ที่ว่าที่เดิม ก็คือที่ที่เวลานั้นมั่วชิงเฉินและเฉินเจียวซิ่งตีกันทุกสามวันห้าวัน อยู่ในหุบเขาที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง
มั่วชิงเฉินไปถึงที่นั่น เฉินเจียวซิ่งยังมาไม่ถึง นี่อยู่ในความคาดหมายของนางแต่แรกแล้ว ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของตนในยามนี้ต้องเร็วกว่าเฉินเจียวซิ่งมากแล้ว
จำได้ว่าปีนั้นที่ลงเขาไปเฉินเจียวซิ่งได้อยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบสองแล้ว กำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอย่างหนักอยู่ พริบตาเดียวห้าปีผ่านไป คิดว่าก็คงจะสร้างรากฐานสำเร็จแล้วกระมัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินความเคลื่อนไหว มั่วชิงเฉินยกตามองปราดหนึ่ง เฉินเจียวซิ่งขี่ยันต์กระเรียนเหินหาวตัวหนึ่งค่อยๆ ร่อนลงมา
มั่วชิงเฉินงงงัน ไม่คิดเลยว่าเฉินเจียวซิ่งยังไม่สร้างรากฐาน?
“เฉินเจียงซิ่ง” มั่วชิงเฉินโบกมือ เห็นสหายในวันวาน อย่างไรในใจก็ปีติ
ที่เหนือความคาดหมายคือ เฉินเจียวซิ่งเดินก้าวสวบๆ มา ใบหน้าแข็งเกร็ง เดินมาถึงหน้ามั่วชิงเฉินแล้วคารวะอย่างจริงจังทีหนึ่ง “ศิษย์คารวะอาจารย์อา”
มั่วชิงเฉินหน้าถอดสีทันที เหตุใดไม่กลับมาห้าปี คนที่คุ้นเคยในสำนักต่างเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว จึงอดถามไม่ได้ว่า “เฉินเจียวซิ่ง เจ้าเป็นอะไรไป?”
ในยามนี้ส่วนสูงของเฉินเจียวซิ่งเตี้ยกว่ามั่วชิงเฉินครึ่งศีรษะ ได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้ากลมๆ ขึ้นมาว่า “ข้าไม่ได้เป็นอะไรนี่ ท่านคืออาจารย์อาระดับสร้างรากฐาน ผู้น้อยเห็นท่านแล้วคารวะ ไม่ใช่เรื่องสมควรหรอกหรือ?”
มั่วชิงเฉินฟังออกถึงความแค้นเคืองสายหนึ่งในน้ำเสียงนาง ยิ่งไม่เข้าใจว่า “เฉินเจียวซิ่ง ข้าล่วงเกินเจ้าตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดไม่เจอกันห้าปี เจ้าก็ท่าทางประหลาดเช่นนี้แล้ว?”
“ฮึ!” เฉินเจียวซิ่งเบือนหน้าไปอีกข้างหนึ่ง
แม้มั่วชิงเฉินชักจะอารมณ์เสียแล้ว ดีที่นิสัยปีติโกรธเศร้าสุขล้วนแสดงบนหน้าของเฉินเจียวซิ่งยังไม่เปลี่ยน จึงพยายามพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ใช่แล้ว พี่เสี่ยวซย่าล่ะ วันนี้ข้าส่งยันต์ส่งสารให้เขา ไม่เห็นเขาตอบกลับมาเสียที”
เพิ่งสิ้นเสียงเฉินเจียวซิ่งก็หันหน้ามาโดยพลัน นิ้วมือสั่นชี้มั่วชิงเฉินว่า “พี่เสี่ยวซย่า พี่เสี่ยวซย่า เจ้าเป็นถึงนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ยังติดปากเรียกเขาว่าพี่เสี่ยวซย่า รู้จักอายหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินรู้สึกงงงันแล้ว สีหน้าก็เย็นชาลงมา “เฉินเจียวซิ่ง ไยเจ้าพูดจาน่าเกลียดเช่นนี้?”
เฉินเจียวซิ่งเลือดพุ่งขึ้นหน้าทันที ใบหน้าแดงก่ำไปหมด “มั่วชิงเฉิน มิน่าคนเขาว่าเจ้าเป็นนางมาร ทำให้นักพรตเหอกวงต้องถูกลงโทษให้ไปสำนึกผิดที่โถงลงทัณฑ์ ต้วนชิงเกอถูกอาจารย์อาเยี่ยถอนหมั้น ยังทำให้พวกเขาต้องเข้าโถงลงทัณฑ์กันหมด แม้แต่…ศิษย์น้องซย่า เพิ่งสร้างรากฐานสำเร็จก็รีบร้อนลงเขาไป ยังบอกอะไรข้าว่าจะออกไปฝึกตน เห็นข้าเป็นคนโง่หรือไร มีที่ไหนเพิ่งสร้างรากฐานยังไม่ได้ทำเขตแดนให้มั่นคงก็ออกไปฝึกตน เขาออกไปตามหาเจ้าชัดๆ เขาบอกข้าตั้งกี่ครั้งว่าเขาไม่เชื่อว่าเจ้าตายแล้ว พูดจนหูข้าด้านหมดแล้ว!”
ฟังออกถึงความอิจฉาในคำพูดของเฉินเจียวซิ่ง มั่วชิงเฉินรู้แจ้งแล้ว ที่แท้นางมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งให้พี่เสี่ยวซย่าแล้ว
แววตาโกรธเกรี้ยวของเฉินเจียวซิ่งแทงจนดวงตาของมั่วชิงเฉินเจ็บ นางไม่สนใจว่าคนอื่นจะว่าเช่นไร ทว่านี่คือเฉินเจียวซิ่ง ตนเห็นนางเป็นสหายมาโดยตลอด หรือว่าตนคิดเข้าข้างตัวเองไปฝ่ายเดียวแล้ว?
“เฉินเจียวซิ่ง หรือว่าที่ข้ารอดกลับมา เจ้าไม่ดีใจ?” มั่วชิงเฉินถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เฉินเจียวซิ่งกัดริมฝีปาก สายตาเบนไปทางอื่น
มั่วชิงเฉินรู้ว่าวันนี้ไม่พูดให้รู้เรื่อง ปมในใจของทั้งสองคนก็แก้ยากแล้ว “เฉินเจียวซิ่ง เจ้ามองตาข้าแล้วบอกข้า เจ้าหวังให้ข้าตายอยู่ข้างนอกจริงหรือ?”
เฉินเจียวซิ่งฮึเสียงหนึ่ง “เรื่องอะไรข้าต้องตอบเจ้าด้วย?”
มั่วชิงเฉินกัดฟันว่า “เฉินเจียวซิ่ง เจ้าชอบพี่เสี่ยวซย่าสินะ? หรือว่าก็เพราะเหตุนี้ ในตาก็มองไม่เห็นสิ่งอื่นอีก? ฮึ ข้าว่าไม่ได้ตีกันหลายวัน เจ้าไม่เป็นตัวของตัวเองอีกแล้วใช่หรือไม่?”
เฉินเจียวซิ่งกระโดดขึ้นมา “มาสิ อย่านึกว่าเจ้าสร้างรากฐานแล้วข้าจะกลัวเจ้า อย่างมากก็ตีข้าให้ตายเลยหมดเรื่อง จะได้ไม่ต้องกลัดกลุ้มใจอีก!”
“ดี ดี ข้าก็ไม่รังแกเจ้าหรอกนะ เจ้าอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์มิใช่หรือ เช่นนั้นข้าก็กดตบะให้อยู่ที่ระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์ หากเจ้ารับข้าได้เกินสามกระบวนท่า ข้าจะขอแซ่ตามเจ้า!” มั่วชิงเฉินพูดจบก็ขยับตัวขึ้นมา
“หนึ่งกระบวนท่า สองกระบวนท่า สามกระบวนท่า!” ยามที่มั่วชิงเฉินนับถึงสาม ก็พลิกมือจับเฉินเจียวซิ่งไว้ในมือ ถามว่า “เจ้ายอมหรือไม่?”
เฉินเจียววิ่งได้ยินสี่คำนี้ ในใจเศร้าขึ้นมาทันที ตีกันตั้งกี่ครั้งทุกครั้งล้วนจบลงที่ชัยชนะของมั่วชิงเฉิน ทุกครั้งนางล้วนถามตนเองแบบนี้
“ข้า…ข้าไม่ยอม!” เฉินเจียวซิ่งจู่ๆ ก็อ้าปากกัดข้อมือมั่วชิงเฉินไว้
มั่วชิงเฉินโกรธขึ้นมาทันที ไม่สนใจวิธีการอีกต่อไป ยิ่งไม่ใช้พลังวิญญาณ สองคนก็เหมือนหญิงใจหยาบในโลกฆราวาส ใช้หมัดต่อยขาเตะขึ้นมา
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม สองคนที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงหอบแฮ่กๆ นอนหงายอยู่บนพื้นหญ้า
“เจ้ายอมหรือยัง?” มั่วชิงเฉินถาม
เฉินเจียวซิ่งหอบแฮ่กๆ ว่า “เจ้ารังแกคน เสื้อผ้าของเจ้ามีพลังการป้องกัน!”
มั่วชิงเฉินไม่สนใจนางอีก พ่นออกมาสองคำ “เล่นลิ้น” พูดจบก็เหม่อมองเมฆขาวที่เปลี่ยนรูปร่างต่างๆ นานาบนฟ้า
ทันใดนั้น เฉินเจียวซิ่งร้องไห้โฮขึ้นมา
มั่วชิงเฉินไม่พูด ปล่อยให้นางยิ่งร้องยิ่งดัง ถึงสุดท้ายพูดสะเปะสะปะว่า “เรื่องอะไร ตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งล้วนตีสู้เจ้าไม่ได้ ข้ารากวิญญาณดีกว่าเจ้าชัดๆ ฐานะก็สูงส่งกว่าเจ้า ถึงสุดท้ายกลับสู้เจ้าไม่ได้สักอย่าง แม้แต่สร้างรากฐานก็เป็นเช่นนี้ เดิมทีตบะของเราไม่ต่างกันนัก เจ้ากลับสร้างรากฐานสำเร็จตั้งแต่อายุยี่สิบสองแล้ว ส่วนข้าน่ะ บัดนี้สามสิบสี่ปีแล้ว สร้างรากฐานสองครั้งล้วนล้มเหลวหมด นี่ก็ช่างเถอะ เหตุใดคนที่คนอื่นเห็นว่าสูงส่งเกินเอื้อมล้วนชอบเจ้า เห็นความสำคัญของเจ้า แม้แต่คนที่ศิษย์น้องซย่าคิดถึงก็ยังเป็นเจ้า! เช่นนั้นข้าล่ะ ใครเห็นความพยายามของข้าบ้าง? หรือว่า ความพยายามทั้งหมดของข้าล้วนว่างเปล่า ขอเพียงมีเจ้าอยู่ ก็จะถูกประกายของเจ้าบดบังไป? เจ้าพูดสิ เจ้าพูด เจ้าเกิดมาเพื่อมาพิชิตข้าใช่หรือไม่?”
ที่แท้ ระหว่างที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ปมในใจที่เฉินเจียวซิ่งมีต่อตนเองได้หยั่งรากลึกถึงเพียงนี้แล้ว
มั่วชิงเฉินลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือจับแขนข้างหนึ่งของเฉินเจียวซิ่งว่า “เจ้านั่งขึ้นมา ฟังข้าพูด!”
เฉินเจียวซิ่งถลึงตาใส่นางอย่างดื้อรั้น นัยน์ตากลับมีความอ่อนแอที่แม้แต่ตนเองก็ไม่สังเกต
เสียงของมั่วชิงเฉินดังขึ้นมาอย่างเย็นชา “เฉินเจียวซิ่ง ปีนั้นพบเจ้าครั้งแรก แม้ไม่นับว่ารื่นรมย์ ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าคุ้มค่าที่จะคบหาด้วย ทว่าไม่คิดว่าเจ้าอายุยิ่งมากยิ่งไม่เอาถ่าน!”
คำพูดนี้มั่วชิเฉินพูดได้หนักมาก เฉินเจียวซิ่งกลับฟังอย่างไม่ขยับเขยื้อน
“ตามตรรกะของเจ้า เจ้าอยากให้ตนเองบำเพ็ญเพียรได้เร็วที่สุด เช่นนั้นคนที่บำเพ็ญเพียรเร็วกว่าเจ้าทั้งหมดต้องตายให้หมดถึงดีใช่หรือไม่ เช่นนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นคนที่เร็วที่สุดแล้ว? เช่นนี้น่าเกรงขามมากหรือ? เจ้าหวังให้คนที่เจ้าชอบชอบเจ้า เช่นนั้นเจ้าหวังให้หญิงสาวที่มีความคุกคามต่อเจ้าล้วนตายไปให้หมดใช่หรือไม่ เช่นนั้นล่ะก็ เขาก็จะชอบเจ้าแน่นอนเช่นนั้นหรือ? ต่อให้เขายอมรับเจ้า ในใจเจ้าก็จะไม่ตุ้มๆ ต่อมๆ ว่าตกลงเขาชอบเจ้าจากใจจริง หรือว่าเพราะไม่มีทางเลือกจึงยอมประนีประนอม? บุพเพสันนิวาสเช่นนั้นก็เป็นสิ่งที่เจ้าอยากได้เช่นนั้นหรือ?” มั่วชิงเฉินถามอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
เฉินเจียวซิ่งส่ายศีรษะอย่างแรง “ไม่ใช่นะ ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้…ไม่ได้แทบอยากจะให้คนที่แข็งแกร่งกว่าข้าตายหมดเสียหน่อย…”
มั่วชิงเฉินหัวเราะนิ่งเรียบ “เช่นนี้แล้ว เจ้าก็เพียงแต่พุ่งเป้ามาที่ข้าแล้วสิ เห็นข้าบำเพ็ญเพียรเร็วกว่าเจ้าไม่ได้ เห็นข้าเป็นที่ต้อนรับกว่าเจ้าไม่ได้? เฉินเจียวซิ่ง ที่จริงในใจเจ้าดูถูกข้ามาตลอดสินะ ดังนั้นทุกครั้งที่ข้าก้าวหน้าหนึ่งก้าว กลับทำให้เจ้าไม่พอใจ”
“ข้า ข้าเปล่า…” เฉินเจียวซิ่งพึมพำว่า
มั่วชิงเฉินจ้องเฉินเจียวซิ่งเขม็ง “เจ้าเป็น มิเช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่รังเกียจศิษย์พี่เยี่ย ไม่รังเกียจศิษย์พี่มั่ว เพราะว่าตั้งแต่แรกเจ้าก็รู้ว่าพวกเขาพรสวรรค์ดี ฐานะดี ดังนั้นที่พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเจ้าเป็นเรื่องที่พึงจะต้องเป็นเช่นนั้นถูกหรือไม่?”
ในที่สุดเฉินเจียวซิ่งก็ร้องไห้โฮเสียงหลงขึ้นมา “ข้าไม่รู้ ไม่รู้…”
เหตุใดในคำพูดของมั่วชิงเฉิน ตนเองถึงสุดที่จะรับได้เพียงนั้น ที่ยิ่งน่ากลัวคือไม่คิดเลยว่าในใจตนเองจะรู้สึกว่าสิ่งที่นางพูดมีเหตุผล?
มั่วชิงเฉินค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “เฉินเจียวซิ่ง เจ้าสร้างรากฐานสองครั้งไม่สำเร็จ ไม่ลองสงบใจลงมาลองคิดดีๆ คนที่เดิมทีแข็งแกร่งกว่าเจ้าบำเพ็ญเพียรเร็วเจ้ารู้สึกว่าเป็นสัจธรรมอันเปลี่ยนแปลงมิได้ คนที่เดิมทีสู้เจ้าไม่ได้บำเพ็ญเพียรเร็วเจ้าดูแล้วขัดหูขัดตา นี่ยังเป็นเจ้าคนเดิมอยู่หรือไม่?”
เฉินเจียวซิ่งชะงักอยู่ที่เดิม ครุ่นคิดอย่างหนัก
มั่วชิงเฉินยกตัวกระโดดขึ้นเรือเล็ก ทิ้งคำพูดประโยคสุดท้ายไว้ “พี่เสี่ยวซย่าเคยบอกข้าว่า ได้รู้จักกับศิษย์พี่น้อยที่น่ารักมากคนหนึ่งที่เขาต้วนจิน เขาชอบมาก ไม่รู้คนที่เขาพูดถึงคนนั้น จะยังกลับมาได้หรือไม่”
เฉินเจียวซิ่งเหม่อมองเงาหลังที่ไกลออกไปของมั่วชิงเฉิน ในที่สุดก็นั่งยองๆ ลงปิดหน้าร้องไห้ขึ้นมา
มั่วชิงเฉินบังคับเรือเล็กบินไปที่เขาชิงมู่ นางรู้สึกเหนื่อยมาก เดิมทีความปีติเต็มหัวใจที่ได้กลับมาถึงสำนัก ทว่าเพียงสั้นๆ วันเดียว นางกลับรู้สึกว่าเหนื่อยกว่าการสู้กับอสูรทะเลตามลำพังในทะเลอันเวิ้งว้างอีก
กลับถึงเรือนไม้ไผ่ อสูรเสือพายุทะลุฟ้ากำลังนอนอ้าซ่า เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสองพี่น้องคนหนึ่งหน้าคนหนึ่งหลังสางขนให้มันอยู่
ฝีมือของสองคนดีกว่ามั่วชิงเฉินมาก เสือยักษ์สบายจนส่งเสียงคราง
มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป นั่งลงบนขั้นบันได ล้วงม้วนกระดาษหนังวัวที่คุณชายหกมอบให้พลิกดูขึ้นมา
ในคู่มือนี้บันทึกวิธีหมักสุราทิพย์ไว้น่าสนใจยิ่งนัก บัดนี้ตนนอกจากสงบใจบำเพ็ญเพียร ก็ช่วยพวกอาจารย์ไม่ได้อยู่ดี ยังไม่สู้ศึกษาวิธีหมักสุราทิพย์สองสามชนิด รออาจารย์ออกมาให้เขาลองลิ้มรสดู
มั่วชิงเฉินกำลังอ่านจนตกอยู่ในภวังค์ ทันใดนั้นรู้สึกว่าเขตหวงห้ามนอกป่าไผ่ถูกล่วงล้ำ เพียงครู่เดียวก็มียันต์ส่งสารส่งมาใบหนึ่ง
ยื่นมือรับมาดู ไม่คิดเลยว่าจะเป็นนักพรตจื่อซีที่บอกว่าตนเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของนักพรตเหอกวง
มั่วชิงเฉินจำได้ว่าอาจารย์เคยพูดถึง เจ้าหุบเขาเขาชิงมู่หลิวซางเจินจวินรับศิษย์ไว้หกคน ศิษย์เอกกลับเป็นนักบำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่ง ก็คือนักพรตจื่อซี ยามเดียวกันก็เป็นศิษย์หญิงเพียงคนเดียวของหลิวซางเจินจวิน
ไม่กล้าชักช้า มั่วชิงเฉินรีบปลดเขตหวงห้ามออก ยังไม่ทันได้ไปต้อนรับ ก็เห็นหญิงสาวนางหนึ่งชุดขาวโบกพลิ้วเท้าเหยียบดอกบัวหยกลอยเข้ามาแล้ว
มั่วชิงเฉินแอบคิดว่าโชคดีที่เป็นกลางวันแสกๆ หากเป็นกลางคืนต้องตกใจสะดุ้งโหยงแน่ๆ
หญิงสาวชุดขาวร่อนลงพื้น ตาก็ตกไปบนหน้ามั่วชิงเฉิน
“ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ลุงเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินคารวะ
หญิงสาวชุดขาวยื่นมือออก “รีบเข้ามา เจ้าก็คือศิษย์น้อยของศิษย์น้องเหอกวงหรือ?”
มั่วชิงเฉินคลำความคิดของนักพรตจื่อซีไม่ถูก จึงเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย กลิ่นหอมดอกบัวจางๆ สายหนึ่งลอยมา จึงแอบคิดว่านักพรตจื่อซีท่านนี้ช่างมีความรู้สึกเหมือนเซียนจริงๆ
ใครจะรู้ว่าคำพูดต่อมาของนักพรตจื่อซีจะทำให้มั่วชิงเฉินอยากเก็บความคิดเมื่อครู่กลับมาทันที “ศิษย์น้องเหอกวงใจแคบเหลือเกิน ตั้งแต่ที่รู้ว่าเขารับศิษย์ ข้าก็อยากดูว่าหน้าตาเป็นเช่นไร ทว่าทุกครั้งล้วนถูกเขาปฏิเสธไม่ให้เข้ามา ทีนี้ดีแล้ว ฉวยโอกาสที่เขาไม่อยู่ในที่สุดก็มั่วเข้ามาได้แล้ว ที่แท้ศิษย์น้อยที่ทำให้ศิษย์น้องที่เหมือนเทพเซียนของข้าผู้นั้นโกรธเกศาตั้ง ก็มีสองตาหนึ่งปากเหมือนทุกคนนี่นา”