ใช่แล้ว หากไม่เพราะนางเป็นร่างหยินบริสุทธิ์ ตนเป็นร่างหยางบริสุทธิ์ เพราะเหตุใดทุกครั้งที่พบกัน ถึงเกิดพลังดึงดูดที่ประหลาดล่ะ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แต่ก่อนก็มิใช่เข้าใจนางผิดหรอกหรือ?
เยี่ยเทียนหยวนในชั่วเวลาหนึ่ง บอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกเช่นไรกันแน่
ทันใดนั้นเสวียนหั่วเจินจวินพบว่าชนรุ่นหลังของเขาผู้นี้ ได้ยินข่าวคราวนี้แล้วคิดไม่ถึงว่าจะมีปฏิกิริยาบ้างแล้ว จึงอดปีติไม่ได้ว่า “เทียนหยวน พอข้าได้ยินข่าวนี้ปุ๊บ ก็รู้สึกทันทีว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นั้น ช่างเป็นคู่สร้างคู่สมกับเจ้าโดยแท้ พวกเจ้าหากเป็นคู่บำเพ็ญเพียรคู่ เช่นนั้นความเร็วในการบำเพ็ญเพียรต้องเร็วอย่างเหลือเชื่อแน่นอน นี่ช่างเป็น…”
“ท่านปู่ทวด!” เสวียนหั่วเจินจวินยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเยี่ยเทียนหยวนออกปากพูดแทรกแล้ว
เห็นท่าทางอับอายและรำคาญของเยี่ยเทียนหยวน เสวียนหั่วเจินจวินหัวเราะคิกคักว่า “เทียนหยวน เจ้าจะไม่ลองคิดดูหรือ ต้องรู้นะว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีร่างหยินบริสุทธิ์จะทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรชายทั้งหมดวิ่งเข้าใส่นะ กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ระดับก่อกำเนิดก็จะจ้องตาเป็นมัน หากนางหนูนั่นถูกคนอื่นแย่งไปก่อนก้าวหนึ่ง เจ้าอย่ามาเสียใจภายหลัง…”
“ท่านปู่ทวด ก่อนเทียนหยวนจะก่อแก่นปราณจะไม่พิจารณาเรื่องบำเพ็ญเพียรคู่ขอรับ! หากไม่มีเรื่องอันใด เทียนหยวนของอำลาแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูดจบอย่างรีบร้อน หันหลังเดินไปอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย
เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดสานขาดๆ พลางไล่ตามไปข้างหน้าสองก้าว ปากพึมพำว่า “เจ้าเด็กนี่ช่างดื้อดึงเสียจริง ไม่ใช่ยังไม่สร้างรากฐานกลัวสูญเสียความเป็นหยางเสียหน่อย จะรอให้ถึงหลังก่อแก่นปราณให้ได้ทำอะไร! เอ๊ะ ช้าก่อน เจ้าเด็กนั่นบอกว่าก่อนก่อแก่นปราณไม่พิจารณา เช่นนี้แล้ว ที่จริงเขามีใจให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนั่นแล้วหรือ? ไอยา ยังไม่ทันได้บอกเขาว่านางหนูน้อยที่เขาช่วยไว้ในปีนั้นก็สร้างรากฐานแล้ว ทว่าดูเช่นนี้แล้ว ข่าวลือในปีนั้นเป็นเพียงคำเล่าลือเท่านั้นแล้ว?”
