“บุรุษตระกูลฝู ถึงขนาดกล้ารังแกสตรีไม่มีทางสู้ได้ต่อไปก็หาอาภรณ์สตรีมาสวมใส่เสียเถิด”
“เจ้าเป็นใคร สอดมือมายุ่งเรื่องผู้อื่นนัก ดี!!จัดการพวกนาง”
เมื่อเห็นร่างเล็กของสตรีถูกรุมเช่นนั้นทั้งสองจึงรีบเข้าไปช่วยทันที ท่ามกลางเหตุการณ์ชุลมุนนั้น ฝูเฉวียนหยาง ที่เล่นทีเผลอกระชากแขนเรียวเล็กของนาง จนนางล้มลงกับพื้นข้อเท้าเจ็บแปลบขึ้นมา
‘เจ้าคนน่าตายนี่ นางแค่ไม่อยากมีเรื่อง แต่ก็ยังเสนอหน้ามาหาเรื่องนางอีก ได้!! ‘
ร่างบางที่คิดอย่างโมโห เมื่อมันเห็นนางนั่งอยู่กับพื้นก็หัวเราะอย่างสะใจ ก่อนเดินเข้ามาจะฉุดกระชากนางอีกมือบางที่คว้าถาดไม้ที่ตกอยู่แถวนั้นได้ก็ฟาดไปที่หัวของมันอย่างแรงด้วยความโมโห
คุณชายฝูที่รู้สึกมึนงงไปชั่วขณะพร้อมรู้สึกถึงหยดเลือดไหลลงมามากมายบุรุษตัวโตแหกปากเสียงดังจนผู้ติดตามต้องละมือจากการต่อสู้กับบุรุษทั้งสองมาดูผู้เป็นนายทันที
บุรุษชุดขาวรีบเข้าไปประคองร่างระหงนั้นขึ้นมาพร้อมยื่นแขนแข็งแรงนั้นให้นางเกาะไว้
“แก นังสตรีชั้นต่ำ ข้าจะทูลฮองเฮาให้ตัดหัวงามๆ ของเจ้าไปเสียบประจาน”
“ดี!! หากกลัวว่าจะหาข้าไม่พบแล้วละก็ จำใส่สมองกลวงๆ ของเจ้าไว้ข้าชื่อ เฉิน รุ่ยฟาง เจ้าอย่าลืมให้ทหารของพี่สาวเจ้าไปตัดหัวเปิ่นหวางเฟยถึงเสิ่นหยางกงด้วยเล่า”
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยออกมาอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ที่กำลังจะประทุ
“เฉิน รุ่ยฟาง มิใช่คุณหนูเล็กตระกูลเฉินหรอกหรือ ชินหวางเฟย! นางคือชินหวางเฟย”
เสียงพูดคุยดังขึ้นก่อนกระจายไปโดยรอบ
“อะ อะไรนะเจ้าบอกว่าเจ้าชื่อ เฉินรุ่ยฟาง งั้นรึเจ้าเป็นคนตระกูลเฉิน”
“ถ้ายังมิมั่นใจก็ให้ใต้เท้าฝู บิดาเจ้าไปถามจงเฉิงโหวดูดีหรือไม่เล่า ว่าข้าใช่บุตรีของท่านโหวรึไม่”
“ได้ ข้าจะให้บิดาข้าไปเอาคำตอบที่จวนโหว ไป!! เจ้าพวกโง่ พาข้าไปโรงหมอเร็วเข้า”
หลังจากคนพวกนั้นหายออกไปจากโรงน้ำชาแล้วร่างบางก็หันมามองแขนแข็งแรงที่นางยึดเกาะอยู่ ด้วยความตกใจจึงรีบปล่อยมือทันที แต่ข้อเท้าที่เจ็บปวดและคาดว่ามันต้องบวมมากทำให้นางทำท่าเหมือนจะล้มลง มือแกร่งจึงคว้าแขนเล็กนั้นไว้อีกครั้ง
“ยืนนิ่งๆ ก่อนเถิดเดี๋ยวให้สาวใช้ของเจ้ามาประคอง”
เสี่ยวอวี้และเสี่ยวฮุ่ยที่ถูกกันไว้ให้ออกจากการต่อสู้ได้ยินเสียงทุ้มอบอุ่นนั้นเอ่ยก็รีบเข้ามาประคองนายสาวทันที
“เจ้าสองคนเจ็บตรงไหนหรือไม่”
เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงจนนางทั้งสองน้ำตาร่วง
“ไม่เพคะ หม่อมฉันไม่เจ็บ แต่พระองค์”
“หม่อมฉันสมควรตายที่ปกป้องพระองค์มิได้”
“อย่าโทษตัวเองเลย ตอนนั้นวุ่นวายไปหมดไม่แปลกหรอกที่คนชั่วจะฉวยโอกาศ”
“อ่ะแฮ่มมม ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว นี่พวกเจ้าไม่มีผู้ติดตามเลยรึ มิน่าเชื่อว่าจงเฉิงโหวจะละเลยเรื่องเช่นนี้ได้”
สตรีร่างโปร่งบางเอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัย
“แม่นางนั่นเอง ขอบคุณแม่นางมากที่ช่วยเหลือคุณชายทั้งสองด้วยเจ้าค่ะขอบคุณที่ช่วยเหลือ”
“มิเป็นไร”
เสียงทุ้มเอ่ยตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มทรงเสน่ห์
“ความจริงข้ามีผู้ติดตามมาด้วย แต่เห็นว่าแค่เข้ามาจิบน้ำชาครู่เดียวจึงมิให้คนติดตามมา มิคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น”
“หากเจ้าแซ่เฉิน เช่นนั้นเจ้าก็คือชินหวางเฟยงั้นสิหม่อมฉันถวาย…”
ร่างโปร่งเอ่ยอย่างตกใจกลัวล่วงเกินผู้สูงศักดิ์
“หยุดๆ ท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้า อีกอย่างตำแหน่งชินหวางเฟยมันก็มีไว้อวดเพียงแค่นั้นกระมัง เชิญพวกท่านนั่งก่อนดีหรือไม่เสี่ยวเอ้อร์จัดโต๊ะใหม่ให้ด้วย”
“พะยะค่ะ”
หลังจากทั้งหมดนั่งลงแล้วจึงได้เริ่มสนทนากัน
“พวกท่านชื่อแซ่อะไรกันบ้างหรือ อย่างไรท่านก็เป็นผู้มีพระคุณคงไม่รังเกียจกระมัง”
“หม่อมฉัน โจวเมิ่งเหยา”
“ตระกูลโจว มิใช่คุณหนูรองจวนแม่ทัพอุดรหรอกหรือ”
“เพคะ”
มิน่าเล่านางถึงห้าวหาญเกินสตรีนัก
“ข้าก็เป็นบุตรสาวจวนแม่ทัพ เหตุใดมีเก่งเยี่ยงเจ้าเล่า”
คนงามเอ่ยเบาๆเรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งโต๊ะ
“เก่งสิ หากท่านไม่เก่งคงมิกล้าฟาดเขาขนาดนั้นแน่”
“ข้าแค่โมโหเองนะ”
“แล้วท่านทั้งสองเล่ามีชื่อว่าอันใดหากข้ามิได้ท่านช่วยคงสู้พวกนั้นไม่ไหวแน่”
คุณหนูโจวเอ่ยถามอย่างเป็นกันเองพลางเหลือบมองบุรุษทั้งสองที่บุคลิกต่างกันมาก อีกคนดูเป็นคนเข้าถึงง่ายในขณะที่อีกคนนั่งนิ่งจิบชาไปเงียบๆขนาดคนทั้งโต๊ะหัวเราะกัน คนหน้าตายนี่ยังยกยิ้มเบาๆเท่านั้น น่าหมั่นใส้นัก
และราวกลับรู้ว่านางกำลังนินทา สายตาคมกริบนั้นตระหวัดมามองนางทำเอานางเสียกิริยาไปพักนึง
เห็นสหายยังนั่งนิ่งจึงถือโอกาสแนะนำตัวกับสตรีทั้งสองแทน
“พวกข้ามาจากแคว้นเป่ย ข้าแซ่อู่ อู่จิ้นเหอ ส่วนสหายข้าแซ่ไป๋ ไป๋เลี่ยงจิน”