ตอนที่ 152 ร่วมมือ?
ไม่นานซูชิงฉือได้จากไป
จากนั้นประกายแสงสีขาวได้ปรากฏตรงหน้า แสงนั่นคือหยินฉวนเอ๋อ
“สตรีคนนั้นคือคนที่เจ้ารักงั้นหรือ?” หยินฉวนเอ๋อมองไปทางที่ซูชิงฉือกลับก่อนจะเผยรอยยิ้มตรงมุมปาก”งั้นแสดงว่าเจ้าชอบคนประเภทเย็นชาสินะ!”
หยางเย่มองไปที่นางก่อนจะกล่าว “ท่านต้องการอะไร?”
“ข้าออกมาสนทนากับเจ้าไม่ได้หรือไง? หรือเจ้าเกลียดข้ามากถึงเพียงนั้นเชียว?” หยินฉวนเอ๋อดูจะโกรธเล็กน้อยพร้อมเผยน้ำตาไหลซึมออกมา มันราวกับนางถูกทําร้ายโดยหยางเย่
หยางเย่ยังไม่ได้เผยอาการใดก่อนจะกล่าว “สิ่งเดียวที่ท่านนึกถึงข้าก็มีแค่ตันเถียนน้ำวนและท่านก็ได้อยู่ข้างในตามใจปรารถนาแล้วดังนั้นไม่จําเป็นต้องมาแสร้งเป็นมิตรเช่นนี้ เพราะข้าไม่คู่ควรกับมันหรอก”
“เจ้าจะเชื่อหรือไม่หากข้าบอกว่าข้าชอบในตัวเจ้า?” หยินฉวนเอ่อเผยดวงตาเขินอายพร้อมแสดงใบหน้าโปรยเสน่ห์
หยางเยู่ขมวดคิ้วก่อนจะกล่าว “ไม่จําเป็นต้องใช้วิชาเช่นนี้กับข้าหรอก ท่านน่าจะทราบดีว่ามันไร้ประโยชน์!”
“เจ้านี้ช่างเป็นท่อนไม้ที่แข็งที่อนัก!” หยินฉวนเอ๋อกลอกตามองหยางเย่ก่อนจะกล่าวจริงจัง “ดูเหมือนสหายตัวจ้อยกําลังจะพัฒนาไปอีกขั้น”
“สหายตัวจ้อยจะพัฒนาไปอีกขั้น?” หยางเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาเพ่งสมาธิเข้าไปตรวจสอบสถานะของสหายตัวจ้อย
เวลานี้มิงค์ม่วงกําลังนอนอย่างสบายใจพร้อมดวงตาที่ปิดสนิทภายในตันเถียนน้ำวน ร่างของสหายตัวจ้อยกําลังเปล่งแสงสีม่วงออกมาท่ามกลางบ่อน้ำพลังปราณและดูเหมือนจะมีฟองอากาศออกมาราวกับว่ามันกําลังเดือ
ชั้นงั้นหรือ?”วาจาของเขาเต็ม
หยางเย่เปิดตากว้างก่อนจะหันมาถามนาง “สหายตัวจ้อยกําลังจะบ ไปด้วยความตื่นเต้น
ถึงแม้ว่ามิงค์ม่วงเป็นสัตว์อสูรทมิฬระดับเก้าและไม่มีความสามารถด้านการโจมตี แต่ความสามารถอื่นของมันก็น่าสะพรึงไม่น้อย ไม่เพียงแต่จะสามารถกลบซ่อนพลังได้เกราะพลังของมันยังป้องกันการโจมของยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณได้อีก กล่าวคือความสามารถพิเศษของมันนั้นร้ายกาจมากดังนั้นหากสหายตัวจ้อยพัฒนาไปเป็นสัตว์อสูรราชันความสามารถของมันจะเพิ่มขึ้นตามหรือไม่นะ?’ในหัวหยางเย่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
หยินฉวนเอ๋อรีบถาม “เจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดสหายเจ้าถึงไม่บอกตัวตนของมัน?”
“ทําไม?” หยางเยถาม เขายังคงสับสนเกี่ยวกับสิ่งนี้ตั้งแต่พบเจอกันสหายตัวจ้อย มันได้ปกปิดต้นกําเนิดตนเองอยู่ตลอดเวลา หยางเย่ทราบว่าสหายตัวจ้อยมีเหตุผลในการทําเช่นนั้น แต่เขาก็ยังคงสงสัยว่าทําไม
หยินฉวนเอ๋อยิ้มเยาะเย้น “ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!”
ใบหน้าหยางเย่มืดดํา จากนั้นเขามองนางก่อนจะเอ่ย”ข้าคิดว่าท่านคงไม่ทราบเช่นกัน ทั้งยังดูเหมือนท่านจะกลัวแรงกดดันสายเลือดของสหายตัวจ้อยด้วยซ้ํา!”
“เจ้าไม่ต้องพยายามทําให้ข้าโกรธหรอก!” หยินฉวนเอ๋อเอ่ย “สําหรับสายเลือดของมัน ข้ายอมรับว่ากลัวแต่ไม่ได้กลัวมันแล้วตอนนี้เพราะมันเป็นแค่สัตว์อสูรทมิฬระดับเก้ายิ่งกว่านั้นข้าสามารถบอกได้ว่าผู้ที่อยู่ในเขตแดนใต้ทั้งหมดนั้นแทบจะกลัวสายเลือดนี้ สําหรับผู้ที่ไม่กลัวนั้นสามารถใช้นิ้วนับได้เลยล่ะเป็นโชคของเจ้าที่มันเลือกจะติดตามเจ้าใช่สิเจ้ายังมีตันเถียนน้ำวนเช่นนั้นก็เป็นโชคดีอีกเช่นกัน!”
“แม่นางหยิน” หยางเย่กล่าวอย่างจริงจัง “ต้นกําเนิดของสหายตัวจ้อยคืออะไรกันแน่? ยิ่งกว่านั้นทําไมมันถึงไม่ยอมบอก? ข้าค่อนข้างสงสัยยิ่งนัก”
หยินฉวนเอ๋อเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจ “อันที่จริงข้าก็ไม่เข้าใจต้นกําเนิดมันมากหรอก ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่านี้มาก่อน และไม่เคยคาดคิดว่ามันจะมีอยู่จริง เจ้าเคยได้ยินเรื่องสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่หรือไม่? ข้าบอกได้แค่มันไม่ได้ด้อยไปกว่าสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่เลยยิ่งกว่านั้นแม้กระทั่งเผ่ามังกรในตํานานยังไม่กล้าแตะต้องเผ่าของสหายตัวจ้อยเพราะมิงค์ที่เป็นตัวเต็มวัยนั้นน่าสะพรึงจนแทบจะจินตนาการไม่ได้!”
“แม้กระทั่งเผ่ามังกรในตํานานยังไม่กล้าแตะต้องมันงั้นหรือ!” หยางเย่อึ้งไปชั่วครู่อย่างเห็นได้ชัดเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่ามังกรมาก่อนพวกมันน่าสะพรึงเพียงใด? กล่าวได้ว่าแม้กระทั่งยอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิก็ยังไม่สามารถระเบิดร่างของพวกมันได้ เห็นได้ชัดว่าพวกมันน่าสะพรึงเพียงใดยิ่งกว่านั้นยังไม่รวมถึงความสามารถอื่น ๆ ของพวกมันแต่เผ่าของสหายตัวจ้อยกลับสามารถทําให้เผ่ามังกรเกรงกลัวได้อีกดังนั้นสหายตัวจ้อยจะต้องน่าสะพรึงกว่าเผ่ามังกรหากมันโตเต็มวัย
หยางเย่ตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อนึกเช่นนั้น จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้ยังไง? เพราะเมื่อสหายตัวจ้อยโตเต็มวัยก็สามารถกล่าวได้ว่าหยางเย่จะมีผู้ช่วยเป็นสิ่งมีชีวิตที่ร้ายกาจกว่ายอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิ
“สําหรับเหตุผลที่มันไม่ยอมบอกต้นกําเนิด ข้าว่ามันคงมีเหตุผลของมัน กล่าวคือ เจ้าทราบแค่ว่ามันไม่ได้มีเจตนาร้ายก็เพียงพอแล้ว”หยินฉวนเอ๋อกล่าวต่อ
หยางเย่พยักหน้าพร้อมเผยยิ้ม “ถูกของท่าน สหายตัวจ้อยไม่ได้มีเจตนาร้ายกับข้าแม้แต่น้อย สําหรับต้นกําเนิดมันข้าเชื่อว่าวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาอันสมควร มันจะบอกข้าเอง”
“งั้นก็ปล่อยไว้ตรงนั้น!” หยินฉวนเอ๋อยิ้มพร้อมเปลี่ยมากล่าวอย่างจริงจัง “เจ้ามีความขัดแย้งกับราชวังบุปผาสินะ?”
“อะไร?”
“บางทีพวกเราสามารถร่วมมือกันได้!” หยินฉวนเอ๋อยิ้ม”อันที่จริงข้าก็มีความขัดแย้งกับราชวังบุปผาอยู่แล้วเพราะมันเป็นหนึ่งในมหาอํานาจที่โค่นล้มราชวงศ์ชางของข้า! พวกเรามีศัตรูที่เหมือนกันเหตุใดพวกเราถึงไม่ร่วมมือกันสู้ล่ะ?”
หยางเย่เปลี่ยนเป็นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แต่เขาก็ส่ายหัวในเวลาต่อมา เขาไม่ลืมว่านอกจากราชวังบุปผามันยังมีมหาอํานาจที่เหลือและจักรวรรดิต้าฉินที่เป็นศัตรูกับนางหากร่วมมือกับนางเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากเขามีความขัดแย้งกับทุกมหาอํานาจในเขตแดนใต้
หยางเยู่เป็นศัตรูแค่เพียงราชวังบุปผาเท่านั้น และเขาคิดจะทําลายมันด้วยตนเอง และไม่ได้คิดจะเป็นศัตรูกับมหาอํานาจที่เหลือ!
หยินฉวนเอ๋อขมวดคิ้วก่อนจะมองหยางเย่ “ข้าทราบว่าความสามารถของเจ้านั้นอาจจะสู้กับราชวังบุปผาได้ในอนาคตแต่มันคงต้องใช้เวลานานมากนับจากนี้ หากเจ้าร่วมมือกับข้าตอนนี้ เช่นนั้นพวกเราอาจจะทําลายราชวังบุปผาได้เพียงไม่นานนัก ข้าจะบอกให้ทราบสิบสององครักษ์นั้นไม่ใช่ไพ่ตายเดียวที่ข้ามี!”
“ท่านยังมีไพ่ตายอะไรเก็บไว้อีก?” หยางเย่สงสัยเล็กน้อย
“ข้ายังไม่ได้บอกเจ้าอีกมาก เรื่องหนึ่งที่ข้าจะบอกตอนนี้คือผู้รอบรู้ของราชวงศ์ชาง เฉินกงเหมาเขายังมีชีวิตอยู่และเขาเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิมาร้อยถึงสองร้อยปีแล้ว!” หยินฉวนเอ่อกล่าว
หยางเย่ตกตะลึงเมื่อได้ยิน “ข้าทราบแล้วว่าเหตุใดท่านถึงกล้าจะล้างแค้น มันเป็นเพราะท่านมีไพ่ตายที่น่าเกรงขามเช่นนี้อยู่ อันที่จริงมันก็อาจเป็นไปได้หากท่านคิดจะล้างแค้นจากการมียอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิหนุนหลัง!”
ในอดีตเขาคิดว่าหยินฉวนเอ๋อนั้นรนหาที่ตาย แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนความคิดไปเล็กน้อย ยอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิและสิบสององครักษ์ทองคํานั้นเพียงพอที่จะถล่มราชวังบุปผา ยิ่งกว่านั้นนางยังมีไพ่ตายอื่นอีกเห็นได้ชัดว่าราชวงศ์ชางยังหลงเหลือผู้ภักดีต่อราชวงศ์
และหากสตรีผู้นี้สามารถค้นหาพวกเขาได้… หยางเย่ไม่กล้าจะคิดต่อ เมื่อนึกดูว่าคนพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่แล้วมันจะน่าสะพรึงเพียงใด ความแข็งแกร่งของผู้ที่อยู่มานานนับร้อยๆปีนั้นไม่ได้อ่อนแอแน่นอน
“เจ้าคิดเห็นเช่นไร? หากพวกเราร่วมมือกัน พวกเราจะมีโอกาสทําลายราชวังบุปผาได้มากขึ้น!” หยินฉวนเอ๋อกล่าวต่อ
หยางเย่สูดหายใจลึกก่อนจะกล่าว “แม่นางหยินกล่าวตามตรงข้าสนใจ แต่ก็ต้องขอปฏิเสธ”
“ทําไมกัน?” หยินฉวนเอ๋องนงง
“เป้าหมายของท่านคือการโค่นล้มจักรวรรดิต้าฉินและหกมหาอํานาจ แต่ของข้ามีแค่ราชวังบุปผาหากข้าร่วมมือกับท่านก็ไม่ต่างจากเป็นศัตรูกับทั้งหมดถึงข้าจะช่วยมารดาได้ครอบครัวของข้าก็ไม่อาจอยู่ได้อย่างสงบสุขยิ่งกว่านั้นข้ายังไม่เชื่อใจท่าน เพราะสัญชาตญาณบอกข้าว่าท่านไม่คิดจะร่วมมือกับข้าเพียงแค่ราชวังบุปผา!” หยางเย่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ถูกต้อง เขารู้สึกว่าสตรีตรงหน้าคิดจะใช้งานเขาต่อหลังจากผ่านเรื่องราชวังบุปผาไป ถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่การคาดเดาเขาก็เชื่อในสัญชาตญาณตนเอง
ยิ่งกว่านั้นหยางเย่ยังเข้าใจหลักการนี้ดี มันเป็นเรื่องที่ดีหากทั้งสองร่วมมือกันถ้าทั้งสองมีจุดแข็งเท่านกันเพราะผู้ที่มีจุดอ่อนมากกว่าจะต้องรับผลลัพธ์ที่น่ากลัว เวลานี้เขายังเป็นฝ่ายที่อ่อนแอกว่าเมื่อเทียบกับนาง
หยินฉวนเอ๋อเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “เจ้านี้ช่างเป็นคนมีเหตุผลมากมายนัก แต่ข้าเชื่อว่าในอนาคตเจ้าจะต้องยอมร่วมมือแน่นอน!”
ทันทีที่กล่าวจบนางกลายลําแสงพุ่งเข้าไปยังตันเถียนน้ำวนเช่นเดิม