แล้ว และบางทีอาจแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์บางคนด้วยซ้ำ
เหตุผลที่เฉาหัวและผู้อื่นตกตะลึงก็คือ พวกเขาคิดว่าเจียงหยวนได้ไปถึงชั้นสิบแปดแล้ว ดังนั้นตั้งแต่ที่เจียงหยวนสามารถเข้าสู่ชั้นสิบเจ็ดขณะอยู่ที่ขั้นปราณมนุษย์ และบรรลุขั้นปราณสวรรค์เมื่ออยู่ชั้นสิบแปด นั่นหมายถึงเจียงหยวนไม่เพียงแค่มีความสามารถที่ร้ายกาจในการต่อสู้ เขายังมีพรสวรรค์ทางธรรมชาติที่น่าสะพรึงอีกเช่นกัน
ยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์เมื่ออายุสิบหก ผู้ที่สามารถเข้าสู่ชั้นสิบเจ็ดได้เพียงแค่ขั้นปราณมนุษย์ ทั้งยังบรรลุขั้นปราณสวรรค์เมื่อเข้าไปยังชั้นสิบแปด เช่นนั้นจะไม่ให้ทั้งสามตกตะลึงได้อย่างไรกัน?
“ไปแจ้งให้สตรีปีศาจทราบ บอกไปว่ามีบางคนกำลังจะทำลายสถิตินาง!” ฉินเฟิงมองไปยังตัวอักษรสองตัวบนหอคอยพร้อมบ่นพึมพำด้วยเสียงต่ำ เพราะตั้งแต่ที่มีคนไปถึงชั้นสิบเจ็ดขณะอยู่ขั้นปราณมนุษย์ และบรรลุขั้นปราณสวรรค์ตอนนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของชายคนผู้นั้น เขารู้สึกว่าคงไม่ยากเกินไปในการผ่านไปยังชั้นยี่สิบ
ชายหนุ่มด้านหลังฉินเฟิงไม่ลังเลที่จะรีบรุดไปแจ้งข่าว
ในชั้นสิบแปด หยางเย่เหวี่ยงดาบอย่างต่อเนื่อง มันทำให้เกิดภาพติดตาและเสียงตัดอากาศ ในอีกทางคู่ต่อสู้ของเขาก็ไม่ได้แสดงความอ่อนแอใดออกมา ดาบในมือมันเองก็ฟาดฟันอย่างไม่หยุดยั้งและเร็วขึ้นเทียบเท่ากับหยางเย่ ทั้งสองแลกเปลี่ยนกันโจมตีอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้มันไม่ต่ำกว่าร้อยหรือสองร้อยกระบวนท่า!
ความแข็งแกร่งของผู้รับใช้แห่งดาบชั้นสิบแปดนั้น มันทำให้หยางเย่ประหลาดใจยิ่งนัก โดยเฉพาะความรวดเร็วในการเหวี่ยงดาบที่เร็วกว่าชั้นสิบเจ็ดมาก โชคดีที่เขาไม่ใช้ปฏิกิริยาโต้กลับ มิเช่นนั้นเขาคงพ่ายแพ้ไปแล้ว แม้กระทั่งสถานการณ์ที่ดีที่สุด เขาสามารถทำได้เพียงจัดการผู้รับใช้แห่งดาบพร้อมกับถูกจัดการไปด้วย เนื่องจากการโจมตีของผู้รับใช้แห่งดาบมันรวดเร็วเกินไป
หากเขาไม่ได้ฝึกฝนวิชาดาบพื้นฐานอย่างหนักหน่วงมาสองปี หากไม่ได้เข้าไปยังขุนเขาไม่สิ้นสุด และหากไม่ได้สู้กับผู้รับใช้แห่งดาบก่อนหน้านี้ เขาคงพ่ายแพ้ไปแล้ว
ทั้งหยางเย่และผู้รับใช้แห่งดาบไม่ใช้วิชาดาบหรือปราณดาบสู้กัน แต่พวกเขาใช้กระบวนท่าพื้นฐานในการแทงและป้องกันคู่ต่อสู้ แน่นอนมันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ปราณดาบในระยะใกล้เช่นนี้ เพราะปราณดาบต้องใช้เวลาในการปลดปล่อย และทั้งคู่ไม่มีเวลามากพอที่จะทำ พวกเขาไม่มีใครกล้าใช้ปราณดาบเพราะหากมีใครใช้ก็จะถูกแทงในทันที
ผู้รับใช้แห่งดาบสามารถต่อสู้ได้ดีกว่า เพราะมันมีเพียงสัญชาตญาณการต่อสู้ และไร้ซึ่งอารมณ์ใด เหตุนี้ทำให้ผู้รับใช้แห่งดาบที่ไร้สติปัญญานั้นได้เปรียบในการต่อสู้ยิ่งกว่า เพราะมันจะไม่รู้สึกกลัวหรือตื่นตระหนก ทั้งยังไม่มีอารมณ์ด้านลบใดมันคิดแค่เพียงการต่อสู้เท่านั้น
ในอีกด้านหนึ่งของหยางเย่ ถึงแม้เขาจะมีสมาธิอย่างเต็มที่ในการรับมือผู้รับใช้แห่งดาบ เขาก็ยังมีอารมณ์ด้านลบอยู่ แต่ยังไงอารมณ์เหล่านี้ได้ถูกยับยั้งโดยหยางเย่ไว้ข้างใน
อย่างไรก็ตามหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาจะเป็นคนแรกที่ไม่อาจต้านทานไหว
‘เราไม่อาจปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไป’ หยางเย่นึกในใจขณะเหวี่ยงดาบในมือ
เมื่อนึกได้เช่นนั้น หยางเย่แทงดาบในมือไปโดนดาบของผู้รับใช้แห่งดาบ เขาถูกแรงผลักดันจากดาบทำให้ถอยออกไปเล็กน้อย ทันทีที่หยางเย่กระโดดถอยหลัง ผู้รับใช้แห่งดาบใช้โอกาสนี้เข้าใกล้หยางเย่ จากนั้นดาบในมือมันกลายเป็นภาพดาบมากมายปกคลุมท้องฟ้าขณะที่โจมตีหยางเย่
ท่าทีหยางเย่ยังไม่เปลี่ยนไปเมื่อเห็นฉากนี้ ไม่นานดาบในมือเขาพุ่งออกไปราวกับสายฟ้า
ชิ้ง!
ดาบหยางเย่ถูกสะบัดออกโดยผู้รับใช้แห่งดาบ
ทันใดที่ดาบของเขาถูดสะบัดทิ้ง หมัดที่ร้ายกาจของหยางเย่ก็มาปรากฏตรงหน้าผู้รับใช้แห่งดาบแล้ว จากนั้นเขาชกหมัดไปที่ดาบของมัน ส่วนอีกหมัดตรงไปยังหน้าอก
สองหมัดที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ท่าทีผู้รับใช้แห่งดาบแข็งทื่ออยู่ชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่ามันไม่คาดคิดที่หยางเย่จะโจมกลับโดยใช้หมัด แต่ผู้รับใช้แห่งดาบป้องกันได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นดาบในมือมันเริ่มโค้งและแทงไปที่อกหยางเย่ในมุมที่แปลกไป
การต่อสู้ระหว่างสองยอดฝีมือสามารถตัดสินในพริบตา อย่างเช่นตอนนี้ที่ผู้รับใช้แห่งดาบแข็งทื่อ หยางเย่ก็ปล่อยหมัดขวาไปที่อกของมัน ส่วนผู้รับใช้แห่งดาบก็ใช้ดาบแทงไปที่อกหยางเย่เช่นกัน แต่ขณะที่ดาบของมันแทงโดนหยางเย่ ผู้รับใช้แห่งดาบเองก็กระเด็นออกไปโดยหมัดของหยางเย่
ทันทีที่หมัดกระแทกอกของผู้รับใช้แห่งดาบ หยางเย่คลายหมัดออกและทำนิ้วเป็นรูปดาบก่อนจะขยับมันเล็กน้อย ปราณดาบสองเส้นติดตามร่างผู้รับใช้แห่งดาบไปขณะที่มันกระเด็นไปด้านหลัง ในกลางอากาศความรวดเร็วของมันลดลงมาก ทำให้ปราณดาบทั้งสองเส้นทะลุร่างผ่าน ไม่นานผู้รับใช้แห่งดาบก็หายไป
หลังจากที่ร่างของผู้รับใช้แห่งดาบและดาบของมันหายไป เลือดได้พุ่งออกมาจากอกของหยางเย่ทันที
ถึงแม้จะทราบดีว่ามันคือภาพลวงตาและไม่ตายในนี้ หยางเย่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีแห่งความตายที่ปรากฏออกมา เหมือนกับชั้นที่สิบเจ็ด หากช้าไปอีกเพียงนิดเดียว เขาคงจบลงตรงชั้นนี้เป็นแน่
หยางเย่หยิบดาบที่ถูกปัดออกไปโดยผู้รับใช้แห่งดาบขึ้น จากนั้นเขานั่งขัดสมาธิลงบนพื้นและเริ่มวิเคราะห์ประสิทธิภาพตนเอง
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้หยางเย่ทราบว่าวิชาดาบของเขาก็ไม่ด้อยเท่าไหร่ แต่มันก็ยังมีข้อบกพร่องที่ทำให้เขาไม่พึงพอใจอยู่ วิชาดาบของเขายังขาดความรวดเร็ว เพราะมีหลายครั้งที่เขาทำได้เพียงแค่ป้องกันและไม่อาจโจมตีกลับ ถึงแม้จะเห็นจุดอ่อนก็ยังไม่สามารถโจมตีได้
จุดที่เขายังขาดไปคือความสงบและใจเย็น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในจุดที่เสียเปรียบในตอนท้ายของการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ถึงแม้จะชนะมาได้ มันก็แค่สิ่งที่ชนะจากการเสี่ยงโชคมาเท่านั้น
กล่าวได้ว่าหยางเย่ไม่พอใจในการต่อสู้ที่ผ่านมา เพราะเขาไม่ชอบเดิมพันในการต่อสู้ หากสามารถสงบจิตใจลงได้ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเอาชนะได้ ก็สามารถต่อสู้ได้นานขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง การเสี่ยงดวงขึ้นอยู่กับความโชคดี หยางเย่ไม่ชอบที่จะนำชีวิตตนเองไปแขวนไว้บนโชคลาภเหล่านั้น
‘ดูเหมือนประสบการณ์การต่อสู้ของเรายังไม่เพียงพอ หลังออกจากหอคอย เราจะไปค้นหาการต่อสู้ที่เหมาะสมให้ได้อีกหากมีโอกาส มันเป็นสิ่งที่ดีในการเอาชีวิตรอดจากสัตว์อสูรทมิฬในขุนเขาไม่สิ้นสุด มีเพียงประสบการณ์ความเป็นความตายเท่านั้นที่ทำให้เราแข็งแกร่งได้มากยิ่งขึ้น จากนั้นเราจะเข้าไปยังเทียบอันดับสวรรค์!’ หลังจากหาข้อสรุปทุกสิ่งเรียบร้อย หยางเย่ยืนขึ้นและมองไปยังชั้นสิบเก้า เขาได้สัมผัสถึงความแข็งแกร่งของผู้รับใช้แห่งดาบชั้นสิบแปดแล้ว มันสามารถกล่าวได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในขั้นที่ต่ำกว่าขั้นปราณสวรรค์ ดังนั้นชั้นที่สิบเก้าจะร้ายกาจเพียงใดกัน?
หยางเย่ยังไม่เข้าไปยังชั้นสิบเก้า เขาเพียงแค่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น จากนั้นใช้พลังปราณห้าธาตุทองคำฟื้นฟูบาดแผลตรงหน้าอก เพราะเขาไม่กล้าประมาทในการเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ชั้นต่อไป และต้องการที่จะไปด้วยสถานะพร้อมสู้มากกว่า มิเช่นนั้นมันจะเป็นชั้นสุดท้ายที่เขาไปถึง
ขณะที่หยางเย่กำลังพักฟื้นอยู่ เจียงหยวนต่อสู้มาเป็นเวลาสองชั่วยามก่อนจะแทงดาบไปที่ผู้รับใช้แห่งดาบ แต่ตนเองก็อยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่เช่นกัน เวลานี้เขาไม่มีความสงบเหมือนในอดีตอีกต่อไป เสื้อผ้าบนร่างกายขาดรุ่ย ทั้งยังมีแต่บาดแผลบนใบหน้า เขาร่วงลงอย่างพื้นในทันทีที่จัดการกับผู้รับใช้แห่งดาบ
หลังจากพักหอบหายใจอยู่ชั่วครู่ เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงต่ำ “ความแข็งแกร่งของผู้รับใช้แห่งดาบช่างบ้าคลั่งอะไรเช่นนี้ มันแทบจะจัดการเราที่อยู่ขั้นปราณสวรรค์ได้แล้ว ในอดีตบรรพบุรุษกล่าวไว้ว่าหากใช้ของภายนอกบังคับตนเองเข้าสู่ขั้นปราณสวรรค์ มันจะมีข้อบกพร่องอยู่ เขากล่าวได้ถูกต้องแล้วเราไม่ควรฟังท่านพ่อและกินยาเพื่อบรรลุขั้นปราณสวรรค์เลย!”
ถูกต้อง การบ่มเพาะพลังของเขาพัฒนาขึ้นจากสิ่งช่วยเหลือภายนอก เวลานั้นเขาทราบดีว่ามันจะมีข้อบกพร่องในการบ่มเพาะพลัง แต่เขายังคงกินยาในที่สุด เขาไม่ได้ทำเพราะสิ่งใดนอกจากชื่อเสียงของตนเอง เพราะยอดฝีมือระดับเก้าขั้นปราณมนุษย์เมื่ออายุสิบหกนั้นหายากมากในเมืองธารหิมะ ดังนั้นหากอยู่ขั้นปราณสวรรค์เมื่ออายุสิบหกล่ะ?
หากอยู่ขั้นปราณสวรรค์เมื่ออายุสิบหก มันคงเป็นสถานะที่ดีมาก เพื่อให้ชื่อเสียงในฐานะอัจฉริยะของเขาเพิ่มพูนจนถึงที่สุด เขาจึงใช้เม็ดยาในการบรรลุขั้นปราณสวรรค์ แต่กลับต้องเสียใจในตอนนี้ เพราะหากบรรลุขั้นปราณสวรรค์โดยวิธีปกติ เขาคงไม่อยู่ในสถานะที่น่ายับเยินขนาดนี้จากการโจมตีของผู้รับใช้แห่งดาบ
“ให้ตายเถอะ!” เจียงหยวนถอนหายใจ จากนั้นมองไปที่ชั้นสิบห้า เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ถึงแม้เราจะได้ครอบครองอับดับหนึ่งแล้ว หากไปอีกหนึ่งชั้นมันคงจะเรียกความสนใจจากบรรดาผู้อาวุโสได้แน่ เราต้องผ่านชั้นสิบห้าให้ได้!”
ทันทีที่กล่าวจบ เจียงหยวนนั่งขัดสมาธิและเริ่มฟื้นฟูพลังปราณในร่างอีกครั้ง