ตอนที่ 155 ประลอง
สิบวันผ่านไป ณ ค่ายกลเคลื่อนย้าย
ไม่นาน กรอบสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ข้างใต้ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้เข้าปกคลุมศิษย์นอกและศิษย์ใน ยิ่งกว่าผู้อาวุโสนอกและในบางคนก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
พวกเขามาที่นี่เพื่ออะไรงั้นหรือ? เพราะพวกเขามาส่งศิษย์ทั้งสิบที่ยืนอยู่บนค่ายกลเคลื่อนย้าย
เทียบอันดับสวรรค์ไม่ใช่เพียงอนาคตของสํานักดาบราชัน มันยังนับว่าเป็นเกียรติแก่สํานักเช่นกัน และยังถือว่าเป็นเกียรติยศของผู้เข้าร่วมด้วย! เมื่อมีคนสามารถเข้าสู่เทียบอันดับสวรรค์จนได้อันดับที่ดี ศิษย์ผู้นั้นของสํานักดาบราชั้นจะได้รับการเคารพนับถือเมื่อออกจากสํานักในอนาคต! ยิ่งกว่านั้นเกียรติยศนี้ยังไม่ได้เป็นแค่ของสํา นักดาบราชัน มันมันยังรวมถึงครอบครัว หรือตระกูลของพวกเขาเช่นกัน เพราะเมื่อสามารถเข้าสู่อันดับที่สูงได้แล้ว จักรวรรดิต้าฉันจะประกาศถึงนามของผู้นั้นไปทั่วยุทธภพ
และผู้นั้นจะกลายเป็นผู้ที่โด่งดังในเขตแดนใต้ทันที!
การมีชื่อเสียงโด่งดังในเขตแดนใต้นั้นเป็นความฝันของบรรดาผู้ฝึกฝนพลังปราณ ดังนั้นผู้เข้าร่วมประลองจึงตื่นเต้นเป็นธรรมดา และผู้ที่มาส่งก็หวังว่าสักวันจะไปยืนตรงจุดนั้นได้
ขณะมองดูศิษย์ด้านล่าง หยางเย่ถอนใจเล็กน้อย ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นศิษย์แบบพวกเขา ทัศนคติเองก็เป็นเหมือนกัน เขาคิดว่าสํานักดาบราชันจะแข็งแกร่งพอที่จะสามารถปกป้องเขาได้ ทําให้โด่งดังได้ และทําให้ครอบครัวอยู่อย่างสงบสุขได้
แต่โชคร้าย…
เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือฝืนใจอะไร แต่แค่ถอนหายใจเบา ๆ
ทันใดนั้นหยางเย่หันไปมองศิษย์ในที่ยืนห่างจากเขาสามเมตร ศิษย์ผู้นั้นสวมชุดคลุมสีเขียวและมีใบหน้าที่หล่อเหลา แต่กลับมองมาที่หยางเยู่ด้วยแววตาเกลียดชัง
หยางเย่ขมวดคิ้ว เขาไม่รู้จักชายคนนี้ หรือกล่าวได้ว่า นอกจากมู่หรงเหยา และฉินเฟิง เขาไม่รู้จักใครสักคน และไม่เข้าใจว่าเหตุใดศิษย์พวกนี้ถึงสวมชุดเขียว เพราะเขาทําตัวเรียบง่ายตั้งแต่กลับมาที่สํานักดาบราชัน เพื่อจะไปเทียบอันดับสวรรค์ และก่อนหน้านั้นไม่เคยออกจากยอดเขาผู้ใช้ยันต์แม้แต่ก้าวเดียว
เมื่อเห็นหยางเย่มองมา ชายชุดเขียวเองก็มองหยางเย่กลับด้วยสายตาเย็นเยือก ไม่นานก็ได้ถอนสายตาออก
“เขามีนามว่า ซีตหรง เขาเป็นศิษย์ในที่อยู่ขั้นปราณสวรรค์ระดับเก้า ตามที่ลือมา เขาสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นปราณราชันได้แล้ว แต่ก็ข่มพลังไว้เพราะเทียบอันดับสวรรค์!” ทันใดนั้นมู่หรงเหยาและฉินเฟิงเดินมาหาหยางเย่ ก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
หยางเย่พยักหน้าพร้อมแสดงท่าที่ทักทาย “แล้วเขาเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ?”
“ต้องเกี่ยวกับเจ้าอยู่แล้ว!” มู่หรงเหยายิ้มเล็กน้อย “เขามีน้องชายนามว่า ซีตโบผู้ที่เป็นศิษย์ในเช่นกัน น้องชายของเขาเองก็ได้ถูกรับเลือกให้เข้าร่วมประลองในเทียบอันดับสวรรค์ แต่เมื่อเจ้าได้ปรากฏตัว น้องชายของเขาจึงถูกตัดออกจากรายชื่อ เจ้าไม่คิดว่ามันเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไง?”
“ทําไมถึงเกิดเรื่องแบบนั้นกับน้องชายของเขาได้?” หยางเยถาม
“เพราะน้องชายเขายังอ่อนแอสุดท่ามกลางพวกเราทั้งหมด!” มู่หรงเหยากล่าวอีกครั้ง
“เช่นนั้นก็เป็นปัญหาของน้องชายเขา แล้วเหตุใดถึงต้องมาไม่พอใจข้าด้วย?” หยางเย่ยักไหล่
“เขาไม่คิดอย่างนั้นหรอก!” มู่หรงเหยากล่าว
“เช่นนั้นก็ปล่อยเขาไป!” หยางเย่กล่าว
“เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะมาหาเรื่องเลยหรือ? เขาอยู่ขั้นปราณสวรรค์ระดับเก้า ยิ่งกว่านั้นเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่? นอกจากฉินเฟิงและศิษย์ในที่เข้ามาใหม่ พวกเขาทุกคนล้วนเชื่อฟัง เจ้าไม่กลัวเลยหรือ?” มู่หรงเหยากล่าว
หยางเย่มองไปที่นาง “เจ้าและฉินเฟิงเพิ่งถูกไล่มางั้นสิ?”
“ฉลาดดี!” มู่หรงเหยากะพริบตาพร้อมยิ้ม “พวกเราทั้งเก้าคน มีฉินเฟิงและข้าที่มีขั้นพลังต่ําสุดและเป็นศิษย์ในหน้าใหม่ ดังนั้นพวกเขาจึงดูหมิ่นพวกเราไงล่ะ และก็ดูหมิ่นเจ้าเช่นกัน เจ้าคิดเห็นเช่นไร พวกเรามาร่วมมือกันดีกว่าไหม?”
หยางเย่กําลังจะกล่าวบางอย่าง แต่แสงสีขาวสามเส้นได้ปรากฏบนท้องฟ้าทันที และมันได้พุ่งลงมายังค่ายกลเคลื่อนย้าย หยางเย่รู้จักสองคนในนั้น ผู้อาวุโสอรี่เหิง และซูชิงฉือ สําหรับชายวัยกลางคนอีกคนนั้นเขาไม่ทราบ แต่ดูจากลักษณะการแต่งกายแล้วคงเป็นผู้อาวุโสใน
อวี่เพิ่งกวาดสายตามองไปยังสิบคนตรงหน้า และมองไปที่หยางเยู่ในที่สุด สายตาที่เขามองหยางเย่นั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่อธิบายยาก “อัจฉริยะผู้มีเจตจํานงแห่งดาบ โชคร้ายที่เขาไม่ได้เป็นศิษย์สํานักดาบราชันอีกต่อไปแล้
ผ่านไปชั่วครู่อวี่เพิ่งได้เอ่ยขึ้น “ข้าจะเข้าประเด็นเลยนะ นอกจากรางวัลของเทียบอันดับสวรรค์แล้ว ผู้ที่สามารถเข้าสู่อันดับสูงได้ยังจะได้รับดาบและเคล็ดวิชาขั้นปฐพีระดับต่ํา ยิ่งกว่านั้นสํานักดาบราชันยังจะสนับสนุนหินพลังปราณจํานวนนับไม่ถ้วนให้อีกสามปี และอนุญาติให้เข้าฝึกฝนในหอคอยผู้รับใช้ดาบได้”
ศิษย์ทุกคนนที่อยู่ในค่ายกลต่างพากันตื่นเต้นเมื่อได้ยิน พวกเขาเผยสายตาอันร้อนแรง รวมถึงศิษย์อยู่ข้างล่างต่างก็เผยแววตาอิจฉาเช่นกัน
เพราะรางวัลนั้นมากมายมหาศาลนัก! ไม่มีใครที่จะไม่ตื่นเต้นเมื่อทราบว่าจะได้ดาบและเคล็ดวิชาขั้นปฐพี!
หยางเย่เองก็ประหลาดใจเล็กน้อย เขาประหลาดใจที่สํานักดาบราชันมีความใจกว้างถึงเพียงนี้ เพราะดาบและเคล็ดวิชาขั้นปฐพี่นั้นมีมูลค่ามหาศาล ทั้งยังสามารถพัฒนาฝีมือผู้ใช้ได้อีกอย่างดี มันล้ําค่าจนสามารถเรียก ได้ว่าเป็นมรดกตกทอดแก่คนในตระกูลได้ อย่าว่าแต่คนอื่น แม้แต่หยางเย่ก็ต้องตื่นเต้น
นอกจากดาบและวิชาดาบ หินพลังปราณจํานวนไม่จํากัดสามปีนั้นก็มีค่าอย่างยิ่งเช่นกัน เพราะมันเท่ากับว่าไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรไปถึงสามปี
ทั้งยังมีการฝึกฝนในหอคอยผู้รับใช้แห่งดาบที่เป็นสถานที่อันยอดเยี่ยมในการบ่มเพาะอีกด้วย
กล่าวคือเมื่อสามารถเข้าไปยังอันดับสูงของเทียบอันดับสวรรค์ได้แล้ว ผู้นั้นจะได้รับทั้งชื่อเสียง และสมบัติล้ําค่า
หยางเยรีบสงบลงเพราะรู้สึกว่ามันไปปกติ หากพวกเขาทั้งสิบคนสามารถไปยังอันดับต้น ๆ ของเทียบอันดับสวรรค์ได้ เช่นนั้นก็เหมือนกับสํานักดาบราชันต้องส่งดาบขั้นปฐพี่สิบเล่มงั้นหรือ? บางทีสํานักดาบราชันอาจจะมีถึงสิบเล่ม แต่พวกเขาคงไม่มอบให้โดยง่ายแน่นอน กล่าวคือพวกเขาทราบดีอยู่แล้วว่าคงไม่ง่ายที่จะได้อันดับที่
เมื่อสํานักดาบราชันทราบเรื่องนี้ พวกเขาก็ต้องทราบถึงความสามารถของผู้อื่นเช่นกัน
เมื่อนึกได้เช่นนี้ หยางเย่มองไปที่ซูชิงฉือก่อนจะตัดสินใจเข้าไปถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป้าหมายของเขาคืออันดับหนึ่งของเทียบอันดับสวรรค์ และกล่าวตามตรง เขาไม่ได้มีความมั่นใจแม้แต่น้อย เพราะเขตแดนใต้นั้นยิ่งใหญ่ มันจะมีอัจฉริยะกี่คนกันล่ะ? ถึงแม้เขาจะมีเจตจํานงแห่งดาบ และดาบแห่งการรู้แจ้ง มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไร้เทียมทาน
การขึ้นไปสู่อันดับที่สูงเพื่อมารดานั้น เขายิ่งไม่อาจประมาท และยิ่งดีขึ้นไปหากเขาทราบข้อมูลของคู่ต่อสู้
อย่างที่หยางเย่คิด คนระดับสูงของสํานักดาบราชันไม่ได้คาดหวังกับศิษย์พวกเขามากนัก ถ้าขั้นพลังของหยางเยู่สูงกว่านี้อีกหน่อย เขาคงมีโอกาสเช่นกัน เพราะหยางเยู่มีเจตจํานงแห่งดาบ แต่เขายังอยู่เพียงขั้นปราณสวรรค์ระดับสอง ดังนั้นความแข็งแกร่งจะมากเท่าไหร่กัน?
ถึงแม้คนระดับสูงของสํานักจะไม่ได้คาดหวังกับพวกเขา มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีโอกาส เมื่อยังมีความหวัง เช่นนั้นกําลังใจต่างหากที่พวกเขาต้องการ รางวัลมากมายนั้นก็เพื่อเพิ่มพลังใจของทุกคนที่นี่
ไม่นาน อวี่เหิงกล่าวต่อ “ออกเดินทางไปยังเมืองหลวง!”
“ผู้อาวุโสบัญชาการดาบ!” ทันใดนั้นมีศิษย์ในคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงคน เขาโค้งคํานับอวี่เหิงก่อนจะเอ่ย “ศิษย์มีบางอย่างจะขอคุยด้วย!”
เมื่อนางเห็นศิษย์คนนั้นเดินออกมา มู่หรงเหยามองไปที่หยางเย่ และเผยประกายแห่งความพอใจในโชคร้ายของหยางเย่
คิ้วของหยางเย่ขมวดแน่นเมื่อเห็นคนผู้นั้น เพราะรูปลักษณ์ของคนผู้นั้นดูคล้ายซีตหรง กล่าวคือเขาต้องเป็นน้องชายของซีตหรงที่ถูกคัดออกจากรายชื่อ ที่ศิษย์คนนี้เข้ามายืนตรงหน้าอาจจะเพราะเหตุผลดังกล่าว
อวี่เหิงขมวดคิ้วเช่นกัน “มีอะไรงั้นหรือ?”
ศิษย์คนนั้นโค้งคํานับอีกครั้ง “ผู้อาวุโสบัญชาการดาบ ศิษย์สมควรจะอยู่ในหมู่คนทั้งสิบ แล้วเหตุใดข้าถึงถูกคัดออกจากรายชื่อ ศิษย์ทําอะไรผิดนั้นหรือ? หรือพลังของศิษย์ยังไม่เพียงพอ?”
“เป็นข้าเองที่คัดเจ้าออก!” ทันใดนั้นซูชิงฉือได้เอ่ยขึ้น “เพราะมีบางคนที่เหมาะสมกว่าเจ้า!”
สายตาเย็นเยือกปรากฏผ่านดวงตาศิษย์คนนั้นขณะมองไปที่หยางเย่ “เป็นเพราะเขางั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้น ศิษย์ปฏิเสธที่จะยอมรับมัน เพราะเขาอยู่แค่ขั้นปราณสวรรค์ระดับสอง ขณะที่ข้าอยู่ระดับเจ็ด!”
ซูชิงฉือขมวดคิ้ว นางกําลังจะกล่าวบางอย่าง แต่อวี่เพิ่งได้เอ่ยตัดขึ้น “เมื่อเจ้าคิดจะไม่ยอมรับข้อตัดสิน เช่นนั้นเจ้าก็มาประลองกับหยางเยดีหรือไม่? ผู้ชนะจะได้เข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์”
ซูชิงฉือทราบถึงความแข็งแกร่งของหยางเย่ แต่คนระดับสูงนั้นไม่ทราบแม้แต่น้อย ดังนั้นอวี่เพิ่งจึงต้องการจะทราบถึงความแข็งแกร่งของหยางเยเช่นกัน
เขาไม่มีโอกาสอันเหมาะสมที่จะทราบในอดีต แต่ตอนนี้โอกาสนั้นมาแล้ว
“ศิษย์ตกลง!” ศิษย์ในผู้นั้นรีบเอ่ย
อว์เหิงมองไปที่หยางเย่พร้อมกล่าว “หยางเย่เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”