โรงน้ำชาจิ่วเมิ่ง
ร่างระหงในอาภรณ์สีเหลืองอ่อนเดินเข้ามาในโรงน้ำชาอันดับหนึ่งในเมืองหลวงพร้อมกับนางกำนัลน้อยทั้งสองผู้คนที่นั่งอยู่ต่างจับจ้องสตรีทั้งสามอย่างมิวางตา นางเป็นคุณหนูจวนใดกัน เหตุใดมิเคยเห็นมาก่อนสตรีที่มีใบหน้างดงามเพียงนี้ร่างบอบบางระหงใบหน้าคมทว่าส่วนประกอบบนใบหน้างามกลับหวานละมุนรับกันอย่างพอเหมาะไปหมด แม้กระทั่งสาวใช้ติดตามก็ยังงดงามจิ้มลิ้ม
ร่างบางที่มิได้รับรู้ว่าเกิดสิ่งใดรอบๆกาย เสี่ยวเอ้อร์ที่ได้สติก่อนผู้ใดเมื่อเห็นคนงามมองมาทางตนก็รีบเข้ามาบริการทันที
“มิทราบว่าคุณหนูจองโต๊ะไว้หรือยังขอรับ”
“ยังเลย พอมีโต๊ะที่มองเห็นบรรยากาศดีๆ ว่างอยู่บ้างหรือไม่เสี่ยวเอ้อร์”
“มี มีขอรับเชิญคุณหนูตามข้าน้อยมา”
เสี่ยวเอ้อร์ร่างเล็กท่าทางคล่องแคล่วอายุประมาณ15-16 หนาวเดินนำสตรีทั้งสามขึ้นไปยังชั้นสองที่มีโต๊ะตามที่นางต้องการ
“เชิญขอรับ”
“เอาน้ำชาชั้นดีกับขนมที่ขึ้นชื่อที่สุดมาทุกอย่าง”
เอ่ยกับเสี่ยวเอ้อร์พร้อมส่งยิ้มงดงามให้จนอีกฝ่ายทำสิ่งใดมิถูก
“ขะ ขอรับ”
หลังจากสั่งขนมแล้วจึงหันไปสั่งนางกำนัลทั้งสองให้นั่งรวมโต๊ะ และแน่นอนเหล่าข้ารับใช้ผู้เคร่งครัดของนางมิยินยอม
“พวกเจ้ามานั่งเร็ว”
“มิได้เพคะ บ่าวจะตีเสมอนายมิได้”
“นี่คือคำสั่ง”
เมื่อได้ฟังน้ำเสียงจริงจังจากนางก็นั่งลงอย่างจำใจ
“ข้าสั่งขนมมาตั้งมากมายก็เพื่อให้พวกเจ้าชิม”
“ขอบพระทัยเพคะ”
เพียงไม่นานน้ำชาชั้นดีพร้อมขนมอีกหลากหลายชนิดก็ถูกยกมาวางเต็มโต๊ะร่างบางแย้มยิ้มยินดีราวเด็กๆ โดยมิรู้เลยว่ารอยยิ้มนั้นได้ช่วงชิงหัวใจของผู้ใดไปบ้าง
บุรุษชุดขาว รูปร่างสูงใหญ่กำยำใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยยิ้มทรงเสน่ห์ประดับอยู่ตลอดเวลาราวบุรุษเจ้าสำราญแต่รอยยิ้มสังคมเช่นนั้นมิได้ส่งไปถึงดวงตาคมทรงเสน่ห์ ที่เพียงปรายตามองและส่งยิ้มบางๆเหล่าสตรีก็พร้อมตกหลุมรักใบหน้านั้นเสียแล้ว เขาที่นั่งอยู่โต๊ะตรงข้ามกับสตรีงามนางนั้นเหม่อมองนางอย่างสนใจจนบุรุษรูปงามที่ใบหน้าเรียบนิ่งติดจะเย็นชานั้นเอ่ยถาม
“ดูเจ้าสนใจนาง”
“เจ้าว่านางมิน่าสนใจงั้นรึ”
ใบหน้างามนั้นมิได้สนใจผู้ใดมิสนใจรอบๆ กายเพียงน้อยกิริยาเป็นไปอย่างธรรมชาติไร้จริตมารยานั้นทำให้ในใจเขาสั่นไปหมด
