ตอนที่ 125 องค์หญิงแห่งราชวงศ์ชาง
สตรีตรงหน้าหาได้สวมเสื้อผ้าไม่ นางกําลังพยายามลุกขึ้นจากโลงศพเผยให้เห็นรูปลักษณ์หน้าตาในไม่นาน เวลานี้หยางเย่ถึงกับลืมหายใจไปชั่วครู่ เลือดในกายของเขาร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
สตรีตรงหน้าดูอายุประมาณยี่สิบปี เส้นผมที่งดงามของนางม้วนเป็นก้อนกลมหลายชั้นราวกับหมั่นโถวแก้มที่แดงราวกับลูกท้อ ดวงตาคมสวย คิ้วที่โค้งงาม ลักษณะของนางนั้นงดงามจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นมนุษย์บนโลกนี้
โดยเฉพาะดวงตาที่มีเสน่ห์ดึงดูดราวกับดวงตาของสุนัขจิ้งจอก มันดูเหมือนจะมีพลังเวทบางอย่างในดวงตาคู่นั้น พวกมันปล่อยแรงดึงดูดที่ยากจะต้านทาน และยากที่จะให้ถอนสายตาได้
ทันทีที่ลอยอยู่กลางอากาศ นางสูดหายใจลึกราวกับขาดอากาศหายใจมานาน การกระทําตรงหน้าทําให้หยางเย่เลือดลมฉุดฉีดเล็กน้อย เพราะทันที่ที่สูดหายใจ หน้าอกของนางได้พองโตขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเป็นเช่นนั้น หยางเยผู้เคยมีประสบการณ์เรื่องสตรีเพียงครั้งเดียวจะต้านทานได้อย่างไร?
ลมหายจของฉินเยว่เองก็หยุดไปชั่วครู่เช่นกัน นางไม่คาดคิดว่าสตรีที่งดงามขนาดนี้จะมีอยู่บนโลกนางเคยรู้สึกว่ารูปลักษณ์ของตนเองนั้นงดงาม แต่เมื่อเทียบกับสตรีตรงหน้านั้นไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือหน้าตาก็นับว่าด้อยกว่าทุกอย่าง ถึงแม้มันยากจะยอมรับ แต่ความจริงก็คือความจริง
สตรีตรงหน้ามองมาที่หยางเย่ก่อนจะกะพริบตาปริบ ดวงตาจิ้งจอกได้ปล่อยเสน่ห์ที่รุนแรงจนสามารถดึงดูดจิตวิญญาณได้ออกมา
มันเป็นความงามที่หาใครเทียบมิได้โดยแท้จริง! หยางเยู่สูดหายใจลึกก่อนจะโคจรเจตจํานงแห่งดาบ หลังจากใช้เจตจํานงแห่งดาบ ความคิดของหยางเย่ก็กลับมาปลอดโปร่งอีกครั้งถึงแม้หัวใจเขาจะเต้นรัวเล็กน้อยเมื่อมอง แต่เขาก็หาได้แสดงท่าทีที่น่าอายไม่
ประกายแห่งความประหลาดใจปรากฏผ่านดวงตาของนางขณะมองหยางเย่ จากนั้นริมฝีปากแดงสดได้เริ่มขยับ “เจตจํานงแห่งดาบ ข้าไม่คาดคิดว่าผู้บ่มเพาะพลังขั้นปราณมนุษย์อย่างเจ้าจะมีเจตจํานงแห่งดาบได้ น่าสนใจนัก!” น้ําเสียงของนางนุ่มนวลและอ่อนหวาน มันทําให้ผู้ที่ได้ฟังราวกับอาบน้ําท่ามกลางสายลมของฤดูร้อน
ทันใดนั้นฉันซี่เยว่เอ่ยถามขึ้น ”ผู้อาวุโสเป็นจักรพรรดินีตําจีแห่งราชวงศ์ชางเมื่อหลายปีก่อนใช่หรือไม่?
หยางเย่ตกตะลึงเมื่อได้ยินคําว่าตําจี้ ตามตํานาน นางคือสตรีที่งดงามเป็นอันดับหนึ่งในเขตแดนใต้เมื่อหลายปีก่อน ความงดงามของนางทําให้ชายทั้งหลายถึงกับคลุ้มคลั่งตามที่คาดการณ์ ราชวงศ์ชางอาจล่มสลายเพราะสตรีผู้นี้ ดังนั้นหากนางคือตําจี้จริง มันก็ไม่แปลกที่จะสามารถสี่อสารกับสหายตัวจ้อยได้ เพราะนางคือสัตว์อสูร!
แต่หยางเย่ยังคงสับสน “นางไม่ได้ถูกสังหารโดยจักรวรรดิต้าฉินหรือสํานักต่าง ๆ งั้นหรือ?”
“จักรพรรดินีราชวงศ์ชาง?” ประกายแห่งความสับสนปรากฏผ่านดวงตานาง หลังจากผ่านไปชั่วครู่จึงได้เผยรอยยิ้ม นางไม่ได้ตอบฉินเยวแต่กลับมองไปที่มิงค์ม่วงบนไหล่ของหยางเย่ ” สหายตัวจ้อยเจ้ามาจากตระกูลมิงค์สินะ? โอ้ เดียวนะ แรงกดดันทางสายเลือดของเจ้าทําให้ข้ารู้เกรงกลัวเล็กน้อย เจ้าคือ…” ทันใดสตรีตรงหน้าได้เปิดตากว้างราวกับครุ่นคิดบางอย่าง ไม่นานประกายแห่งความกลัวได้หายไปจากดวงตา
มิงค์ม่วงกะพริบตาทําให้แสงสีม่วงปรากฏขึ้น ดูเหมือนจะส่งสัญญาณเตือนสตรีตรงหน้า
หยางเยี่ยื่นมือไปอุ้มพร้อมลูบหัวสหายตัวจ้อยก่อนจะกล่าวด้วยน้ําเสียงเศร้าสร้อย ” สหายเรารู้จักกันมานาน แต่ก็ยังไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยต้นกําเนิดของตนเอง หรือว่าข้าไม่ใช่สหายเจ้า แล้ว?”
มิงค์ม่วงรีบส่ายหัว จากนั้นมันคลอเคลียใบหน้าหยางเยู่และใช้กรงเล็บโบกไปมา
ขณะมองดูมิงค์ม่วงกระวนกระวาย หยางเย่ได้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เอาเถอะ ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ไว้บอกข้าเมื่อถึงเวลาแล้วกัน ตกลงหรือไม่?”
มิงค์ม่วงพยักหน้า
ทันใดนั้นสตรีตรงหน้าได้เอ่ยขึ้น ”สหายตัวจ้อย ถึงแม้เจ้าหนุ่มคนนี้จะมีเจตจํานงแห่งดาบเมื่ออายุสิบเจ็ดปี มันก็ยังไม่นับว่าแข็งแกร่ง ดังนั้นเจ้าอยู่กับเขาไปก็ไม่มีอนาคต เหตุใดถึงไม่มากับข้าล่ะ?”
ใบหน้าหยางเย่มืดดําในทันทีที่ได้ยิน เพราะสตรีตรงหน้ากําลังพยายามจะแย่งมิงค์ม่วงไปจากเขายิ่งกว่านั้นนางยังดูหมิ่นเขาอย่างไม่ลังเล หากทราบว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่ปล่อยเจ้าออกมาหรอก!”
มิงค์ม่วงมองไปยังสตรีตรงหน้าอย่างไม่พอใจ มันรีบพุ่งไปที่ไหล่ของหยางเย่ก่อนจะลูบใบหูของเขาด้วยกรงเล็บ และยังทําท่าที่ไม่สนใจนางแม้แต่น้อย
หยางเยรู้สึกดีใจอย่างมาก “สหาย เจ้าช่างเป็นสหายที่น่ารักนัก!”
สตรีตรงหน้าเผยรอยยิ้มไม่เอาเรื่องกับความคิดของตัวมิงค์ นางมองไปยังหยางเย่พร้อมกล่าว”เจ้าหนุ่ม เมื่อมันตั้งใจจะอยู่กับเจ้า เช่นนั้นก็เป็นโชคของเจ้าแล้ว จงจําไว้ว่าต้องดูแลมันอย่างดีเข้าใจหรือไม่?”