เพราะว่ารากวิญญาณหายาก ดังนั้นโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรจึงสนับสนุนให้บำเพ็ญเพียรคู่ โดยเฉพาะตระกูลเล็กๆ บางตระกูล เช่นตระกูลมั่วที่มั่วชิงเฉินอยู่เมื่อเยาว์วัย รอให้ลูกหลานในตระกูลสร้างรากฐานไม่ทันเอาเสียเลย ก็ตกลงเรื่องแต่งงานให้พวกเขา สืบวงศ์ตระกูลแล้ว
ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรสูญเสียความเป็นหยางความเป็นหยินตั้งแต่ระดับหลอมลมปราณ เช่นนั้นยามสร้างรากฐานเนื่องจากความเป็นหยางความเป็นหยินได้สูญเสียไปแล้ว จึงมีผลกระทบกับรากฐาน สุดท้ายก็สู้ผู้ที่มีร่างพรหมจรรย์ไม่ได้
ดังนั้นสำนักใหญ่มากมายแม้ไม่ออกคำสั่งห้ามศิษย์ในระดับหลอมลมปราณบำเพ็ญเพียรคู่ กลับรักษาท่าทีไม่ยอมรับ มีเพียงรอถึงหลังสร้างรากฐาน ถึงสนับสนุนให้บำเพ็ญเพียรคู่ เพราะอย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ก่อแก่นปราณได้ในร้อยคนมีไม่เกินสองสาม หากต่างรอให้หลังก่อแก่นปราณแล้วค่อยบำเพ็ญเพียรคู่จริง เช่นนั้นโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ดับสูญไปนานแล้ว
เยี่ยเทียนหยวนไม่รู้คำพูดพูดเองเออเองข้างหลังของเสวียนหั่วเจินจวิน หลังจากรีบออกจากเขาหลิวหั่ว ก็เดินไปถึงหุบเขาที่พบกับมั่วชิงเฉินในปีนั้นอย่างไม่รู้ตัว ยืนอยู่หน้าน้ำพุร้อนที่ใสจนเห็นก้นบึงชั่วครู่ จึงถอดเสื้อผ้าจนไม่เหลือแล้วโดดลงไป
เสียงน้ำกระเพื่อมดังซู่ เยี่ยเทียนหยวนโผล่ศีรษะออกจากน้ำพุ ในใจรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
หุบเขานี้ถูกเขาพบด้วยความบังเอิญเมื่อนานมาแล้ว เป็นสถานที่สงบที่หายากในพรรคเหยากวง เขาจึงข้ามมาแช่น้ำพุร้อนเป็นระยะ ล้างแรงกดดันและความยุ่งยากที่รัศมีต่างๆ นำพามาให้เขาให้หมดไป ใครจะรู้ว่าออกจากสำนักไปหลายปีเมื่อกลับมาอีกครั้ง ดินแดนบริสุทธิ์ในใจกลับถูกนางหนูน้อยคนหนึ่งบุกรุกอย่างคาดไม่ถึง ยัง…ยังเห็นถึง…
ทุกครั้งที่นึกย้อนถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น เขาก็ทั้งอายทั้งโกรธเกินจะรับได้ ทว่าเฉพาะเจาะจงขอเพียงลงไปในทะเลสาบนี้ ก็จะนึกถึงเหตุการณ์ปีนั้นอย่างไม่รู้ตัวอีก
การพบครั้งเพียงแวบเดียวที่ไม่มีความสุข หลังจากหลายปีผ่านไป นางหนูน้อยที่ยังอยู่วัยกระเตาะเมื่อแรกพบกลับยิ่งนานยิ่งชัดเจนขึ้นในสมองเขา
นาง ช่างคิดไม่ถึงนางเป็นร่างหยินบริสุทธิ์เช่นนั้นหรือ?
เยี่ยเทียนหยวนไม่เข้าใจว่าตนหงุดหงิดอะไรอยู่ จึงผลุบเข้าไปในน้ำอีก
ผู้คนพูดว่าความคิดชั่วแล่นรักบังเกิด คนมากมายในยามแรก ไม่รักคนคนนั้นทันที ทว่าเป็นเพราะเรื่องบางเรื่องจึงเกิดใส่ใจแล้ว คอยสังเกตแล้ว ความประทับใจลึกซึ้งแล้ว ทันใดนั้นในใจจึงมีปมปมหนึ่ง อาจจะในระหว่างที่ไม่คาดคิด ปมในใจนั้นก็จะกลายเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกที่สุด
ส่วนอีกด้านหนึ่ง มั่วชิงเฉินตามผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนมาหยุดอยู่ที่หนึ่งในยอดเขารองแห่งเขาชิงมู่
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนว่า “ศิษย์น้องมั่ว เจ้ารอสักครู่ ข้าไปรายงานนักพรตเหอกวงก่อน”
“ศิษย์พี่เฉียน…” มั่วชิงเฉินเรียกอย่างลังเลเสียงหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญเพียรเฉียนหันมา “อันใดหรือ ศิษย์น้องมั่ว?”
