ตอนที่ 107 ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป
ทันใดนั้น ปราณดาบสีทองได้ปรากฏไปรอบด้าน สิงโตเพลิงกัมปนาททั้งหมดที่โดนปราณดาบเข้าไม่ตายก็ไม่สามารถต่อสู้ต่อ
หลังจากจัดการสิงโตทั้งห้าได้แล้ว หยางเย่ไม่คิดจะอยู่ต่อ เขาหันหลังหนีออกไปอย่างรวดเร็วเพราะเขาสังเกตเห็นสิงโตเพลิงกัมปนาทอีกมากที่พุ่งเข้ามา
เพื่อจะหนีออกไปอย่างรวดเร็ว หยางเย่ไม่คิดจะหันกลับไปดูแม้แต่น้อย ดังนั้นตรงหน้าที่มีสิ่งโตตัวใดมาขวางทางก็จะโดนปราณดาบสีทองฟันเป็นชิ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อเป็นเช่นนั้นภาพที่เห็นจึงเป็นสิ่งประหลาดตาอย่างมาก ทุกที่ที่หยางเย่ผ่านจะมีประกายแสงสีทองเกิดขึ้น ไม่นานศพของสิงโตก็กองอยู่เต็มพื้น
อันที่จริงปราณดาบทองคําของหยางเย่ไม่สามารถสังหารพวกสัตว์อสูรระดับเก้าได้ แต่เพื่อความรวดเร็วในการหนี หยางเย่จึงไม่ลังเลที่จะใช้ยันต์เสริมกําลังระดับสูง จากการเพิ่มพลังด้วยยันต์เสริมกําลังระดับสูงและพลังปราณทองคํา อย่าว่าแต่สัตว์อสูรรทมิฬระดับเก้า แม้แต่สัตว์อสูรราชันก็ยังถูกสังหารได้โดยง่าย!
เมื่อฝูงสิงโตเพลิงกัมปนาทที่ตั้งใจจะเข้าตะครุบหยางเย่เห็นถึงพลังของเขา พวกมันจึงแสดงอาการหวาดกลัวผ่านดวงตาออกมา และไม่มีสิงโตตัวไหนกล้าเข้าไปขวางทางหยางเย่
และนี่คือสิ่งที่หยางเย่ต้องการมากที่สุด!
พลังปราณในร่างกายถูกถ่ายเทลงไปในรองเท้า จากนั้นเขาใช้ก้าววายุพร้อมตวัดดาบฟันไปตรงหน้าที่มีสัตว์อสูรขวางทางอยู่
ชิ้ง!
เมื่อสิงโตเพลิงกัมปนาทที่ขวางทางอยู่ถูกนั่นเป็นชิ้น ๆ ความเร็วของหยางเย่ก็ยังไม่ลดลงแม้แต่น้อย เขาพุ่งออกจากวงล้อมอย่างรวดเร็วเพื่อหนี ในอีกด้านก็มีร่างหนึ่งวิ่งตามหลังเขามาเพื่อออกจากสนามรบเช่นกัน
ร่างนั้นได้หยุดลงชั่วครู่ก่อนจะหันไปทางที่หยางเย่หนี
“อย่าปล่อยมนุษย์ผู้หญิงนั้นไป!”
“ปกป้องฝ่าบาท ปกป้องฝ่าบาท!”
ขณะที่ร่างพุ่งออกจากวงล้อม ชายหนวดโค้งกับชายเกราะทองต่อที่สู้กันอย่างดุเดือด ทั้งสองได้หยุดลงชั่วครู่พร้อมออกคําสั่งแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขา
ไม่ว่าจะเป็นชายหนวดโค้งหรือชายเกราะทอง ท่าทีของพวกเขาก็หาได้ปกติไม่ เหตุที่ท่าทีชายหนวดโค้งเปลี่ยนไปเพราะหัวหน้าของเขาได้สั่งให้สังหารสตรีผู้นั้น หากนางหนีหรือมาถึงยังนครสัตว์อสูรได้ เช่นนั้นผลที่ตามมาจะต้องหายนะแก่เขาแน่นอน
ในส่วนของชายเกราะทองเองก็เช่นกัน ไม่ว่านางจะถูกสังหารโดยสัตว์อสูรหรือหนีไปได้เช่นนั้นผลที่ได้รับก็หายนะไม่ต่างจากชายหนวดโค้ง
ดังนั้นทั้งสองจึงแสดงออกอย่างชัดเจนและหยุดการต่อสู้ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากพวกเขาได้ยินคําสั่งจากทั้งสอง สัตว์อสูรทมิฬและพลทหารม้าก็หยุดต่อสู้กัน จากนั้นพวกเขาไล่ตามหยางเย่กับสตรีผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว
สตรีผู้นั้นสําคัญกับพวกเขาทั้งสองฝ่าย แม้พวกเขาจะทํานั่นกันจนตายไปข้างก็ไม่มีความหมาย!
หลังจากพุ่งออกมาจากวงล้อม หยางเย่ก็ได้วิ่งสักพักหนึ่งแล้ว ขณะที่กําลังจะเรียกสีหมอกออกมา หยางเย่รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาขมวดคิ้วพร้อมหันไปมอง ทันใดนั้นหยางเย่สังเกตเห็นสตรีคนหนึ่งกําลังวิ่งตามหลังมา และอยู่ห่างเพียงสามสิบเมตรเท่านั้น
หยางเย่จับดาบในมือไว้แน่นเมื่อเห็นนาง
สตรีผู้นั้นหยุดตรงหน้าหยางเย่ก่อนจะกะพริบตาปริบพร้อมกล่าว “เหตุใดเจ้าถึงไม่วิ่งต่อ?”
มุมปากหยางเย่บิดเบี้ยว เขาไม่สนใจคํากล่าวของนางพร้อมมองอย่างสงสัย สตรีผู้นี้อายุราวสามสิบปีสวมชุดเกราะหนังสีเงิน คิ้วคมยาว ดวงตากลมโต ริมฝีปากสีแดงและฟันที่ขาวสะอาด ชุดเกราะหนังสีเงินห่อหุ้มตัวนางรัดแน่นจนเผยให้เห็นถึงส่วนเว้าโค้งน่าดึงดูดอย่างมาก
โดยเฉพาะจุดที่เด่นชัดที่สุดคือหน้าอกนาง มันราวกับภูเขาขนาดใหญ่สองลูก ดูเหมือนว่าชุดเกราะหนังสีเงินแทบจะไม่สามารถทนรับความตึงแน่นนั้นได้
หยางเย่ถอนสายตาออกก่อนจะเอ่ยถาม “เหตุใดท่านถึงตามข้ามา?”
ความประหลาดใจปรากฏผ่านดวงตาเมื่อเห็นว่าหยางเย่มองร่างกายนางเพียงครู่เดียว แต่เมื่อได้ยินหยางเย่ถามนางจึงรีบยิ้มพร้อมกล่าว “น้องชาย อย่าบอกพี่หญิงนะว่าสถานที่นี้เป็นของเจ้า!”
น้องชาย?” ใบหน้าหยางเย่มีดดํา ขณะที่กําลังจะกล่าวบางอย่าง หยางเย่สัมผัสได้ถึงสายตาจํานวนมากจากด้านหลังนาง ทหารม้าจํานวนนับร้อยกําลังวิ่งตามมาอย่างรวดเร็วในระยะสามร้อยเมตร ทั้งยังมีสัตว์อสูรอีกมากมายด้านหลังพวกเขา และพวกมันก็คือสิ่งโตเพลิงกัมปนาท!
ท่าที่หยางเย่เปลี่ยนไปทันที เขาไม่ต้องการเสียเวลามากไปกว่านี้ และแน่นอนว่าไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย เขาหันหลังกลับพร้อมพุ่งไปตามทาง
สตรีชุดเงินขมวดคิ้วเมื่อเห็นทหารม้าและสัตว์อสูรทมิฬวิ่งตามมา จากนั้นนางไม่คิดให้มากความพร้อมวิ่งตามหยางเยไป
หลังจากวิ่งมาได้อีกครึ่งชั่วยาม นอกจากพวกที่ไล่ตามมาจะไม่หายไป จํานวนกลับเพิ่มมากขึ้นไปทุกที ยิ่งกว่านั้นยังมีสัตว์อสูรเวหาที่ปรากฏตัวบนท้องฟ้าอีกมากมาย
ในตอนแรกหยางเย่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่มีสัตว์อสูรเวหาปรากฏตัวขึ้น แต่ตอนนี้เขาทราบแล้วว่ามันอยู่ภายใต้คําสั่งใครบางคน
“ทําไมมันต้องตามเรามาด้วย?”
ไม่นานหยางเย่ก็เข้าใจ เขาลดความเร็วลงพร้อมหันไปจับสตรีที่วิ่งตามมา นางเผยรอยยิ้มน่ารักพร้อมเอ่ย ” เหตุใดเจ้าถึงลดความเร็วลงล่ะ? เจ้ารอพี่หญิงงั้นหรือ?”
“คนและสัตว์อสูรพวกนั้นกําลังไล่ตามท่านอยู่ใช่หรือไม่?” หยางเยถามอย่างเคร่งขรึม
สตรีชุดเงินกะพริบตาปริบพร้อมเผยรอยยิ้ม “ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นนะ!”
ใบหน้าหยางเย่มืดครื้มอีกครั้ง “ไม่มีเคยความขัดแย้งใดระหว่างพวกเรา แล้วเหตุใดท่านถึงพาหายนะมาให้ข้า? ไตร่ตรองให้ดีแล้ววิ่งไปทางอื่นเสีย เข้าใจหรือไม่?”
สตรีชุดเงินหยุดยิ้มพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร ”น้องชาย เจ้าทนเห็นพี่หญิงตกอยู่ในมือของสัตว์อสูรพวกนั้นได้งั้นหรือ? หากพี่หญิงตกไปอยู่ในมือพวกมันแล้วจะต้องเผชิญกับความโหดเหี้ยมเพียงใดกันล่ะ?”
“แล้วเหตุใดข้าถึงต้องทนไม่ได้ล่ะ?” หยางเย่เผยท่าที่เย็นชา “อย่าใช้ลูกเล่นกับข้าเลย อย่าโทษว่าข้าหยาบคายหากท่านยังไม่จากไป!”
สตรีชุดเงินมองหยางเย่พร้อมแสดงที่หดหูก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเบา “น้องชาย เหตุใดเจ้าถึงไร้หัวใจเช่นนี้?”
นางทําให้หยางเยรู้สึกราวกับสามีทอดทิ้งภรรยา และมันทําให้เขารู้สึกเย็นสันหลังวาบ
หยางเย็ไม่ได้กระทําสิ่งใด ไม่ใช่เพราะเขาสงสารนางแต่เพราะทําไม่ได้ สตรีผู้นี้อย่างน้อยก็อยู่ขั้นปราณราชัน! ไม่สําคัญว่าเขาจะสามารถจัดการยอดฝีมือขั้นปราณราชันได้หรือไม่ ที่สําคัญสุดคือมีทหารสองกลุ่มกําลังตามหลังพวกเขามา เมื่อทําการต่อสู้กับนาง เช่นนั้นพวกเขาทั้งหมดจะต้องตามทันแน่นอน ดังนั้นหยางเย่จึงต้องคิดหนักไปอีก
ผ่านไปชั่วครู่หยางเย่สุดหายใจลึกพร้อมกล่าว ” ท่านเป็นถึงยอดฝีมือขั้นปราณราชัน และความแข็งแกร่งก็มากกว่าข้าด้วย ท่านมีโอกาสที่จะหนีรอดมากกว่าข้าเสียอีก แล้วเหตุใดท่านถึงมาตามข้า?”
“ความแข็งแกร่งของข้าเหนือกว่าเจ้างั้นหรือ?” สตรีชุดเงินยิ้มพร้อมมองไปที่หยางเย่อย่างลึกซึ้ง ”น้องชาย ดูเหมือนเจ้าจะกล่าวไม่ถูกต้องนะ ก่อนหน้านี้พี่หญิงเห็นเจ้าจัดการสัตว์อสูรห้าตัวได้ในพริบตา ยิ่งกว่านั้น การโจมตีฉับพลันของคนชุดดํายังไม่สามารถทําอะไรเจ้าได้อีก ถึงแม้พี่หญิงจะอยู่ขั้นปราณราชัน พี่หญิงก็ไม่กล้าบอกว่าเหนือกว่าเจ้ามากหรอก ยิ่งกว่านั้นสหายตัวจ้อยบนไหล่ของเจ้าหาได้ใช่สัตว์อสูรธรรมดาใช่หรือไม่?”
ท่าทีหยางเย่เปลี่ยนไปทันที เขาไม่คาดคิดว่านางจะสังเกตดูเขามาตั้งแต่แรก ไม่นานเขากล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ ” ท่านคือคนในรถม้างั้นหรือ?”
“นี่เจ้าเพิ่งทราบงั้นหรือ?” สตรีชุดเงินยิ้มพร้อมกล่าว “น้องชาย เจ้าไม่ค่อยโง่เท่าไหร่นะ ฮิฮิ!”
หยางเย่ถามต่อ ” ท่านเป็นคนของจักรวรรดิใช่หรือไม่?”
สตรีชุดเงินกะพริบตาปริบ “แล้วเจ้าคิดว่ายังไง!?”
มุมปากหยางเย่กระตุกก่อนจะกล่าว ” ท่านมีอะไรดีพอไหมล่ะ?”
สตรีชุดเงินระงับรอยยิ้มไว้พร้อมนํายันต์สิบแผ่นออกมา นางกล่าวอย่างจริงจัง “น้องชาย ถึงแม้ข้าจะไม่ทราบว่าเจ้ามีไพ่ตายอื่นอีกหรือไม่ แต่เมื่อข้าเห็นเจ้าดูสงบนิ่งยามถูกสัตว์อสูรล้อมเช่นนั้นพี่หญิงก็คิดว่าเจ้ามีหนทางรอดแน่นอน หากเจ้าสามารถพาข้าหนีออกไปจากสถานที่นี้ได้ เช่นนั้นยันต์ระดับกลางสิบแผ่นนี้จะเป็นของเจ้าที่”
เมื่อมองไปยังยันต์สิบแผ่นนมือนาง หยางเย่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเล็กน้อย ” จักรวรรดิของเจ้ายากจนถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
สตรีชุดเงินขมวดคิ้ว นางลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะนํายันต์ออกมาอีกสิบแผ่น “งั้นยันต์ระดับกลางยี่สิบแผ่น พี่หญิงไม่มีมากกว่านี้แล้ว”
ทันใดนั้นหยางเยบิดข้อมือนํายันต์ระดับสูงสิบแผ่นออกมา จากนั้นเขาหันไปกล่าวกับสตรีชุดเงิน “อันดับแรกข้าไม่ได้สนใจยันต์ของท่านแม้แต่น้อย หากท่านยอมไป ข้าจะยกยันต์ระดับสูงสองสามแผ่นให้ท่านดีหรือไม่?”
ขณะที่มองไปยังยันต์ระดับสูงในมือหยางเย่ ประกายแห่งความตกตะลึงได้ปรากฏผ่านดวงตานาง เพราะไม่ว่ายังไง ยันต์เหล่านั้นก็ยังมีค่าต่อเชื้อพระวงศ์อย่างนาง ก่อนหน้านี้ที่จะยกยันต์ระดับกลางยี่สิบแผ่นให้ นางเองก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะมียันต์ระดับสูงถึงสิบแผ่น
“ยันต์ระดับสูงสิบแผ่น? แม้จะเป็นศิษย์เอกของสํานักใดก็ไม่สามารถมียันต์ระดับสูงมากถึงเพียงนี้”
สตรีชุดเงินมองไปที่หยางเย่พร้อมเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ “น้องชาย เจ้าช่างร่ำรวยอย่างแท้จริง พี่หญิงรู้สึกอับอายตนเองยิ่งนัก เช่นนั้นพี่หญิงก็ไม่สนใจมันหรอก พี่หญิงชอบเจ้า และพี่หญิงไม่ยอมปล่อยเจ้าไปแน่! หากเจ้าไม่พาพี่หญิงหนีไปด้วย เช่นนั้น เช่นนั้นพวกเราจะต้องมีชะตากรรมเดียวกัน!”