“ผู้อาวุโส ข้าคิดว่าท่านควรสวมเสื้อผ้าก่อน” หยางเย่แนะนําด้วยสีหน้าจริงจัง หากเขาไม่สามารถใช้เจตจํานงแห่งดาบได้ เช่นนั้นคงหลงเสน่ห์นางอย่างสมบูรณ์ขณะสนทนากัน ถึงแม้จะมีเจตจํานงแห่งดาบปกป้องสติตนเองอยู่ แต่รูปลักษณ์ของนางก็ยังทําให้เลือดในกายร้อนรุ่มไม่น้อย
สตรีตรงหน้าหัวเราะ “ข้ายังไม่สนใจเลย เหตุใดเจ้าต้องมีปัญหาด้วย? อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่อยากเห็นอีก!”
ถึงแม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่นางก็ยังทําท่าที่สบายใจพร้อมหาผ้าบางมาปกปิดจุดลับ
ฉินช่เยวมองไปที่หยางเย่อย่างไม่พอใจ เพราะนางเห็นว่าหยางเยู่มีอาการที่ไม่ค่อยสุภาพเหมือนก่อนหน้านี้
หยางเย่หาได้สนใจสายตาของฉินเยว่ไม่ เขามองไปที่สตรีตรงหน้าพร้อมเอ่ย “ผู้อาวุโส ข้าเปิดโลงช่วยท่านออกมาแล้ว เช่นนั้นหากไม่มีสิ่งใด พวกเราคงต้องขอตัว”
“เจ้ากําลังบอกว่าข้าติดหนีชีวิตเจ้างั้นหรือ?” สตรีตรงยิ้มอย่างมีเลศนัยขณะมองหยางเย่
หยางเย่หน้าแดงจากการถูกเผยความจริง “ข้าลงมือเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น ไม่มีอะไร…”
สตรีตรงหน้ากล่าวขึ้น ” แต่เดิมข้าตั้งใจจะรออีกหนึ่งหรือสองร้อยปีเพื่อจะออกมา แต่ไม่คาดคิดว่าพวกเจ้าจะลงมาที่นี่ แน่นอนว่าเพราะสหายตัวจ้อย ข้าสัมผัสได้ถึงพลังของมันตั้งแต่มาถึงสุสานจักรพรรดิโจว ข้าจึงได้ใช้เคล็ดวิชาลับของตระกูลจิ้งจอกเก้าหางเพื่อสื่อสารกับมัน แต่ไม่คาดคิดว่าพวกเจ้าจะมาที่นี่ด้วย ไม่ว่ายังไงมันก็เกิดขึ้นแล้ว ยิ่งกว่านั้นเจ้ายังเปิดโลงให้ข้า การกระทําดังกล่าวถือว่าเป็นความกรุณาอย่างยิ่ง”
หยางเยรู้สึกดีใจอย่างมาก เขาตระหนักว่าสตรีตรงหน้ายังพอเป็นคนที่ดี เพราะนางยังรู้จักขอบคุณและไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ในส่วนของฉันซี่เยว่ นางตกตะลึงพร้อมร้องออกมาอย่างไม่เต็มใจ “ตระกูลจิ้งจอกเก้าหางท่านคือตจึงั้นหรือ?”
”นางคือมารดาของข้า!” นางตอบอย่างเรียบง่าย
“องค์หญิงของราชวงศ์ชาง!”
ทั้งสองต่างตกตะลึง เพราะสตรีตรงหน้าคือองค์หญิงของราชวงศ์ชาง แต่ทั้งสองเองก็สับสนไปพร้อมกันว่าเหตุใดองค์หญิงของราชวงศ์ชางถึงมานอนในโลงศพได้
สตรีตรงหน้าได้กล่าวอีกครั้ง “ตอนนี้โลกเป็นของจักรวรรดิต้าฉันอยู่หรือไม่?”
หัวใจของฉันซี่เยว่เต้นรัว ราชวงศ์ชางนั้นกล่าวได้ว่าต้องพบกับหายนะเพราะจักรวรรดิต้าฉินเมื่อนางเป็นถึงองค์หญิงของราชวงศ์ชาง เช่นนั้นจะต้องเกลียดชังจักรวรรดิต้าฉินอย่างมาก หากนางทราบถึงตัวตนของเรา เช่นนั้นคงไม่ปล่อยเราไปแน่ ถึงแม้จะไม่ทราบความแข็งแกร่งของนางแต่ก็คงเหนือกว่าขั้นปราณราชันแน่นอน”
” ปัจจุบัน เขตแดนใต้ได้รวมกันเป็นปึกแผ่น และมีเพียงจักรวรรดิต้าฉันเท่านั้นที่ปกครองอยู่” หยางเย่กล่าวด้วยเสียงต่ํา
“มันเป็นปึกแผ่นกันแล้ว?” สตรีตรงหน้าเอ่ยถาม ” แล้วโรงเรียนปราชญ์ล่ะ? สํานักนี้ยังมีอยู่หรือไม่?”
เมื่อเอ่ยถึงโรงเรียนปราชญ์ น้ําเสียงของนางค่อนข้างเย็นเยือกเล็กน้อย
หยางเย่ตอบ “ยังมีอยู่ โรงเรียนปราชญ์ในปัจจุบันอยู่อันดับสูงสุดของหกมหาอํานาจแห่งเขตแดนใต้!”
นางเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมครุ่นคิด แต่หยางเย่ทราบดีว่าคงไม่ใช่สิ่งดี เพราะใบหน้านางนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ทันใดนั้นมิงค์ม่วงแตะไปที่หูหยางเย่ก่อนจะหายเข้าไปในร่างเขา มันนอนลงและเริ่มกรนออกมาจากตันเถียนน้ําวน
เมื่อเห็นสหายตัวจ้อยเข้าไปในร่างของหยางเย่ สตรีตรงหน้ารีบกล่าวพร้อมเปิดตากว้างเหมือนจะตกใจอย่างมาก
ฉินเยว่เองก็สับสนเช่นกันเมื่อเห็นฉากนี้ ถึงแม้นางจะสงสัยว่ามิงค์ม่วงและราชันหมาป่าหายไปอยู่ที่ไหน นางก็ไม่เอ่ยถามหยางเย่ เพราะเขาคงปฏิเสธที่จะบอก นางคิดว่าคงใช้วิชาลับศักดิ์สิทธิ์บางอย่างในการเก็บสัตว์อสูรไว้ แต่เมื่อเห็นสตรีตรงหน้าแสดงออกเช่นนั้น นางจึงรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติแน่
“บัดซบ!” หยางเย่ร้องตะโกนในใจเมื่อเห็นท่าที่ตกตะลึงของนาง เขาบอกสหายตัวจ้อย “สหายหากเจ้าอยากจะนอนก็รออีกสักหน่อยไม่ได้หรือไง!”
“มัน… มันไปอยู่ไหน?” สตรีตรงหน้าถาม
หยางเย่กะพริบตาพร้อมเอ่ย “นี่คือวิชาลับของข้า ถึงแม้ยังไม่ค่อยมั่นใจ แต่ข้าจะถามมันให้ครั้งหน้า”
“ไร้สาระ!” สตรีตรงหน้าสบถคําก่อนจะพุ่งไปปรากฏตัวตรงหน้าหยางเย่ หลังจากนั้น นางใช้มือที่บอบบางวางบนอกหยางเย่และเริ่มตรวจสอบร่างกายของเขา
ท่าที่หยางเย่เปลี่ยนไปทันที เขาไม่ลังเลที่จะชักดาบฟันใส่นาง ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่คิดจะออมแรงและใช้พลังเต็มที่พร้อมเจตจํานงแห่งดาบ
ความเร็วนั้นราวกับสายฟ้า มันไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
อย่างไรก็ตาม ดาบที่ฟันลงไปอย่างรวดเร็วได้ถูกนิ้วทั้งสองของนางหยุดไว้