ตอนที่ 118 ซูเสียวเสี่ยว
สุสานจักรพรรดิโจวตั้งอยู่ในเมืองหลวงราชศวงศ์ชาง ดังนั้นมันจึงใช้เวลาไม่นานนักในการเดินทาง แต่ทั้งสองค่อนข้างประหลาดใจเมื่อมาถึงทางเข้าราชวัง เพราะมีผู้คนนับพันที่นี่เวลานี้
เมื่อสุสานจักรพรรดิโจวยังไม่เปิด ทั้งสองเองก็ทําได้เพียงรอเหมือนคนอื่นที่มาถึง
หยางเย่พยายามมองดูและตรวจสอบกําแพงทางเข้าของราชวังอย่างระมัดระวัง เขาสังเกตเห็นยันต์จํานวนมากโดยรอบ
ทันใดนั้นต้องประหลาดใจ เพราะยันต์เหล่านั้นเริ่มเปล่งประกายและปล่อยรังสีแห่งความน่าสะพรึงออกมา
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนเหล่านี้ถึงไม่ทะลวงเข้าไป มันเป็นเพราะยันต์ทั้งหลายตรงหน้า อย่าว่าแต่จะฝ่าทะลวงเข้าไปด้วยกําลัง แม้กระทั้งผู้ใช้พลังปราณขั้นจิตวิญญาณยังไม่อาจเข้าใกล้ยันต์พวกนี้ได้!
“สุสานจักรพรรดิโจวอยู่ภายในราชวังนั้นงั้นหรือ?” หยางเย่เอ่ยถามฉินชี่เยว่
ฉินชี่เยว่พยักหน้า “ตามข่าวลือ ว่ากันว่ามีปีศาจจิ้งจอกเก้าหางถูกฝังอยู่ที่ไหนสักแห่งในราชวังเช่นกัน ตอนนี้มันไม่น่าจะเป็นแค่ข่าวลือแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องจริง”
“หลายปีก่อนหน้านี้เมื่อบรรพบุรุษของจักรวรรดิต้าฉินเข้าตีเมืองนี้ เหตุใดจึงทิ้งราชวังนี้และทิ้งมันไว้ในขุนเขาไม่สิ้นสุดล่ะ?” หยางเย่รู้สึกสับสนเมืองมองไปยังราชวัง
“เพราะราชวังถูกสาปโดยปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ชางยังไงล่ะ!” ฉินชี่เยว่กล่าวต่อ “ปราชญ์ชั้นสูงของราชวงศ์ชางจากหลายปีก่อน นอกจากเขาจะเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิ เขายังเป็นหมอผีขั้นสูงอีกด้วย ใช่แล้วหมอผีมืออาชีพนั้นได้สูญหายไปตามกาลเวลา อย่าถามเกี่ยวกับมันเพราะข้าเองก็ไม่ทราบ สรุปคือหมอผีเป็นพวกที่ร้ายกาจ ทั้งยังมีพลังในการปัดเป่าสิ่งร้ายและ พยากรณ์ ก่อนที่พวกเขาจะหายสาปสูญไปเมื่อหลายปีก่อน เขาใช้เลือดตนเองสาปแช่งราชวัง และ ทําลายจุดฮวงจุ้ยของราชวัง ดังนั้นหกมหาอํานาจและจักรวรรดิต้าฉันจึงปล่อยมันไว้!”
“เป็นเช่นนี้เอง!” หยางเย่พยักหน้าพร้อมกล่าว “แล้วเหตุใดจักรวรรดิต้าฉันจึงไม่นําสมบัติ และของวิเศษภายในราชวังไปด้วยล่ะ? ข้าหมายถึงพวกสมบัติที่ถูกฝังกับจักรพรรดิโจว!”
ฉินชี่เยว่กลอกตามองหยางเย่ก่อนจะตบหน้าผากราวกับกําลังสนทนากับคนโง่
“นี่ เลิกทําแบบนั้นเสียที!” ฉินชี่เยว่ทําให้หยางเย่รู้สึกไม่พอใจ
“น้องชาย เจ้านี่มันโง่เขลาจริง ๆ !” ฉินชี่เยว่ยิ้ม “เจ้าคิดจริงหรือว่าจักรวรรดิต้าฉินและหกมหาอํานาจจะทิ้งสมบัติไว้?”
” แล้วเหตุใด…”
” สมบัติและของวิเศษภายในราชวังถูกทิ้งไว้อย่างตั้งใจโดยพวกเขาไงล่ะ!” นางกล่าวขัดหยางเย่ ” เหตุผลที่พวกเขาทําเช่นนั้นเพราะต้องการเพิ่มแรงบันดาลใจในการฝึกฝนของศิษย์ตนเอง”
“ท่านหมายถึงซากปรักหักพังราชวงศ์ชางนี้ถูกทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังมาฝึกฝนตนเองงั้นหรือ?” หยางเย่สับสนเล็กน้อย
“เจ้าก็หาได้โง่เสียทีเดียว! มิเช่นนั้นพวกเขาคงไม่ปล่อยให้เมืองหลวงของราชวงศ์ชางอยู่ได้เช่นนี้หรอก มันเป็นเหตุผลเดียวที่มีค่าพอ ไม่งั้นคงถูกทําลายไปหลายปีแล้ว คอยจับตาดูคนของ หกมหาอํานาจจะต้องมาที่นี่แน่นอน! อย่าถามข้าอีกว่าทําไม เพราะเจ้าคงไม่โง่ขนาดนั้น”
มุมปากหยางเย่บิดเบี้ยว ขณะที่เขากําลังจะกล่าวบางอย่าง
ทันใดนั้นก็มีคนร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์ของโรงเรียนปราชญ์มาถึงแล้ว”
ทุกคนในพื้นที่มองไปตามเสียง พวกเขาเห็นชายหนุ่มสี่คนสวมชุดคลุมขาวเดินมาอย่างสง่างาม พวกเขาอายุราวยี่สิบปี ชุดคลุมและสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนของโรงเรียนปราชญ์
“เขาคือกงหยวน ข้าไม่คาดคิดว่าเขาจะมาที่นี่!”
”เหลือเชื่อ! เจ้ากําลังบอกว่ากงหยวนที่อยู่อันสามสิบหกของเทียบอันดับนอกของโรงเรียนปราชญ์นะหรือ?”
“ถูกต้อง ข้ารู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้เจอเขาอีก หลายปีก่อนเขาจัดการผู้ที่อยู่ขั้นปราณสวรรค์ เพียงอยู่แค่ขั้นปราณมนุษย์ เรื่องราวนั้นสะเทือนไปทั่วยุทธภพ! ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเขาเองก็สนใจในสุสานจักรพรรดิโจวเช่นกัน”
เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้นก็ต่างพากันกลืนน้ําลาย การล้มยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ขณะอยู่ขั้นปราณมนุษย์นั้น มันเป็นความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึง!
ทั้งสี่ไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง พวกเขาเดินตรงไปรอที่ด้านซ้ายของประตู หลังจากนั้นได้นั่งหลับตาอยู่อย่างเงียบสงบราวกับไม่มีใครอยู่แถวนั้น
“น้องชาย เจ้าก็สังหารยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ขณะอยู่ที่ขั้นปราณมนุษย์เช่นนั้น!” ฉินชี่เยว่ยิ้มให้หยางเย่
หยางเย่หาได้สนใจไม่ สายตาเขาจดจ่ออยู่ที่กงหยวน ในสี่คนนั้น มีเพียงกงหยวนที่มีรังสีบางอย่างเปล่งออกมา มันคือจิตสังหารที่อันตราย เขาคาดไว้ว่าชายผู้นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้รับใช้แห่งดาบในหอคอยเลย!
แต่เขายังอยู่เพียงแค่อันดับสามสิบหกในเทียบอันดับนอกของโรงเรียนปราชญ์เท่านั้น “เทียบอันดับโรงเรียนปราชญ์นั้นแข็งแกร่งกว่าสํานักดาบราชันมากนัก!”
” น้องชาย เจ้าต้องการประลองกับเขางั้นหรือ?” ฉินชี่เยว่ต้องการเห็นการต่อสู้ที่ดุเดือด นางจึงกระแสะหยางเย่ “เจ้าต้องไปการให้พี่หญิงสร้างโอกาสนั้นให้หรือไม่?”
หยางเย่มองไปที่นางก่อนจะกล่าว “อย่าลืมเหตุผลที่พวกเรามาที่นี่!”
“ว้า ช่างน่าเสียดาย พี่หญิงคิดว่าจะได้เป็นสักขีพยายานนความแข็งแกร่งของน้องชาย แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียแล้ว!” ฉินชี่เยว่แสดงท่าที่เสียใจ
” ศิษย์ของสํานักดาบราชันมาถึงแล้ว!” ทันใดนั้นเสียงอึกทึกครึกโครมได้ดังขึ้นอีกครั้ง
หยางเย่หันไปมองดูเช่นกัน แน่นอนว่าศิษย์ทั้งสามของสํานักดาบราชันเดินมาอย่างช้า ๆ พร้อมดาบในมือ ทั้งสามจากสํานักดาบราชันมองกวาดไปที่ฝูงคนก่อนจะมองไปที่โรงเรียนปราชญ์ ท้ายที่สุด สายตาของเขาก็มองไปที่กงหยวน กงหยวนเองก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นแววตาของศิษย์สํานักดาบราชัน เขาได้มองกลับด้วยแววตาเย้ยหยัน หลังจากนั้นจึงปิดตาลงอีกครั้ง
มันเป็นการไม่เห็นค่าแม้แต่น้อย!
ท่าทีของศิษย์ทั้งสามจากสํานักดาบราชันดูไม่ค่อยสู้ดี ชายหนุ่มที่อยู่เป็นผู้นํากลุ่มกัดฟันแน่นก่อนจะเดินไปอยู่ด้านขวาของทางเข้า
หยางเย่มองไปที่พวกเขาก่อนจะถอนสายตา เขาไม่รู้จักทั้งสามคน แต่ทั้งสามต้องเป็นศิษย์ในเทียบอันดับนอกอยู่แล้ว แต่เขาแค่ไม่เคยพบปะมาก่อน
“น้องชายเจ้าไม่ใช่ศิษย์สํานักดาบราชันจริงงั้นหรือ?” ฉินชี่เยว่เอ่ยถาม ในความคิดนาง หยางเย่ที่มีเจตจํานงแห่งดาบควรจะเป็นศิษย์ของสํานักดาบราชัน แต่ทัศนคติและท่าทีของหยางเย่กลับ มองพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า สิ่งนี้ทําให้นางสับสน
“ข้าเคยบอกท่านไปแล้วว่าไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะเชื่อหรือไม่!!” หยางเย่กล่าวด้วยน้ําเสียงโกรธเล็กน้อย เพราะไม่เพียงแค่ฉินเยวที่คิดแบบนั้น ใครก็ตามที่เห็นเขามีเจตจํานงแห่งดาบ และ วิชาดาบ ต่างก็คิดว่าเขาอยู่สํานักดาบราชันอยู่แล้ว
“เช่นนั้นแล้วไฉนเจ้าถึงรู้วิชาดาบของสํานักดาบราชันล่ะ?” ฉินชี่เยว่ดูเหมือนจะสนใจคําถามนี้มาก
“ท่านฉลาดนักไม่ใช่หรือ? ลองเดาดูสิ…”
“คนของราชวังบุปผามาถึงแล้ว!” ทันใดนั้นเสียงอึกทึกแห่งความประหลาดใจดังขึ้นอีกครั้ง เสียงอึกทึกครั้งนี้ไม่ได้เป็นเสียงเหมือนก่อนหน้าที่โรงเรียนปราชญ์ และสํานักดาบราชัน เพราะมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
รอบด้านเต็มไปด้วยเสียงผู้คนสนทนากันดังเมื่อได้ยิน แม้กระทั่งศิษย์สํานักดาบราชันและศิษย์โรงเรียนปราชญ์เองก็หันไปดู
เวลานี้สตรีสวมชุดสีฟ้ากระโปรงลายบุปผาเดินเข้ามาช้า ๆ นางอายุราวยี่สิบปี และหน้าตางดงามอย่างมาก ทั้งยังมีรูปร่างที่ทรงเสน่ห์ นางราวกลับกิ่งหลิวโบกสะบัดกลางสายลมขณะที่เดินภาพที่เห็นราวกับจะกระชากวิญญาณของคนมองได้เลย
“นางคือซูเสียวเสี่ยวจากราชวังบุปผา ข้าไม่คาดคิดเลยว่าหนึ่งในสี่บุปผางามจากราชวังบุปผาจะมาที่นี่ด้วย!”
” ตามข่าวลืม นางเคยประลองกับยอดฝีมือขั้นปราณราชันมาก่อน ข้าว่ามันคงเป็นเรื่องจริง”
“มันเป็นเรื่องจริง มิเช่นนั้นนางคงไม่สามารถเป็นหนึ่งในสี่บุปผางามจากเทียบอันดับนอกราชวังบุปผาได้ เพราะนอกจากจะต้องใช้ความงดงามแล้ว ความแข็งแกร่งเองก็จําเป็นเช่นกัน!”
“โรงเรียนปราชญ์ ราชวังบุปผา และสํานักดาบราชันมากันหมด มันคงไม่ง่ายแล้วล่ะ!”
“ใครสนล่ะ? เป้าหมายของพวกเขาคงเป็นห้องหลักของสุสานจักรพรรดิโจว เช่นนั้นก็ไม่มีข้อขัดแย้งใดกับพวกเรา!”
อีกมุมหนึ่ง แววตาอาฆาตแค้นปรากฏผ่านดวงตาหยางเย่ขณะมองซูเสียวเสี่ยวที่กําลังเดินอยู่ ยิ่งกว่านั้นในมือของเขายังกําดาบไว้แน่น
ทันใดนั้นซูเสียวเสี่ยวมองไปยังหยางเย่ที่กําลังยืนอยู่
หยางเย่หัวใจเต้นรัว “สัมผัสรวดเร็วจนน่ากลัว โชคดีที่เราข่มอารมณ์ไว้ทัน มิเช่นนั้นคงเป็นเรื่องแน่นอน”
ถึงแม้เขาต้องการสังหารคนผู้นั้นแต่ก็ยังทําไม่ได้ตอนนี้
ซูเสียวเสี่ยวมองไปที่หยางเย่ด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ทันใดนั้นนางมองไปที่มิงค์ม่วงบนไหล่ของเขา
ทันทีที่เห็นมิงค์ม่วง คิ้วของซูเสียวเสี่ยวคลายตัวลง ประกายแห่งความชื่นชอบกลับปรากฏขึ้นผ่านดวงตาแทน จากนั้นนางไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไปหาหยางเย่