ตอนที่ 120 ประตูเปิดแล้ว!
“น้องชายต้องการสังหารสตรีผู้นั้นใช่หรือไม่?” ฉินเยวมองไปที่หยางเย่ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ําเสียงจริงจัง
หยางเย่ค่อนข้างประหลาดใจ เพราะเขาปกปิดจิตสังหารไว้อย่างดี แต่ไม่คาดคิดว่านางจะทราบได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ปกปิดพร้อมพยักหน้า
ฉินเยว่กล่าว ”น้องชาย พี่หญิงไม่ทราบว่ามีความขัดแย้งใดระหว่างเจ้าหรือนางหรือราชวังบุปผา แต่พี่หญิงต้องการจะบอกว่า หากจะทําเช่นนั้น เจ้าห้ามทําแบบเปิดเผย กับโรงเรียนปราชญ์เองก็เช่นกัน เพราะเมื่อเจ้าสังหารพวกเขา แล้วสํานักสืบได้ เจ้าจะต้องพบกับหายนะแน่นอน!”
“จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาโจมตีก่อน?” หยางเย่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ผลก็เป็นเช่นเดิม!” ฉินเยว่กล่าว เว้นแต่อํานาจหนุนหลังเจ้าไม่ด้อยไปกว่าราชวังบุปผา และโรงเรียนปราชญ์ มันก็เป็นอีกเรื่อง!”
หยางเย่ยิ้มและไม่กล่าวสิ่งใด อันที่จริงหากทั้งสองโจมตีเข้ามาก่อนหน้านี้ หยางเย่เองก็เตรียมตัวปลิดชีวิตทั้งสองไปแล้ว
โชคไม่ดีที่ถูกขัดขวางโดยฉินเยว่ เห็นได้ชัดว่าฉันเยว่ทราบว่าเขาจะทําอะไร ดังนั้นนางจึงพยายามช่วยทั้งสองเพื่อไม่ให้เกิดเรื่อง
ถึงแม้เขาจะอยู่เพียงขั้นปราณมนุษย์ แต่หากใช้ก้าววายุผสานเข้ากับความเร็วและเจตจํานงแห่งดาบเช่นนั้นการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวจะสามารถทําให้เขาสังหารทั้งสองได้ด้วยการโจมตีเดียว แต่ก็เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการให้เขาทําเช่นนั้น อย่างไหร่ก็ตามเขาหาได้โกรธเคืองไม่เพราะมันยังโอกาสอีกหลายครั้งในสุสานจักรพรรดิโจว
หยางเย่ส่ายหัวและหยุดคิดทุกสิ่ง จากนั้นปิดตาลงเพื่อรอคนเปิดสุสาน ก่อนหน้านี้เขาได้ยินคนอื่นสนทนากันว่าจะมีคนมาเปิดสุสาน สิ่งเดียวที่ทําได้ตอนนี้คือต้องรอ!
ฉินช่เยวมองไปทางซูเสียวเสี่ยวที่ยืนสนทนากับกงหยวน จากนั้นนางหันมามองหยางเยู่พร้อมครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
“ศิษย์พี่เหว่ยเหริ่น เขาคือหยางเย่จริงหรือ?” ณ ทางเข้าราชวัง หนึ่งในกลุ่มของศิษย์สํานักดาบราชันเอ่ยถามศิษย์พี่ของเขา
ชายหนุ่มนามเหว่ยเหริ่นพยักหน้าพร้อมกล่าว “หลังจากเขาจัดการกับหลิวชิงอวีด้วยการโจมตีเดียวนวันนั้น เขาก็ไม่ปรากฏตัวที่สํานักดาบราชันอีกเลย ข้าไม่คาดคิดว่าจะอยู่ที่นี่”
“เขาจัดการหลิวชิงอวี่ที่อยู่ขั้นปราณสวรรค์จริงหรือ?” น้ําเสียงของชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างสงสัย
เหว่ยเหริ่นมองไปที่หยางเยู่พร้อมกล่าว ” ข้าเห็นเต็มสองตา ตามที่พี่ฉินเฟิงบอก หยางเย่ยังไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริงด้วยซ้ํา ยิ่งกว่านั้นพี่ฉินเฟิงยังบอกว่าหากหยางเย่เข้าทดสอบเทียบอันดับสํานักนอก เขาจะต้องอยู่ในสิบอันดับแรกแน่นอน และตอนนี้เขาเป็นอันดับหนึ่งแล้ว”
หยางเย่หาได้ใช่ผู้ที่ไม่มีใครไม่รู้จักนสํานักนอก เพราะความสามารถที่ร้ายกาจของเขานั้นเหนือกว่า “สตรีปีศาจ”
“อันดับหนึ่งของเทียบอันดับสํานักนอก!” ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงต่ํา ” กล่าวคือเขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเทียบอันดับสํานักนอกงั้นหรือ?”
“อย่าว่าแต่สํานักนอก แม้แต่ศิษย์สํานักภายในหลายคนยังไม่อาจทัดเทียมเขาได้!” เหว่ยเหริ่นกล่าวอย่างหนักแน่น
ชายหนุ่มถามอีกครั้ง “ศิษย์พี่เหว่ยเหริ่น พวกเราควรเข้าไปทักทายเขาหรือไม่?”
เหว่ยเหริ่นลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายหัว “เขาคงจะสังเกตเห็นเราตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อเขาไม่เข้ามาทักทายพวกเรา เช่นนั้นข้าคิดว่าเขาไม่ต้องการทําเช่นนั้น หรือมีเหตุผลบางอย่างที่เขาไม่สามารถทําได้ พวกเราควรจะรอดูดีกว่า”
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา ฝูงคนที่มานับได้ว่ามหาศาล มีประมาณหนี้งหมื่นคนที่นี่ นอกจากโรงเรียนปราชญ์ ราชวังบุปผา และสํานักดาบราชัน ยังศิษย์จากสถาบันจักรพรรดิและตระกูลต่าง ๆ ในจักรวรรดิ
ทันใดนั้นดวงตาหยางเยู่ที่หลับอยู่ขณะทําสมาธิก็ได้เปิดขึ้น เขายื่นมือออกไปดึงมือฉันเยว่ก่อนจะพานางวิ่งไปอีกทิศทางหนึ่ง
ถึงแม้ฉินเยว่จะไม่เข้าใจว่าทําไมหยางเยถึงทําเช่นนั้น นางก็ไม่ขัดขืนเขาแม้แต่น้อย
หลังจากที่หยางเย่และฉินเยว่ออกมาจากฝูงคน ชายหนวดโค้งได้ปรากฏตัวจากที่ที่พวกเขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ ชายหนวดโค้งกวาดสายตาท่ามกลางฝูงคน ประกายแห่งความสงสัยปรากฏผ่านดวงตาเขาเมื่อไม่เห็นหยางเย่และฉินเยว่
ทันใดนั้นชายเกราะทองเองก็มาถึงข้างชายหนวดโค้ง
ชายหนวดโค้งมองไปที่ชายเกราะทองอย่างเย็นชาก่อนที่ร่างของเขาจะหายไป
ชายเกราะทองเองก็กวาดสายตาไปทั่วเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ว่าหยางเยู่และฉินซีเยว่อยู่แถวนี้แต่ไม่ทราบด้วยเหตุผลอะไร พวกเขาได้หายไปทันทีที่มาถึง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ร่างของชายเกราะทองก็หายไปเช่นกัน
ในมุมมืดของกําแพง ฉินนี่เยวและหยางเย่ประกดติดกันอย่างแนบแน่น พวกเขากลั้นหายใจฟังอย่างระมัดระวังภายในเกราะพลังสีม่วง
หลังจากผ่านไปสิบห้านาที มิงค์ม่วงที่อยู่บนไหล่หยางเย่ขยับกรงเล็บทําให้เกราะพลังหายไปมิงค์ม่วงพยักหน้าให้หยางเย่ และเขาเองก็ถอนหายใจโล่งอก
ฉินเยว่เอ่ยถาม ” พวกเขาไปแล้วงั้นหรือ?”
หยางพยักหน้าพร้อมกล่าว “ก่อนหน้านี้สหายตัวจ้อยบอกข้าว่ามีคนที่มีสัมผัสเทวะกําลังตามหาพวกเราอยู่ดังนั้นข้าจึงดึงท่านออกมา โชคดีเกราะพลังของสหายตัวจ้อยสามารถป้องกันสัมผัสเทวะได้มิเช่นนั้นพวกเราคงเจอปัญหาใหญ่แน่!”
ทันทีที่กล่าวจบหยางเยี่ยื่นมือไปลูบหัวสหายตัวจ้อย ” ข้าต้องขอบคุณเจ้าอีกครั้งแล้ว!”
มิงค์ม่วงกะพริบตาปริบก่อนจะยื่นเล็บไปแตะหน้าหยางเย่ราวกับมันกําลังบอกว่าไม่จําเป็นต้องขอบคุณ
ประกายแห่งความหลงใหลปรากฏผ่านดวงตานางขณะมองไปที่มิงค์ม่วง “น้องชาย บอกพี่หญิงตามตรง มันคือราชันแห่งสัตว์อสูรใช่หรือไม่?”
หยางเย่ยิ้มก่อนจะหันไปมองมิงค์ม่วงพร้อมกล่าว “สหาย บอกนางสิว่าเจ้าเป็นราชันแห่งสัตว์อสูรหรือไม่!”