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก “ศิษย์พี่เฉียน นักพรตเหอกวง ท่านรับข้าเป็นศิษย์ก้นกุฏิจริงหรือ? ข้า ข้าเป็นศิษย์บันทึกชื่อของท่านตั้งแต่เมื่อใดอีก?”
แม้รู้สึกว่าคำถามนี้น่าขัน มั่วชิงเฉินยังคงทนไม่ไหวถามออกมา จะได้พบอาจารย์ในอนาคตในทันทีแล้ว ในโลกที่วันหนึ่งเป็นครู เป็นบิดาชั่วชีวิตนี้ นางไม่สามารถเลอะเลือนเช่นนี้ได้
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนชะงัก จากนั้นยิ้มว่า “ศิษย์น้องถูกนักพรตเหอกวงรับเป็นศิษย์บันทึกชื่อตั้งแต่เมื่อใด นี่ข้ากลับไม่รู้ ทว่าคำพูดนี้กลับเป็นนักพรตเหอกวงที่พูดกับข้าด้วยตนเองนะ”
เห็นท่าทางมั่วชิงเฉินสดับตรับฟัง ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเอ่ยอีกว่า “วันนั้นศิษย์ที่ชื่อเสี่ยวซย่าของเขาต้วนจินคนนั้นวิ่งมานี่บอกว่าเจ้าถูกนักพรตหานจางขังไว้แล้ว ขอร้องข้าพาเจ้ากลับมา ศิษย์น้องมั่ว ไม่ปิดบังเจ้าหรอกนะ ข้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่ง แม้บอกว่าเป็นศิษย์ผู้ดูแลแห่งเขาชิงมู่ ทว่าให้ไปหาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่งทวงคน นั่นไม่ต่างกับเอาไข่กระทบหิน ในระหว่างที่ลำบากใจอยู่ ท่านผู้เฒ่าเหอกวงส่งสารมาบอกว่าเจ้าคือศิษย์บันทึกชื่อของท่าน ให้ข้าไปพาเจ้ากลับมา”
เห็นมั่วชิงเฉินยังงงงวยเล็กน้อย ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนยิ้มว่า “นักพรตเหอกวงทำสิ่งใดสง่าผ่าเผยมาตลอด ท่านอาจไม่ได้บอกเจ้าโดยตรง แต่ในใจเห็นเจ้าเป็นศิษย์บันทึกชื่อมานานแล้ว มิเช่นนั้นครั้งนั้นที่ศิษย์น้องหรวนมาหาเรื่องศิษย์น้อง ท่านจะสั่งข้าไปแก้สถานการณ์ได้เช่นไรล่ะ? หึๆ ศิษย์น้องมั่วขยันหมั่นเพียรเข้มแข็งทรหด ตบะโดดเด่นในบรรดาคนอายุคราวเดียวกัน ถูกนักพรตเหอกวงเมตตาก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้
มั่วชิงเฉินฟังแล้วใจเกิดซาบซึ้ง ที่แท้อาจารย์ที่ยังไม่เคยพบหน้ากันของตนท่านนั้น ได้ปกปักตนมานานแล้ว ตนเป็นดั่งที่ศิษย์พี่เฉียนพูดเช่นนั้นจริงหรือ เพราะบากบั่นบำเพ็ญเพียร จึงเข้าตานักพรตเหอกวงเช่นนั้นหรือ?
ไม่ว่าอย่างไร ไมตรีจิตของการส่งถ่านกลางหิมะ[1]ไม่ใช่การเติมดอกไม้ลงบนผ้าแพร[2]จะเทียบได้ ตนสร้างรากฐานด้วยอายุเท่านี้ มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเต็มใจรับตนเป็นศิษย์นั้นไม่แปลก ที่หายากคือนักพรตเหอกวงนั้นไม่รู้เรื่อง เพียงเพื่อต้องการช่วยตนออกจากเขาต้วนจินถึงพูดเช่นนั้น บุญคุณนี้ ก็หนักพันชั่งแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนสั่งมั่วชิงเฉินรออยู่ที่เดิม ตนเลี้ยวเข้ามุมหนึ่งของยอดเขา ก็เป็นป่าไผ่ละลานตา เขาก็ไม่เข้าไป เพียงแต่ยืนอยู่นอกป่าไผ่ส่งสารว่า “ท่านผู้เฒ่าเหอกวง ข้าพามั่วชิงเฉินกลับมาแล้วขอรับ นางกำลังรออยู่ด้านนอก”
เพียงชั่วครู่ ข้างในส่งเสียงทางจิตออกมานิ่งเรียบ “ข้าบอกแล้ว หลังจากพานางกลับมาอย่างราบรื่นแล้วให้ส่งนางกลับที่เดิม ทุกอย่างทำตามเดิมมิใช่หรือ หากนางมีวันที่สร้างรากฐาน ค่อยพานางมาพบข้า”
“ท่านผู้เฒ่าเหอกวง ศิษย์น้องมั่วนาง นางสร้างรากฐานสำเร็จแล้วขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนตอบอย่างนอบน้อม
ข้างในนิ่งเงียบเนิ่นนาน จึงส่งเสียงทางจิตออกมา “เช่นนั้นก็ให้นางเข้ามาเถอะ”
“ขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนคารวะหนึ่งที หันหลังกลับมาถึงที่มั่วชิงเฉินนั่น “ศิษย์น้องมั่ว เจ้าเข้าไปได้แล้ว”
“อืม” มั่วชิงเฉินรับเสียงหนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจรู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนดูเหมือนผ่านเรื่องราวทางโลกมามาก เห็นดังนั้นยิ้มว่า “ศิษย์น้องไม่ต้องกังวล ท่านผู้เฒ่าเหอกวงเป็นคนใจดียิ่งนัก ใช่แล้ว วันหลังศิษย์น้องเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านอื่น ควรเรียกว่าอาจารย์ลุง นักพรตเหอกวงเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ”
พวกเขาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ไม่มีอาจารย์พวกนี้ เห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเพียงเรียกว่าอาจารย์อาธรรมดาก็พอ ส่วนศิษย์ก้นกุฏิเช่นมั่วชิงเฉินเช่นนี้ กลับต้องระวังสิ่งเหล่านี้
มั่วชิงเฉินย่อตัว “ขอบคุณศิษย์พี่เฉียนที่ชี้แนะ อาจเอื้อมถามศิษย์พี่ชื่ออะไรเจ้าคะ?”
มั่วชิงเฉินรู้สึกซาบซึ้งศิษย์พี่เฉียนที่ช่วยเหลือตนเองหลายครั้ง จึงอยากรู้ชื่อเสียงเรียงนามของเขา โดยไม่ใช่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่อยู่ร่วมลานบ้านเดียวกันสองคนนั้น ใช้ชีวิตมาหลายปียังไม่รู้ชื่อของพวกนาง
เมื่อมั่วชิงเฉินถามออกมา ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนที่มีมารยาทเป็นนิจกลับร่างกายแข็งทื่อ เห็นมั่วชิงเฉินยิ้มหวานมีความจริงใจ ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงเบียดออกมาประโยคหนึ่งว่า “ข้าชื่อ…เฉียนตาเล็ก…”
ในระหว่างที่มั่วชิงเฉินงงงันอยู่ เฉียนตาเล็กรีบทิ้งไว้ประโยคหนึ่งแล้วรีบจากไป “ศิษย์น้องมั่ว วันหลัง วันหลังเจ้ายังคงเรียกข้าว่าศิษย์พี่เฉียนดีกว่า…”
จนกระทั่งเฉียนตาเล็กไม่เห็นเงา มั่วชิงเฉินถึงได้สติกลับมา ทนไม่ไหวต้องหัวเราะออกมา
เฉียนตาเล็ก…ชื่อนี่ช่างเอาเรื่องจริงๆ!
ปกติผู้บำเพ็ญเพียรที่สนิทกันเพื่อแสดงความใกล้ชิด ล้วนเรียกกันด้วยชื่อ เช่นต้วนชิงเกอเรียกนางว่าศิษย์น้องชิงเฉินมาตลอด เมื่อครู่นางถึงถามชื่อ ก็คือความหมายนี้
ทว่าเมื่อคิดว่าวันหลังตนเรียกเขาว่าศิษย์พี่ตาเล็ก…
มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณธรรมเกินไปหน่อย ถึงเวลานางต้องหัวเราะแน่นอน ศิษย์พี่เฉียนพูดถูก นางยังคงเรียกตามปกติเช่นนั้นดีกว่า
มั่วชิงเฉินสงบจิตใจครู่หนึ่ง เดินผ่านหัวมุมยอดเขา ที่เห็นคือทะเลไผ่ละลานตา
ทันใดนั้น มั่วชิงเฉินดูเหมือนมาถึงป่าไผ่ที่ลานบ้านด้านหลังตระกูลมั่ว ห้องไม้ไผ่ที่อยู่ข้างๆ สง่างาม ชายหนุ่มด้านในสงบอ่อนโยน นั่นคือท่านอาสิบสี่ของนาง
ทันใดนั้น ทะเลไผ่ตรงหน้าแยกออกเป็นถนนสายเล็ก มั่วชิงเฉินสูดจมูก กดความโศกเศร้าที่มากะทันหันลงไป ยกเท้าเดินเข้าไป
ไม่รู้อาจารย์ของนาง เป็นคนเช่นไร จะเป็นผู้อาวุโสที่อบอุ่นใจดีเหมือนท่านอาสิบสี่ของนางหรือไม่นะ?
ไผ่เขียวสองข้าง ใบไผ่ดังซ่าๆ เสียงนกกระเต็นร้องเบาๆ ท่ามกลางลมพัดเฉื่อย แสงแดดลอดผ่านช่องว่างลงมา กลายเป็นจุดแสงใหญ่ๆ น้อยๆ กระโดดโลดเต้นไม่หยุด
มั่วชิงเฉินที่อยู่ในนั้น ราวกับเดินเข้ามาในดินแดนแห่งความฝันอันสวยงาม เดินต่อไปจนสุดทะเลไผ่ เป็นสวนสมุนไพรผืนใหญ่ บนพื้นหญ้าเขียวขจีข้างๆ มีนกอินทรีขาวดุจหิมะตัวใหญ่ตัวหนึ่งกำลังก้าวย่าง ยังมีอสูรวิญญาณหน้าตาเหมือนเสือที่อ้วนมากตัวหนึ่งหมอบงีบอยู่ตรงนั้น
แสงแดดสดใสสาดส่องลงมาอย่างไม่ตระหนี่ เคลือบแสงทรงกลดชั้นหนึ่งให้ทุกสิ่งที่มั่วชิงเฉินเห็น รวมทั้งผู้ชายชุดเทาที่อยู่กลางแสงทรงกลดคนนั้น
ในนาทีที่มั่วชิงเฉินยื่นนิ่ง ชายชุดเทาที่ใช้นิ้วมือยาวเรียวสางขนให้เสือตัวใหญ่อย่างตามสบายเงยหน้าขึ้น มองมาที่นางพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
มั่วชิงเฉินกลับเหมือนถูกฟ้าผ่า พูดไม่ออกอีกแม้แต่คำเดียว
คนคนนั้นยังคงคลุมชุดเทาอย่างตามสบาย ดูแล้วผอมบางหลุดจากโลกฆราวาส หน้าตาที่ไม่เปลี่ยนกลับไม่เหมือนยามนั้นที่ให้คนเห็นแล้วก็ลืม ตรงกันข้ามมีความสุกสกาวของพลังที่บอกไม่ถูกเก็บงำภายใน ทำให้สิ่งรอบด้านต้องหมองหม่น
“ท่านพี่กู้…” มั่วชิงเฉินกลั้นไม่ไหวเรียกออกมา น้ำเสียงสะอึกสะอื้น
ท่านพี่กู้ จากกันสิบกว่าปี ท่านสบายดีหรือไม่?
ในชั่วเวลาหนึ่งมั่วชิงเฉินมีหมื่นพันคำพูดติดอยู่ที่คอหอย สุดท้ายกลับคุกเข่ากราบลงกับพื้นท่ามกลางรอยยิ้มอ่อนโยนแต่สงบของชายชุดเทา
“ศิษย์ชิงเฉิน ขอกราบคารวะอาจารย์”
——
[1] ส่งถ่านกลางหิมะ หมายถึงการยื่นความช่วยเหลือให้ในขณะที่อีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือนั้นอย่ามาก
[2] เติมดอกไม้ลงบนผ้าแพร เป็นสำนวน หมายถึงการประดับตกแต่งสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก เปรียบเปรยถึงการกระทำที่ไม่จำเป็น