ตอนที่ 104 หมีขี้เอาใจ มือสังหาร ออกเดินทาง
หลังจากนอนกองอยู่บนพื้นอยู่ทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้บาดแผลทั้งหมดจะยังไม่ฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ แต่เขาก็ยังสามารถขยับตัวได้
หยางเย่ทราบจากสหายตัวจ้อยว่าราชันหมีพสุธาไม่ใช่สัตว์อสูรราชันขั้นสูงสุด ตอนนี้มันอยู่ระหว่างทางที่จะไปยังขั้นจิตวิญญาณ สิ่งนี้ทําให้หยางเย่สบายใจขึ้นมาก เพราะมันค่อนข้างหน้าอายที่ต้องพ่ายแพ้ในการโจมตีครั้งเดียวจากสัตว์อสูรราชัน
ขณะที่พักฟื้นในเขตแดนของราชันหมีพสุธา หยางเย่ได้รับประสบการณ์ในการถูกเหยียดชาติพันธุ์ระหว่างสัตว์อสูรกับมนุษย์ เพราะเมื่อเปรียบกับสิ่งที่สหายตัวจ้อยได้รับกับสิ่งที่เขาได้รับนั้นแตกต่างกันอย่างมาก
ราชันหมีพสุธาปฏิบัติกับสหายตัวจ้อยอย่างดีจนหยางเย่รู้สึกอิจฉาและชื่นชม สมุนไพรจิตวิญญาณขั้นสีดํา ผลไม้จิตวิญญาณขั้นสีดํา และของวิเศษทางธรรมชาติที่หยางเย่ไม่รู้จักอีกมากมาย กล่าวคือทุกอย่างที่ราชันหมีพสุธาถวายให้สหายตัวจ้อยไม่ใช่ขยะสักอย่าง ในอีกด้านหนึ่ง ราชันหมีมอบผลไม้ที่ไม่รู้จักเพียงไม่กี่ผล ทั้งยังไม่มีอะไรพิเศษด้วย
สิ่งนี้ทําให้หยางเย่รู้สึกหดหูเล็กน้อย โชคดีที่สหายตัวจ้อยวางสมุนไพรวิญญาณกับผลไม้วิญญาณไว้ในตันเถียนน้ำวน หรือหมายความว่าของทั้งหมดนั้นเป็นของเขานั้นเอง!
เมื่อมองไปยังของเหล่านั้นในตันเถียนน้ำวน หยางเย่รู้สึกตกตะลึงมากถึงแม้เขาจะมั่งคั่งและมีของวิเศษมากมาย ในวันนี้ ราชันหมีพสุธาได้ให้สมุนไพรวิญญาณห้าสิบต้นในทุกชนิด และผลไม้วิญญาณกว่าร้อยผลแก่สหายตัวจ้อย ยิ่งกว่านั้นบรรดาสมุนไพรและผลไม้ยังเป็นขั้นสีดําและบางชิ้นยังเป็นขั้นสีดําระดับสูงสุด!
นอกจากจะได้รับสมุนไพรวิญญาณมากมาย หยางเย่ยังได้รับของมีค่าอีกนับไม่ถ้วนจากแหวนมิติพวกศิษย์โรงเรียนปราชญ์ สถาบันการต่อสู้ และสํานักจันทรา
พวกเขามีหินพลังปราณนับสามพันก้อนข้างใน บางทีหินพลังปราณเหล่านี้อาจมีค่ากับผู้อื่น แต่ไม่ใช่สําหรับหยางเย่ เพราะเขายังมีอีกสี่หมื่นหินพลังปราณอยู่ในแหวนมิติ! ดังนั้นเขาจึงได้ให้หินพลังปราณทั้งสามพันก้อนแก่ชิงเสวียไปในวันนั้น
นอกจากหินพลังปราณ หยางเย่ยังได้รับวิชาสามอย่างและวัตถุทมิฬหอีกหกชิ้นจากแหวนมิติในวิชาทั้งสาม หนึ่งในนั้นเป็นวิชาขั้นสีดํา และอีกสองเป็นขั้นสีเหลืองระดับสูง หยางเย่วางวิชาขั้นสีเหลืองทั้งสองไว้ในตอนนี้ เทคนิคที่ต่ำกว่าขั้นสีดําเขาแทบจะไม่สนใจแล้ว
วิชาขั้นสีดําคือวิชาฝ่ามือ มันมีชื่อว่าฝ่ามือสะบั้นฟ้า เขาได้มันมาจากแหวนมิติของฉวนหมิง ในด้านพลัง วิชานี้ไม่ด้อยไปกว่าวิชาดัชนีดาบเทวะ แต่หยางเย่ไม่คิดที่จะฝึกฝน มีอยู่สองเหตุผลที่ทําไม่เช่นนั้น อย่างแรกคือมหาอํานาจสูงสุดในเขตแดนใต้คือโรงเรียนปราชญ์ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเกรงกลัวมัน
หากฝึกฝนวิชานี้ เช่นนั้นในอนาคตเขาต้องมีปัญหากับโรงเรียนปราชญ์แน่นอน ยิ่งกว่านั้นวิชานี้หาได้สําคัญกับเขาไม่
เหตุผลที่สองคือเขาไม่ต้องการมีวิชามากจนเกินตัว เพราะปัจจุบันเขามีวิชามากมาย นอกจากวิชาดาบพื้นฐานและปฏิกิริยาโต้กลับ วิชาอื่นที่มียังนับว่าไม่บรรลุขั้นสูง ดังนั้นจึงไม่มีเวลาที่จะไปฝึกวิชาอื่น
ถึงแม้วิชาพวกนี้รวมถึงของหัตถ์โลหิตจะไม่ได้ถูกฝึกฝน เขาก็สามารถนํามันไปขายได้คุณภาพ ของวิชาเหล่านี้หาได้ต่ำไม่ หากนําไปขายมันจะต้องได้ราคางามแน่นอน
สําหรับของวิเศษ หยางเย่ชื่นชอบรองเท้าขั้นสีดําระดับต่ำ มันมีสีน้ำเงินอมดํา และความแตกต่างจากคู่อื่นคือมันมีปีกเล็กอีกคู่หนึ่งข้างหลัง ปีกเล็กน้อยสีขาวนั้นเป็นปีกของวิหคบางชนิด
เมื่อหยางเย่ได้สวมรองเท้าพร้อมถ่ายทอดพลังปราณลงไป เขาก็ไม่สามารถหยุดความตื่นเต้นไว้ได้อีก
เพราะรองเท้านี้ได้เพิ่มความเร็วและความสามารถในการกระโดด โดยเฉพาะในส่วนของความเร็ว หลังจากเขาสวมรองเท้าและใช้ก้าววายุ หยางเย่ตกตะลึงอย่างมาก ความเร็วของเขาเกือบจะเพิ่มเป็นทวีคูณ!
แต่การใช้พลังปราณล้ำลึกนั้นก็ใช่ว่าจะน้อย เขาใช้เพียงก้าววายุมันก็กินพลังปราณไปถึงหนึ่งในสี่ส่วน!
อย่างไรก็ตามเขายังสามารถใช้ก้าววายุได้อีกเกือบสิบครั้งหลังจากถ่ายเทพลังปราณลงไป แต่เมื่อตั้งใจจะเพิ่มความเร็วมันจะกลายเป็นใช้ได้เพียงสี่ครั้งเท่านั้น!
ถึงแม้มันจะกินพลังปราณมาก แต่ผลที่ได้รับนับว่าคุ้มค่า! แน่นอนว่ารองเท้านี้สามารถใช้ได้ในสถานการณ์พิเศษดีกว่า
นอกจากรองเท้านี้หยางเย็ไม่สนใจสิ่งอื่นอีก เขาโยนของทั้งหมดลงไปในแหวนมิติเพื่อเอาไปขาย
หลังจากพักผ่อนอีกสองถึงสามวัน บาดแผลทั้งหมดได้ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ หยางเย่คิดจะจากไปวันนี้ ขณะที่กําลังจะไป ราชันหมีพสุธาได้ให้ของอีกมากมายแก่สหายตัวจ้อย สิ่งนี้ทําให้หยางเย่ยิ้มกว้างจนปากเกือบฉีก เขาไม่อาจทําสิ่งใดได้นอกจากคิดในใจ “หากในอนาคตเราเกิดยากจนขึ้นมา เราคงจะพาสหายตัวจ้อยไปปล้นของจากบรรดาสัตว์อสูรราชันแถวนี้ได้..”
ถึงแม้จะไม่ได้ราชันหมีพสุธามาติดตาม แต่เขาก็ได้ของมากมายมาทดแทน นอกจากของต่างๆ ที่ได้รับ ความแข็งแกร่งของเขายังเพิ่มขึ้นอีกด้วย การต่อสู้กับราชันหมีพสุธา ทําให้เขาได้รับความเข้าใจหลายอย่างเพิ่มขึ้น ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่ที่ได้รับประสบการณ์การต่อสู้กับราชันหมีแล้ว เขายังสัมผัสได้ว่ากําลังจะบรรลุขันพลังแล้ว
ตอนนี้หยางเย่อยู่ขั้นปราณมนุษย์ขั้นสุดท้าย หากพลังเพิ่มอีกขั้นจะกลายเป็นขั้นปราณสวรรค์ระดับหนึ่ง หากบรรลุขั้นปราณสวรรค์ได้ ความสามารถและพลังของเขาจะได้รับการปรับปรุงเพิ่มอีกมากมาย
“ขั้นปราณสวรรค์! หวังว่าคงไม่นานนี้!” ขณะที่หยางเย่เผยรอยยิ้ม ทันใดนั้นประกายแสงสีม่วงจากตัวของสหายตัวจ้อยสว่างขึ้น มันชี้ไปทางพุ่มไม้ห่างจากหยางเย่สามสิบเมตร
มันคือสัญญาณเตือนว่ามีอันตราย!
ท่าที่ของหยางเย่เปลี่ยนไป เขาไม่กล้าคิดอย่างอื่นมากก่อนจะชักดาบออกมาพร้อมฟันไปยังพุ่มไม้
ปราณดาบถูกยิงออกไปอย่างรวดเร็ว ปราณพลังที่กระทบกับต้นไม้ทําให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ขณะเดียวกันเงาสีดําก็พุ่งโจมตีใส่หยางเย่ราวกับสายฟ้า
ดวงตาหยางเย่หรี่เล็กลงเมื่อเห็นเงาดําพุ่งมาถึงหนึ่งเมตรตรงหน้า เขารีบชักดาบมาโต้กลับ!
เคล้ง!
เสียงโลหะกระทบกันดังก้อง!
ดาบของคนชุดดําอยู่ห่างจากคอหยางเย่เพียงครึ่งนิ้ว ขณะที่ดาบของหยางเย่แทงไปโดนชายชุดดําตรงหน้าแล้ว แต่มันก็ไม่ได้โดนตัว เพราะดาบของหยางเย่แทงไปกระทบบางอย่าง
ท่าทีของคนชุดดําเปลี่ยนไปทันที เขาไม่ลังเลที่จะกระทืบเท้าพร้อมกระโจนไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว เพียงสองช่วงลมหายใจ ร่างของคนชุดดําได้หายไปอย่างรวดเร็ว
ถอยกลับทันทีที่ล้มเหลว!
หยางเยเก็บดาบและไม่คิดที่จะไล่ตามต่อ ความเร็วของคนชุดดํานั้นสูงกว่าเขามาก “ใครกันที่ต้องการจะสังหารเรา?”
“เห็นได้ชัดว่าคนเมื่อกี้คือมือสังหาร และมือสังหารจะไม่มาหากไม่มีผู้จ้างหรือเหตุผลอื่น งั้นก็คงมีใครสักคนที่จ้างมือสังหารมาแน่นอน! แต่เรามีศัตรูอยู่ไม่มาก และพวกเขาทั้งหมดสามารถสังหารเราได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว เช่นนั้นใครกันที่เป็นคนทํา?”
ไม่นานหยางเย่ได้นึกถึงคนสองคนหรือกล่าวว่าสองมหาอํานาจ ราชวังบุปผากับสํานักดาบราชัน! เพราะเขามีความขัดแย้งกับสองมหาอํานาจนี้เท่านั้น แต่หยางเย่ก็ยังสับสนอยู่ เพราะด้วยพลังของทั้งสองมหาอํานาจนั้น มันไม่จําเป็นต้องใช้มือสังหารเพื่อมาจัดการเขา!
“แต่หากไม่ใช่สองมหาอํานาจนี้จะเป็นใครไปได้อีก?
เมื่อครุ่นคิดอยู่นานหยางเย่จึงได้เก็บคําถามเหล่านั้นไว้ในใจ เขามองไปทางที่คนชุดดําจากไปพร้อมกล่าว “โชคร้ายที่เราไม่สามารถจัดการมือสังหารคนนั้นได้เพียงดาบเดียว มิเช่นนั้นเราคงไม่ต้องมาตั้งคําถามแบบนี้ แต่วิชาพลางตัวของเขานั้นยอดเยี่ยมโดยแท้จริง เราไม่สามารถทราบเลยว่าเขาอยู่ใกล้เพียงเท่านี้ หากไม่ใช่เพราะสหายตัวจ้อย ชีวิตเราคงถูกสังหารไปแล้วตั้งแต่เดินผ่านพุ่มไม้นั้น!”
เมื่อนึกได้เช่นนั้น หยางเย่หันไปลูบหัวสหายตัวจ้อยพร้อมกล่าว ” ขอบคุณเจ้ามาก ข้าคงตกอยู่ในอันตรายแน่หากไม่ใช่เพราะเจ้า!”
มิงค์ม่วงกะพริบตาปริบก่อนจะใช้หัวคลอเคลียใบหน้าหยางเย่
” หากเจ้าสังเกตเห็นมือสังหารอีก อย่าได้เปล่งแสงจากตัว แต่ให้ส่งสัญญาณบอกข้าแทนเข้าใจหรือไม่?” หยางเย่กล่าว ก่อนหน้านี้ทันทีที่สหายตัวจ้อยบอกเขาว่ามีอันตราย หยางเย่ตอบโต้ด้วยสัญชาตญาณพร้อมยิงปราณดาบออกไป ซึ่งมันทําให้มือสังหารรู้ตัว
หากมือสังหารไม่ทราบว่าหยางเย่จะโจมตีเมื่ออยู่ใกล้กว่านั้น มือสังหารคงไม่สามารถหนีไปได้ หยางเย่มั่นใจว่าสามารถทํามันได้ เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เขาปล่อยให้มือสังหารเข้ามาใกล้ตัวก่อน จากนั้นจึงชักดาบออกไป น่าเสียดายที่เขาต้องการจับเป็นมือสังหาร ทําให้เขาไม่กล้าใช้เจตจํานงแห่งดาบและพลังปราณทองคํา แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่ามือสังหารผู้นั้นจะสวมชุดเกราะอยู่!
แต่ก็ยังมีโอกาสอีกในอนาคต หยางเย่รู้สึกว่ามือสังหารคนนั้นจะต้องมาหาเขาอีกแน่!
หากหยางเย่ไม่มีสหายตัวจ้อย เช่นนั้นเขาจะต้องปวดหัวอย่างมากจากการระแวงเมื่อมีมือสังหารซ่อนตัวอยู่ แต่เมื่อมีสหายตัวจ้อยอยู่ข้างกาย ทุกอย่างในระยะหกสิบเมตรจะถูกสังเกตเห็นจนหมด
ตราบใดที่ยังมีสหายตัวจ้อยอยู่ด้านข้าง มันราวกับว่าเขาสามารถปกปิดตัวตนในที่โล่งแจ้งและเปิดโปงพวกมือสังหารที่ซ่อนตัวอยู่ได้แทน!
ในไม่ช้า หยางเย่ได้ออกจากเทือกเขาแห่งความตายพร้อมเดินตรงไปยังใจกลางขุนเขาไม่สิ้นสุด เพื่อจะล่อมือสังหารออกมาอีกครั้ง หยางเย่ไม่ได้เรียกหมาปาทั้งสองออกมา เขาทําแค่ให้สหายตัวจ้อยอยู่บนไหล่ตลอดทาง