มิงค์ม่วงมองไปที่ฉินเยว่ก่อนจะส่ายหัว
ฉินช่เยว่รู้แสดงความยินดี เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงยื่นมือไปตั้งใจจะกอดมิงค์ม่วง แต่มันไม่ยอม ให้นางทําเช่นนั้น ทั้งยังพุ่งไปอยู่บนไหล่ของหยางเย่
“น้องชายขอให้ข้ากอดมันหน่อย จากนั้นข้าจะให้เจ้ากอดข้า ตกลงหรือไม่?”
พวกเขากลับไปอยู่จุดเดิมตรงหน้าราชวังอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พวกเขาระมัดระวังตัวและแฝงอยู่ท่ามกลางฝูงคน ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเปลี่ยนชุดทั้งหมด เมื่อรวมเข้ากับเกราะพลังของมิงค์ม่วงที่สามารถสกัดสัมผัสเทวะได้ พวกเขาจึงปลอดภัยชั่วคราว
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ชายวัยกลางคนทะยานมาแต่ไกล เมื่อพวกเขาเห็นชายคนนั้น เสียงอึกทึกท่ามกลางฝูงคนได้เงียบสนิท เพราะมีปีกที่สร้างขึ้นจากพลังปราณปรากฏขึ้นบนหลังของชายคนนั้น บ่งบอกว่าเขาเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณ!
ชายวัยกลางคนกวาดสายตาไปทั่วก่อนจะหยุดลงที่ศิษย์โรงเรียนปราชญ์ เมื่อพวกเขาเห็น ศิษย์โรงเรียนปราณรีบโค้งคํานับชายผู้นั้น ชายวัยกลางคนพยักหน้าก่อนเอ่ย ”ทุกคน ข้าคือผู้อาวุโสจากโรงเรียนปราชญ์ นามข้าคือซูฉิง ข้าเป็นผู้รับผิดชอบในการเปิดสุสานจักรพรรดิโจวตอนนี้ สุสานจักรพรรดิโจวจะถูกเปิดปีละครั้ง ทุกคนสามารถเข้าไปได้ ทั้งยังมีสมบัติมากมายภายในนั้นทุกคนสามารถเอามันไปได้ ทุกอย่างข้างในนั้นเป็นของพวกเจ้า แต่หากผู้ใดสามารถหาหินพลังปราณระดับสูง หรือตราจักรพรรดิโจวได้ เช่นนั้นต้องส่งมันมา แน่นอนว่าเราจะให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสม”
ทุกคนในพื้นที่พยักหน้าเห็นด้วย แน่นอนว่าพวกเขาอาจจะไม่เต็มใจ
“หินพลังปราณระดับสูง? ตราจักรพรรดิโจว?” หยางเย่หันไปถามฉินเยว่ ” ข้าทราบเกี่ยวกับหินพลังปราณ แต่อะไรคือหินพลังปราณระดับสูงกับตราจักรพรรดิโจวงั้นหรือ?”
ฉินเยว่เคยชินกับการที่ไม่ค่อยมีความรู้ของหยางเย่ นางจึงอธิบายในทันที “หินพลังปราณระดับสูงนั้นยอดเยี่ยมกว่าหินพลังปราณธรรมดาหลายเท่านัก อย่างเช่น หากพลังปราณของยอดฝีมือขั้นปราณราชันเหลือน้อย และต้องใช้หินพลังปราณกว่าร้อยก้อนเพื่อฟื้นฟู และใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วยามให้การดูดซึม แต่หินพลังปราณระดับสูงนั้นใช่แค่ครั้งเดียวก็เพียงและยังใช้เวลาไม่ ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ํา”
“นั่นเป็นสมบัติล้ําค่า!” หยางเย่ตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อได้ยิน มันเป็นเหมือนหินพลังปราณขั้นดีที่สุด!”
เขาครุ่นคิดบางอย่างก่อนเอ่ย ” หากมีหินพลังปราณระดับสูงอยู่ที่นั้น เหตุใดพวกเขาจึงไม่เข้าไปด้วยตนเองล่ะ? ข้าหมายถึงพวกที่อยู่ขั้นปราณจิตวิญญาณ!”
“เพราะมีเพียงผู้ใช้พลังปราณขั้นราชันหรือต่ํากว่าเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ สําหรับเหตุผลนั้นข้าคิดว่าพวกเขาคงตกลงกันมาก่อน หรืออาจจะเพราะความลับบางอย่างในสุสาน ความลับนั้นข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน พี่หญิงไม่ทราบอะไรเลย!” ฉินเยว่กล่าวอย่างหงุดหงิด
ขณะที่หยางเย่กําลังจะเอ่ยคํา ทันใดนั้น ยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณซูฉิงได้นํายันต์ทั้งหลายออก และโยนมันออกไป
ยันต์ทั้งหลายระเบิดออกทันที่ที่อยู่บนอากาศ ทันใดนั้นแสงยันต์ทั้งหลายต่างพากันลดลงอย่างเห็นได้ชัด
เวลานี้ผู้คนมากมายตรงหน้าทางเข้าได้วิ่งกรูกันเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง!