ตอนที่ 151 ความกังวลของซูชิงฉือ!
หยางเย่กลับไปยังยอดเขาผู้ใช้ยันต์ และติดต่อกับซูชิงฉือผ่านยันต์สื่อสาร ผ่านไปไม่นานซูชิงฉือได้มาถึงที่
ในห้องของเขา หยางเย่กล่าวเสียงต่ํา “ชิงฉือ ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ปกติ ข้าเลยต้องแจ้งให้เจ้าทราบ”
“ศิษย์ในบางคนออกไปฝึกฝนตนเอง เหตุใดเจ้าถึงบอกว่ามันไม่ปกติล่ะ?” ซูชิงฉือกล่าว
“เจ้าไม่ทราบถึงตัวตนของราชันหมีพสุธางั้นหรือ?” หยางเยประหลาดใจ
“ตัวตนของมัน?” ซูชิงฉืองุนงง
หยางเย่สูดหายใจก่อนจะกล่าว “ราชันหมีพสุธาตัวนั้นไม่ได้อยู่ขั้นราชันอีกแล้ว มันกําลังจะถึงขั้นจิตวิญญาณดังนั้นมู่หรงเหยาและผู้อื่นก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง”
ซูชิงฉือตกตะลึง “จะเป็นขั้นจิตวิญญาณ? เจ้าทราบเรื่องนี้ได้ยังไง? ข้าไม่ได้สงสัยเรื่องที่เจ้ากล่าวข้าแค่อยากทราบ!”
“ข้าสู้กับมันมาแล้ว!” หยางเย่กล่าวต่อ “ยิ่งกว่านั้นข้าเห็นเต็มสองตาว่ามันตบเกราะพลังของพวกโรงเรียนปราชญ์จนแหลกละเอียด!”
ท่าที่ซูชิงฉือเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมเมื่อได้ยิน นางทราบดีถึงความแข็งแกร่งของเกราะพลังนั้นมันเป็นเกราะที่มีเพียงยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณขึ้นไปเท่านั้นที่จะทําลายได้ แต่ราชันหมีพสุธากลับทําได้โดยง่ายแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของมัน
“ยิ่งกว่านั้นราชันหมีพสุธายังไม่ใช่หมีธรรมดา มันเป็นทหารของอาณาจักรสัตว์อสูร และถูกส่งมาเพื่อเฝ้าระวังไม่ให้มนุษย์เหยียบเข้าไปในขุนเขาไม่สิ้นสุด ถึงแม้มู่หรงเหยากับคนอื่นจะมีไพ่ตายจนสามารถฆ่ามันได้และรอดชีวิตแต่พวกเขาก็ต้องถูกพวกอาณาจักรสัตว์อสูรตามมาฆ่าอยู่ดีกล่าวคือไม่ว่าจะยังไงพวกเขาต้องก็ตายแน่นอน!” หยางเย่กล่าวต่อ
ซูชิงฉือเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ย “เพราะเหตุนี้เจ้าถึงบอกว่ามันไม่ปกติใช่หรือไม่?”
หยางเย่ส่ายหัว “ข้าคิดว่ามันเป็นแผนสกัดบรรดาอัจฉริยะของสํานักดาบราชัน หรือก็เพื่อไม่ให้พวกเขาเข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์ได้ลองคิดดูสิจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาสามารถสังหารราชนหมีพสุธาได้?”
ก่อนที่ซูชิงฉือจะตอบ เขาได้กล่าวต่อ “ถึงแม้จะโชคดีรอดพ้นความตายมาได้ พวกเขาก็ต้องถูกทําลายจุดสําคัญความแข็งแกร่งของราชันหมีพสุธานั้นน่าสะพรึงมาก ด้วยร่างกายของข้าที่ทัดเทียมกับสัตว์อสูรทมิฬระดับเก้ข้ายังพ่ายแพ้เพียงโดนตบแค่ครั้งเดียว เจ้าคิดว่าพวกเขาจะทนการตบของอุ้งตีนหมีครั้งเดียวไหวหรือไม่ล่ะ?”
ใบหน้าซูชิงฉือเย็นเยือกขึ้นทันทีหากเป็นที่หยางเย็บอกจริงเช่นนั้นกําลังหลักของสํานักดาบราชันจะต้องจบลงแน่นอนเมื่อเป็นเช่นนั้นสํานักดาบราชันจะไม่สามารถเข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์ได้…
“ข้าไม่มั่นใจ!” หยางเย่กล่าวต่อ “แต่ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับอู่หยางเหยิน ข้าไม่มีหลักฐานหรอกมันเป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้น หากมีบางอย่างผิดปกติกับเขาจริง เช่นนั้นมันจะไม่มีเพียงแค่ราชันหมีพสุธาที่รอพวกเขาอยู่ แต่อาจจะมียอดฝีมือของสํานักภูตผีอยู่ด้วย เวลานั้นพวกเขาจะไม่สามารถกลับมาได้อีกแม้จะมีไฟตายอะไรก็ตาม!”
“อู่หยางเหยินเข้าร่วมสํานักดาบราชันตอนอายุสิบหก และกลายเป็นศิษย์ในตอนอายุสิบเก้าพรสวรรค์ของ เขาไม่นับว่าดีที่สุดในสํานักดาบราชัน แต่ก็ฝึกฝนอย่างหนักเรื่อยมา ทั้งยังมีปฏิสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น เท่าที่ข้าทราบ เขาไม่เคยทําอะไรผิดพลาดมาก่อนในอดีต และผู้อาวุโสยังมีความทับใจในตัวเขาไม่น้อยหากมีอะไรผิดปกติเช่นนั้นคงเกิดขึ้นกับคนมากมายในสํานักดาบราชัน!” ซูชิงฉือกล่าว
หยางเยี่ยิ้มเล็กน้อย เขาทราบว่ามันดูเชื่อถือไม่ได้ และเหตุผลเดียวที่เป็นห่วงก็เพราะสตรีตรงหน้าแต่ดูเหมือนนางจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาสงสัย อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้สนใจมากนักแม้บรรดาอัจฉริยะของสํานักดาบราชันจะตายมันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร กล่าวคือเขาแค่ต้องการจะเตือนนาง!
ซูชิงฉือเหมือนจะสังเกตเห็นท่าที่หยางเย่ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเจ้า แต่มันไม่อาจด่วนตัดสินใจได้เพราะหากศิษย์คนนั้นถูกใส่ความมันก็จะไม่ดีต่อตัวเขา และไม่ดีต่อศิษย์คนอื่นเช่นกัน แต่เราก็ต้องไม่ประมาทข้าจะตามพวกเขาไปและซุ่มดูอู่หยางเหยินอย่างลับ ๆ “
“ข้าเข้าใจดี!” หยางเย่กล่าว “แต่ข้าไม่ปล่อยให้ท่านไปคนเดียว หากมันเป็นแผนของสํานักภูตผีจริงเช่นนั้นพวกมันจะต้องส่งยอดฝีมือไปซ่อนตัวอยู่ในขุนเขาไม่สิ้นสุด ยิ่งกว่านั้นน่าจะมากกว่าหนึ่งคนหากท่านไปเพียงคนเดียวแล้วเกิดพลาดท่าขึ้นมา ท่านก็อาจตายได้!”
ซูชิงฉือพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “เจ้าได้เข้าไปในสุสานจักรพรรดิโจวเมื่อหลายเดือนก่อนหรือไม่?”
หยางเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ทราบว่าเหตุใดนางถึงถามเช่นนี้ แต่ก็พยักหน้าในที่สุด
“ศิษย์สามคนของสํานักดาบราชัน ศิษย์ของโรงเรียนปราชญ์ สํานักภูตผี และของราชวังบุปผาถูกสังหารหมดทุกคนเจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดพวกเขาถึงตาย ซูชิงฉือถามอีกครั้ง
หยางเยู่พยักหน้า “ข้าทราบ”
ซูชิงฉือเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ข้าได้มุ่งตรงไปและตรวจสอบในเวลานั้นพร้อมกับถามคนอื่นข้าทราบว่ามีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับตงอู่ฉางเจ้าเป็นคนที่สังหารเขาหรือไม่?”
“ข้าคิดจะสังหารเขาแต่ก็ไม่ใช่ข้า” หยางเย่ตอบอย่างสงบ จากนั้นเขาอธิบายเหตุการณ์ภายในสุสาน
หลังจากผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง ซูชิงฉือได้เอ่ยขึ้น “ช่างน่าขันนัก! ทุกสํานักกําลังตามล่าหาฆาตกร แต่ฆาตกรกลับเป็นศิษย์ของสํานักพวกเขาเอง”
เมื่อกล่าวจบ นางหยุดชะงักไปอีกครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว”หากเจ้าคิดจะสังหารศิษย์ของราชวังบุปผาครั้งหน้าเช่นนั้นต้องไม่ทิ้งร่องรอยไว้ มิเช่นนั้นถึงมันจะไม่ส่งผลต่อเจ้าแต่มันจะส่งผลต่อมารดาเจ้ เพราะมารดาของเจ้ายังอยู่ในมือพวกมัน หากพวกมันใช้นางเป็นเหยื่อล่อ ท้ายที่สุดเจ้าก็ต้องมุ่งหน้าไปยังราชวังบุปผาและเอาชีวิตไปทิ้งไม่ใช่หรือ?”
หยางเย่ตกตะลึงเพราะเขาไม่เคยนึกเช่นนี้มาก่อนใช่แล้วท่านแม่ยังอยู่ในมือพวกมัน หากราชวังบุปผาทราบว่าเราสังหารศิษย์พวกมัน เช่นนั้นโทษของท่านแม่อาจจะหนักขึ้นได้ตอนนั้นเราคงต้องรับกรรมเพราะตัวเราเองครั้งหน้าเราต้องไม่ใจร้อนก่อนจะมั่นใจที่สุดว่าสามารถสังหารได้โดยไม่มีใครทราบ!!หยางเย่คิดในใจ
“นอกจากนั้น ผู้อาวุโสบัญชาการดาบอรี่หลินได้สละตําเหน่งเรียบร้อยแล้ว!” ซูชิงฉือกล่าวขึ้น “เขารู้สึกเสียใจอย่างมากในสิ่งที่ทํากับเจ้าวันนั้น!”
หยางเย่ส่ายหัว “ชิงฉือ ข้าทราบว่าเจ้าต้องการให้ข้ากลับสํานักดาบราชัน แต่กล่าวโดยตรง ข้าไม่มีความประทับใจใดอีกต่อสํานักดาบราชัน ยิ่งกว่านั้นทุกคนก็ไม่ต้องเห็นข้าสําคัญขนาดนั้นเพราะสํานักดาบราชันคงไม่ถูกทําลายโดยง่ายหรอก”
“เจ้าสําคัญต่อสํานักดาบราชันมาก!” ซูชิงฉือเอ่ยขึ้น
“อย่ากล่าวถึงเรื่องนี้เลยได้หรือไม่?” หยางเย่เอ่ยตอบ ความคิดของซูชิงฉือที่จะเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปสํานักดาบราชันในทําให้หยางเก่ปวดหัวเล็กน้อย มันเป็นไม่ได้อีกถึงแม้ซูชิงฉือจะขอก็ตามเพราะใครจะยืนยันได้ว่าเขาจะไม่ถูกทิ้งอีกหลังจากกลับสํานัก? ถึงแม้สํานักดาบราชันยืนกรานเช่นนั้นเขาก็ไม่เชื่ออีกต่อไป!
ซูชิงฉือถอนหายใจก่อนจะเอ่ย “เจ้าไม่คิดถึงสํานักดาบราชันที่เปรียบเสมือนบ้านเจ้าเลยงั้นหรือ?”
“ไม่อีกแล้ว!” หยางเย่มองไปที่ดวงตาซูชิงฉือ “หากไม่ใช่เพราะท่านอยู่ในสํานักดาบราชัน เช่นนั้นข้าคงไม่แจ้งเรื่องก่อนหน้าให้ทราบ หากท่านไม่ได้อยู่ในสํานักดาบราชัน เช่นนั้นข้าคงไม่ร่วมประลองในนามของสํานักดาบราชันหรอก”
ทั้งหมดนี้อาจเรียกได้ว่าความเสน่ห์ของเขา แต่หยางเย่ก็ไม่คิดที่จะหลอกตนเอง
เปลือกตาซูชิงฉือกระตุก นางมองไปที่เขาก่อนจะหลบสายตา “ขอบคุณที่ทําทุกอย่างเพื่อข้าแต่ข้าต้องขออภัยจากใจข้าไม่ต้องการคิดเรื่องความรักตอนนี้!”
หยางเย่กล่าว “ข้าก็ไม่ต้องการเช่นกัน เมื่อพวกเราทั้งสองไม่ต้องการ เช่นนั้นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของธรรมชาติเพราะเรื่องของชีวิตมันไม่สามารถคาดเดาได้ ทั้งศัตรูของข้ายังร้ายกาจอย่างมากดังนั้นข้าหยางเย่อาจจะไม่มีตัวตนอีกในอนาคต”
หยางเย่ไม่ใช่คนที่มองโลกในแง่ร้าย แต่เขาตระหนักดีว่าศัตรูของตนนั้นเป็นยังไง ถึงแม้ศัตรูของเขายังไม่ลงมือกระทําสิ่งใดในตอนนี้ แต่ในอนาคตก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอนเวลานั้นเขาไม่ทราบว่าจะสามารถเอาชีวิตรอดจากศัตรูทั้งหมดได้หรือไม่ เพราะทุกอย่างมันเป็นเรื่องของอนาคต
“เจ้าคิดจะเผชิญหน้ากับราชวังบุปผาจริงงั้นหรือ?” ซูชิงฉือถาม
“ไม่ใช่ข้าที่คิดจะสู้กับพวกเขา แต่เป็นเพราะพวกเขาต้องการให้ข้าทําอย่างนั้น!“หยางเย่กล่าวต่อ”มันเป็นไปได้ที่ข้าจะทิ้งมารดาไว้ และข้ายังต้องล้างแค้นให้นาง ดังนั้นสงครามจะต้องเกิดขึ้นระหว่างข้ากับราชวังบุปผาแน่นอนถึงแม้ข้าจะเป็นแค่มดปลวกในสายตาของพวกเขา ข้าก็เชื่อว่ามดปลวดตัวนี้จะสามารถล้มยักษ์อสูรได้?”
ซูชิงฉือถอนหายใจเล็กน้อย กล่าวตามตรงนางไม่ต้องการให้หยางเย่ปะทะกับราชวังบุปผาเพราะมันไม่ต่างอะไรกับมดตัวจ้อยเข้าชนต้นไม้สูงใหญ่ และนางทราบดีว่าไม่อาจทําให้หยางเย่ยอมแพ้เรื่องมารดาได้
ถึงแม้หยางเย่จะมีเจตจํานงแห่งดาบ และสามารถควบคุมสัตว์อสูร มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปะทะกับราชวังบุปผา!