ตอนที่ 124 ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระ!
“มีอะไรติดบนหน้าข้างั้นหรือ?” หยางเย่มองไปยังฉินเยวที่จ้องมาอย่างแปลกประหลาดตั้งแต่ออกมาจนถึงตอนนี้ ฉินนี่เยวมองเขาบ่อยมาก และมันทําให้หยางเย่รู้สึกหงุดหงิด
ฉินเยว่กะพริบตาก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจัง “น้องชาย อันที่จริงพี่หญิงรู้สึกกับเจ้าแล้วตอนนี้”
ก่อนหน้านี้ การกระทําที่เด็ดเดี่ยวและไร้ความปรานีของหยางเย่ มันเกินความคาดหมายอย่างมากนางจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะชอบคนเช่นนี้
“ความรักของท่านเกิดขึ้นง่ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
แต่จะให้หยางเย่เชื่อเรื่องไร้สาระจากนางได้อย่างไร?
ฉินซี่เยว่ยิ้มพร้อมเอ่ย “น้องชายทัศนคติของเจ้าที่มีต่อพวกเขาแม้จะไม่ใช่สํานักดาบราชันแล้วก็ตาม เจ้าน่าจะมีความสัมพันธ์หลงเหลืออยู่บ้าง แต่เจ้ากลับโจมตีสานักดาบราชันอย่างไม่ลังเล?แน่นอนว่าพี่หญิงต้องอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว!”
หยางเยู่เงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย “ข้าเคยเป็นศิษย์ของสํานักดาบราชัน”
“เคยเป็น? งั้นก็หมายความว่าตอนนี้เจ้าไม่ใช่สินะ ทําไมล่ะ?” ดวงตาฉินเยว่เต็มไปด้วยความสงสัย
“เพราะข้าถูกไล่ออกจากสํานัก อันที่จริง ข้ายังไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ของสํานักเลยด้วยซ้ําเข้าใจหรือไม่?” หยางเย่กล่าวอย่างเย็นชา
“เป็นแบบนั้นได้ยังไง?” ฉินเยว่เปิดตากว้างก่อนจะกล่าวด้วยน้ําเสียงไม่น่าเชื่อ “เจ้าสามารถเข้าถึงเจตจํานงแห่งดาบและยังร้ายกาจถึงเพียงนี้ สํานักดาบราชันควรจะสนับสนุนเจ้าอย่างดีสิแต่ทําไมถึงไล่เจ้าออกเจ้าสํานักได้?”
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่ข้าต้องโกหกท่าน?” หยางเย่เอ่ย
ฉินเยวส่ายหัว “ไม่ใช่ว่าพี่หญิงไม่เชื่อเจ้า แต่พี่หญิงแค่ไม่เข้าใจ!”
“เพราะข้าทําให้ราชวังบุปผาขุ่นเคือง และสํานักดาบราชันถูกกดดันจากราชวังบุปผาเหมือนกับที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ท่านเข้าใจหรือยัง?” หยางเย่กล่าวอย่างเย็นชา เขาไม่คิดถึงสํานักดาบราชั้นแม้แต่น้อย เขาสนใจแค่ผู้อาวุโสเชียนและซูชิงฉือเท่านั้น
“ไม่สงสัยเลยว่าทําไมเจ้าถึงมีท่าทีเช่นนั้นกับราชวังบุปผา และโจมตีตงอู่ฉางอย่างไม่ลังเล!”ฉินเยว่กล่าว ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหยางเยถึงคิดสังหารพวกเขาทันทีที่โจมตี มันเป็นเพราะเขามีความขัดแย้งมาก่อนกับทั้งสองสํานัก
“ให้ตายเถอะ มันเป็นเพราะพวกเขาทําให้ข้าไม่พอใจก่อนไม่ใช่หรือ? ท่านทําเหมือนข้าเล็งพวกเขาอย่างตั้งใจ!” หยางเย่หงุดหงิดเล็กน้อย
ฉินช่เยว่หยุดเคลื่อนก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “น้องชาย บอกพี่หญิงมาตามตรง เจ้าคิดจะสร้างกองกําลังเพื่อปะทะกับราชวังบุปผาใช่หรือไม่?”
“ใช่!” หยางเย่ตอบอย่างไม่ปิดบัง
ฉินที่เยวสุดหายใจลึกเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ประกายแห่งความขมขื่นปรากฏผ่านใบหน้านาง “น้องชายเจ้าทราบหรือไม่ว่าราชวังบุปผานั้นน่าสะพรึงเพียงใด? นั่นคือมหาอํานาจที่มียอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิอยู่! ยิ่งกว่านั้นยังมียอดฝีมือขั้นปราณจุติ และปราณจิตวิญญาณอีกนับไม่ถ้วนแต่เจ้าขอให้พี่หญิงสร้างกองกําลังขึ้นมาเพื่อประชันกับมหาอํานาจที่ร้ายกาจ ข้าว่าเจ้าประเมินพี่หญิงสูงเกินไปแล้ว!”
“ท่านกลัวงั้นหรือ?” หยางเย่เอ่ยถาม
“จะไม่ให้ข้ากลัวได้อย่างไร?” ฉินซี่เยว่กลอกตามอง “น้องชาย พี่หญิงไม่ทราบว่าพวกเจ้ามีความขัดแย้งสิ่งใดกัน แต่พี่หญิงต้องการจะบอกเจ้าสักหน่อย อย่าว่าแต่เจ้าจะมีเจตจํานงแห่งดาบเลยแม้กระทั่งสํานักดาบราชันยังไม่สามารถทําอะไรราชวังบุปผาได้”
“แล้วกองกําลังทหารของหลานชายท่านก็แข็งแกร่งกว่าท่านมากมายเช่นกัน แต่ท่านจะยอมแพ้เพื่อช่วยมารดาเพราะเรื่องนี้หรือ?” หยางเย่ถามอย่างเคร่งขรึม
“แน่นอนว่าไม่ แต่…”
หยางเย่กล่าวขัดจังหวะฉินเยว่ “ไม่มีคําว่าแต่ ในโลกนี้จะหาโอกาสที่ดีได้อย่างไรหากเราไม่ลองลงมือทําดูก่อนหากพวกเราทํา มันก็ยังพอมีโอกาสแม้จะเพียงเล็กน้อย ดังเช่นปู่ของท่านหากไม่ออกไปท่องยุทธภพแล้วเขาจะรวบรวมเขตแดนใต้เพื่อก่อตั้งจักรวรรดิต้าฉันได้ยังไง?”
“พี่หญิงขอถามเจ้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงต้องสู่กับราชวังบุปผา?” ฉินเยว่เอ่ยถาม
ขณะที่หยางเย่กําลังจะกล่าวบางอย่าง มิงค์ม่วงที่กําลังนําทางอยู่ได้หยุดชะงัก มันมองไปรอบด้านก่อนจะมองลงไปที่พื้น จากนั้นมันพุ่งไปชี้ที่พื้นตรงหน้าหยางเย่ ดูเหมือนว่าสิ่งที่กําลังตามหาจะอยู่ที่นี่
หยางเย่รีบกระทืบพื้นอย่างรุนแรง แต่พื้นดินนั้นแข็งมาก และไม่มีรูปร่างเหมือนทางลับเขาขมวดคิ้วพร้อมเอ่ย “สหายเจ้าคิดว่ามันอยู่ด้านล่างนี้งั้นหรือ?”
มิงค์ม่วงพยักหน้า
“แต่มันไม่มีอะไรเลยนะ!” หยางเย่กล่าว
มิงค์ม่วงกะพริบตาก่อนจะชี้ไปอีกครั้งด้วยกรงเล็บเล็กจ้อย
หยางเย่พยักหน้า เขานําดาบออกมาฟันไปที่พื้นหยางเย่แปลกใจอย่างมาก เพราะการโจมตีของเขาไม่สามารถทิ้งรอยบนพื้นได้แม้แต่น้อย ถึงแม้จะใช้พลังไปแค่สามในสิบส่วน แม้กระทั่งโลหะทมิฬยังมีรอยขีดข่วน แต่พื้นดินที่นี่กลับไม่ระคายเคือง เป็นไปได้ไหมว่ามันแข็งกว่าโลหะทมิฬ?
ขณะที่หยางเย่กําลังจะลองอีกครั้ง พื้นดินได้เริ่มบิดเบี้ยว หยางเยู่และฉินที่เยวถึงกับตกตะลึงพวกเขาคิดจะถอยหลังออกแต่มันก็ช้าเกินไป เวลานี้โลกรอบตัวทั้งสองหมุนไปมาจนทําให้สติของพวกเขาพร่าเลือน
หลังจากเวลาผ่านไปชั่วครู่ หยางเยู่ได้สติพร้อมเปิดดวงตาขึ้น จากนั้นรีบหันไปมองด้านข้างโชคดีที่ทั้งมิงค์ม่วงและฉินช่เยว่ยังอยู่ที่นี่
“ที่นี่ที่ไหน?” หยางเย่ลุกขึ้นมองรอบด้านพร้อมเอ่ยถาม ตอนนี้พวกเขาอยู่ในห้องลับ และห้องยังดูหรูหราอย่างมาก กําแพงยังถูกประดับตกแต่งไปด้วยอัญมณีแปลกประหลาดมากมาย
ทันใดนั้นดวงตาของหยางเย่หรี่เล็กลง เขาสังเกตเห็นกําแพงรอบด้านสลักอักขระยันต์ไว้อย่างแน่นหนา
ไม่นานสายตาหยางเย่มองไปยังกําแพงตรงกลาง มันมีโลงศพตั้งอยู่ตรงกลางห้อง และโลงศพเองก็มีสัญลักษณ์ของอักขระยันต์อยู่
“นี่เป็นหนึ่งในหกห้องหลัก” ฉินเยวมองไปยังโลงศพพร้อมเอ่ย “งั้นก็เป็นเพราะค่ายกลยันต์พวกนี้ที่ปิดบังร่องรอยของห้องลับมาตลอด ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมหกมหาอํานาจ และจักรวรรดิ ต้าฉันถึงไม่สามารถหามันพบ”
ทันใดนั้นมิงค์ม่วงยืนกรงเล็บชี้ไปทางโลงศพ
หยางเย่กระดกน้ําลายก่อนจะเอ่ย “เจ้าบอกว่าสิ่งที่เรียกหานั้นอยู่ในโลงศพงั้นหรือ?”
มิงค์ม่วงพยักหน้า
หยางเย่และฉินเยว่สบตากันก่อนจะเผยท่าที่เคร่งขรึม สิ่งที่อยู่ข้างในโลงศพเรียกหาสหายตัวจ้อย ดังนั้นสิ่งที่อยู่ข้างในโลงก็ต้องมีชีวิตน่ะสิ?”
ทันใดนั้นมิงค์ม่วงได้ชี้ไปยังโลงศพอีกครั้งพร้อมแสดงท่าที่ตื่นเต้น
“เจ้ากําลังบอกว่าให้ข้าช่วยเปิดโลงศพงั้นหรือ?” หยางเยถาม
มิงค์ม่วงพยักหน้า
หยางเย่มองไปยังโลงศพ ตอนนี้เขาสังเกตเห็นว่ามีอักขระยันต์มากมายพาดผ่านโลงศพเห็นได้ ชัดว่าอักขระยันต์เหล่านั้นใช้เพื่อสะกดสิ่งมีชีวิตลึกลับข้างในโลง สาเหตุที่เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับ เพราะหยางเย่ไม่สามารถระบุได้ชัดว่ามันคือมนุษย์หรือสัตว์อสูร..
ตอนนี้หยางเย่กําลังเผชิญกับปัญหาหนัก เปิดหรือไม่เปิด! หากเขาเปิดแล้วสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นชั่อุตส่าห์มาได้ถึงตรงนี้
“เปิดมันเลย!” ทันใดนั้นฉันซี่เยว่กล่าวขึ้น “ไม่ว่าอะไรจะอยู่ข้างใน มันก็ได้นําพาเราให้มาที่นี่ทั้งยังไม่ทําอะไรเราเมื่อมาถึง เมื่อไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นและยังสื่อสารกับสหายตัวจ้อยโดยไม่ทําให้มันรู้สึกเกลียดหรือกลัวเช่นนั้นสิ่งที่อยู่ในโลงศพต้องไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายแน่นอน!”
“สหาย มันไม่มีเจตนาร้ายกับพวกเราใช่หรือไม่?” หยางเยถามมิงค์ม่วงอีกครั้ง
มิงค์ม่วงกะพริบตาแต่ไม่พยักหน้าหรือส่ายหัว เพราะมันก็ไม่ทราบว่าควรตอบเช่นไร
หยางเย่ทําได้เพียงหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าที่สหายตัวจ้อย จากนั้นเขาเลิกลังเลก่อนจะเดินไปยังโลงศพ ถึงแม้สิ่งที่อยู่ภายในนั้นจะเลวร้าย แต่หากไม่ใช่ยอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิพวกเขาก็ยังสามารถต่อกรได้ เพราะเขายังมียันต์ระดับสูงอยู่สามชิ้นจากอาจารย์ และยังมีไข่มุกโลหิตมารอยู่ด้วย อย่างน้อยก็สามารถต่อกรได้ถึงขั้นปราณจุติ
หยางเย่เดินมาถึงโลงศพ เขามองไปยังอักขระยันต์ก่อนจะสูดหายใจลึกและหยุดลังเล เขาชักดาบออกมาสะบัดฝาโลงทิ้ง
ฝาโลงถูกเปิดออกในทันที จากนั้นหยางเย่ได้พุ่งถอยหลังออกไปพร้อมแสดงท่าทีระมัดระวัง
“โอ้ ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระ!” หลังจากผ่านไปสองลมหายใจ เสียงที่ไพเราะเสนาะหูดังออกมาจากโลงศพ