ตอนที่ 27 สู้กันอีกครั้ง! 2
ปั้ง!
ในช่วงเวลาที่ประมาท หยางเย่ถูกกระแทกลอยโดยหมาป่าสีเทาอีกครั้ง แต่ไม่นานหยางเย่ก็กระโดดออกจากกำแพงพร้อมพุ่งเข้าสู้ต่อ
เปลือกตาหมาป่ากระตุกเมื่อเห็นมนุษย์ผู้นี้พุ่งมาครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นได้ชัดว่าหยางเย่สู้แบบไม่คิดชีวิต มันทำให้หมาป่าสีเทารู้สึกเกรงกลัวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ถึงจะกลัวเพียงใด หมาป่าสีเทาก็ไม่ได้ถอยหนี หากเป็นสถานที่แห่งอื่นมันอาจจะไม่สู้ถึงขั้นยอมตาย แต่นี้คือรังของมันและมันจะไม่ยอมทิ้งรังเป็นอันขาด!
การต่อสู้ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม มันสิ้นสุดลงโดยการปราชัยของหยางเย่
หยางเย่ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหนี เพราะพลังปราณล้ำลึกในร่างเขาเหนื่อยล้าเต็มที เขาใช้พลังปราณล้ำลึกในทุกการโจมตี หากปราศจากพลังปราณทองคำ เขาก็ไม่สามารถแทงทะลุเกราะป้องกันของหมาป่าสีเทาได้ ทั้งยังต้องใช้พลังปราณล้ำลึกในการฟื้นฟูอีก!
ดังนั้นจึงไร้ทางเลือกใดนอกจากวิ่งหนีออกมาก่อน!
หมาป่าสีเทาไม่ไล่ตามเมื่อเห็นหยางเย่ยอมแพ้ มันนอนลงบนพื้นพร้อมหายใจหอบ
เป็นเวลาสองชั่วยามในการต่อสู้ ควบคู่ไปกับความจริงที่ว่า หยางเย่ต่อสู้เพื่อแลกชีวิต สิ่งนี้ทำให้หมาป่าสีเทาเหนื่อยล้าโดยแท้จริง ในใจมันหวังเพียงมนุษย์ผู้นั้นจะไม่กลับเข้ามาอีก
แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม มนุษย์ผู้นั้นกลับมาปรากฏกายตรงหน้า จากนั้นทั้งคู่เริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง
เป็นเช่นเดิม หยางเย่สู้กับหมาป่าสีเทาอีกหลายชั่วยามก่อนจะหนีไป หลังจากพลังปราณล้ำลึกฟื้นฟูแล้ว เขากลับไปปะทะกับหมาป่าสีเทาอีกครั้ง มันดำเนินเช่นนี้มาเป็นเวลาสองวันแล้ว
หมาป่าสีเทาดูทรมานใจมากขึ้นทุกครั้งที่สู้ แต่ทางหยางเย่กลับตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม ทุกครั้งที่กลับมาสู้กับหมาป่าสีเทา วิชาต่อสู้ของเขาก็พัฒนาขึ้นทีละน้อย ทั้งยังทำให้หมาป่าสีเทารู้สึกเหน็ดเหนื่อยลงไปทุกเวลา!
ยามนี้หมาป่าสีเทาพยายามไล่จับหยางเย่เมื่อเขาวิ่งหนี แต่มันไม่ง่าย เพราะมนุษย์ผู้นี้ไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดา เขาหนีขณะที่สู้ไม่ไหวไปยังบนต้นไม้ใหญ่
หมาป่าสีเทาไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้ เพราะมันไม่ใช่สัตว์อสูรทมิฬมีปีก มันทำได้เพียงใช้ศีรษะโขกกับต้นไม้เท่านั้น
ต้นไม้ล้มลงหลายต่อหลายต้น แต่มนุษย์ผู้นี้ยังไม่ลงมายังพื้นดิน เมื่อเห็นเช่นนั้นมันยอมถอดใจในที่สุด
ในวันที่หก เป็นเวลาหกวันที่หยางเย่สู้กับหมาป่าสีเทา เขาไม่วิ่งหนีอีกต่อไป เขาสามารถสู้กับหมาป่าสีเทาได้อย่างง่ายดายแล้ว
สามวันต่อมาหยางเย่หาจังหวะที่ดีในการต่อสู้ได้ เขาสามารถควบคุมจังหวะการต่อสู้ได้ดั่งใจ
บรู๊ว!!
หยางเย่นั่งลงบนหลังของหมาป่าสีเทาพร้อมขาทั้งสองที่ควบแน่น กำปั้นเปล่งแสงสีทองชกไปยังหัวของหมาป่าสีเทา ทุกการโจมตีทำให้เสียงครวญครางของหมาป่าสีเทาดังก้องไปทั้งถ้ำ
เพื่อสะบัดหยางเย่ทิ้ง หมาป่าสีเทากลิ้งเกลือกลงบนบนพื้นพร้อมลากถูหยางเย่ให้ปะทะกับกำแพงถ้ำ หลุมจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนกำแพง แต่หยางเย่ยังไม่ยอมปล่อยมือ เขายังคงกระแทกหมัดไปยังหัวหมาป่าสีเทาทุกครั้งที่มีโอกาส
ในเวลานี้ ชายหนุ่มและหมาป่ากำลังแข่งขันกันว่าผู้ใดจะยอมถอดใจก่อน!
มันดำเนินมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามก่อนจะเงียบสงบลง
ชายหนุ่มและหมาป่านอนกองอยู่บนพื้น หยางเย่หายใจหอบพร้อมกับหมาป่าสีเทาที่หายใจหอบเช่นกัน ทั้งคู่จ้องหน้ากันในระยะสามเมตร แต่ก็ไม่มีใครจู่โจมใครก่อน เพราะทั้งสองไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกต่อไป
ขณะที่หมาป่าสีเทามองไปยังหยางเย่ มันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา สิ่งที่สามารถรับรู้โดยสัญชาตญาณคือ มนุษย์ผู้นี้น่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์อสูรทมิฬเสียอีก
ในทางตรงกันข้าม ดวงตาหยางเย่กลับเปล่งประกายความตื่นเต้น เนื่องจากเขาเอาชนะสัตว์อสูรระดับเก้าได้โดยไม่ใช้วิชาดาบใดเลย ถึงแม้เขาจะเสียเวลาไปกว่าสิบวัน แต่มันก็แลกมาด้วยความสำเร็จที่น่าพึงพอใจ
ครึ่งชั่วยามต่อมา หยางเย่พยายามคลานขึ้นจากพื้นอย่างช้า เวลานี้เขาฟื้นฟูพลังกว่าห้าในสิบส่วนแล้ว
เมื่อมันเห็นหยางเย่ยืนขึ้น หมาป่าสีเทาแสดงท่าทางหวาดกลัวออกมาจากดวงตา มันต้องการลุกขึ้นเช่นกันแต่ก็ล้มเหลว
หยางเย่เดินไปหาหมาป่าสีเทาอย่างสบายใจพร้อมขยับแขนไปมา ทันใดนั้นเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้าย มันถึงเวลาที่จะนำแก่นภายในและหนังมาป่าออกมาแล้ว
ขณะนั้นเองแสงสีม่วงส่องประกาย มิงค์ม่วงปรากฏขึ้นตรงหน้าหยางเย่ กรงเล็บมันชี้ไปที่หมาป่าสีเทา จากนั้นมองกลับไปยังหยางเย่พร้อมรีบส่ายหัว
หยางเย่งุนงงชั่วขณะก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าต้องการให้ข้าไว้ชีวิตมันงั้นหรือ?”
มิงค์ม่วงรีบพยักหน้า
“อย่ามาล้อเล่น แก่นภายในมีมูลค่ามหาศาล หนังหมาป่ายิ่งมีค่ามากกว่า ข้าจะไว้ชีวิตมันได้ยังไงกัน?”
ทันทีที่ได้ยินหยางเย่กล่าว สหายตัวจ้อยพุ่งไปที่หยางเย่พร้อมใช้กรงเล็บปาดจมูกเขา มันแสดงท่าทีที่ขำขัน
หยางเย่รู้สึกปวดหัวเมื่อเห็นสหายตัวจ้อยเล่นแบบนี้ จากนั้นเขามองไปยังหมาป่าสีเทาบนพื้น
หยางเย่ตกตะลึงทันทีที่เห็นท่าทีหมาป่าสีเทาตอนนี้ เพราะร่างหมาป่าสีเทากำลังสั่นกลัว ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อมองไปที่มิงค์ม่วง
‘หมาป่าตัวนี้กลัวสหายตัวจ้อยงั้นหรือ?’
ความคิดนั้นปรากฏขึ้นในหัวหยางเย่ เขามองไปที่หมาป่าสีเทา จากนั้นมองกลับไปยังมิงค์ม่วงที่แสดงท่าทีน่ารักอยู่ “มันกลัวเจ้าใช่หรือไม่?”
มิงค์ม่วงกระพริบตาปริบ จากนั้นหันกลับไปมองหมาป่าสีเทาพร้อมกระพริบตาอีกครั้ง มันลงไปยังหัวหมาป่าสีเทาในชั่วพริบตาเดียว
เมื่อมันเห็นมิงค์ม่วงลงมาที่หัว ร่างหมาป่าสีเทาสั่นกลัวยิ่งขึ้น มันหมอบลงบนพื้นเต็มตัวราวกับทาสรับใช้
มิงค์ม่วงลูบหัวหมาป่าสีเทาด้วยกรงเล็บน่ารักนั้น จากนั้นมันพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เห็นได้ชัดว่ามันพอใจอย่างมากกับท่าทางของหมาป่าสีเทา
จากนั้นไม่นานมิงค์ม่วงเหวี่ยงกรงเล็บ หมาป่าสีเทากลายเป็นแสงประกายสีม่วงพุ่งเข้าร่างหยางเย่ที่งุนงงอยู่
ยามนี้หยางเย่ตกตะลึงจนกล่าวสิ่งใดไม่ออก