“นางนับว่าเป็นหญิงงาม”
“นี่ข้าหูฝาดไปหรือไม่ อย่างท่านนะหรือเอ่ยชมสตรี”
เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาเย็นชานั้นหัวคิ้วกระตุกน้อยๆ ก็หัวเราะในลำคออย่างพอใจ
ในขณะนั้นเองก็มีบุรุษร่างสูงวางท่าใหญ่โตพร้อมผู้ติดตามอีกสี่คนเดินเข้าไปยังโต๊ะของโฉมสะคราญ เอ่ยน้ำเสียงอ่อนหวานกับสตรีงดงามที่เขาหมายตาตั้งแต่นางเดินเข้ามาแล้ว เขาเองในฐานะบุตรชายสายตรงและยังเป็นว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลต่อจากบิดา ทั้งยังมีอำนาจของฮองเฮาที่เป็นพี่สาวหนุนหลังอยู่ จึงคิดว่าผู้หญิงทุกคนต้องยอมสยบต่ออำนาจและเงินของตนมาโดยตลอด
“ข้า ฝูเฉวียนหยาง แม่นางเจ้าชื่ออะไรรึ”
ใบหน้างามเงยขึ้นมาพร้อมเอ่ยคำที่คนฟังหน้าม้านไปทันที
“ขอบคุณที่คุณชายแนะนำตัว แต่ข้ามิได้อยากรู้จัก”
“นี่เจ้า”
แม้จะโมโหที่ถูกหักหน้าท่ามกลางผู้คนมากมายก็ได้แต่ข่มใจเนื่องจากเขาชื่นชอบใบหน้างามนี้ยิ่งนัก
“แม่นางล้อข้าเล่นแล้ว ข้าคือคุณชายน้อยของตระกูล…”
นางถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ข้ามิได้ล้อเล่นเจ้าค่ะ หากท่านหมดธุระแล้วก็เชิญคุณชายออกไปจากโต๊ะข้าด้วยเถิด”
เสียงหวานเรียบเรื่อยไร้แววเกรงกลัวในอำนาจตระกูลฝู ตระกูลฝูคือผู้ใด นั่นมิใช่ตระกูลฮองเฮาหรอกหรือคุณหนูคนงามช่างน่าเห็นใจนักที่ไปมีเรื่องกับอันธพาลเช่นคุณชายฝูผู้นี้ บุรุษเจ้าสำราญที่หาเรื่องคนไปทั่วแต่ไม่มีผู้ใดกล้าแจ้งทางการมาเอาเรื่องกับเขาเพราะเกรงกลัวในอำนาจของตระกูลเดิมของฮองเฮา
บุรุษชุดขาวที่เห็นเเละได้ยินการสนทนาโดยตลอดได้แต่กลั้นยิ้มจนปวดแก้มไปหมด เขามิเคยเห็นใครที่พูดได้ตรงราวไม้บรรทัดเช่นนี้มาก่อน นับว่าน่าสนใจยิ่งนักขนาดบุรุษหน้านิ่งอีกคนยังถึงกับกระตุกยิ้มมุมปาก
ฝู เฉวียนหยาง ที่ไม่เคยถูกผู้ใดหักหน้าถึงสองครั้งสองคราอย่างนี้ก็ควบคุมอารมณ์มิได้อีก
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ถึงกล้าต่อปากต่อคำกับข้าเล่นตัวนักใช่หรือไม่ หึ”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังมาจากบุรุษอันธพาลทำให้สองนางกำนัลรีบลุกขึ้นมาขวางมือที่กำลังจะเอื้อมมากระชากกายของพระชายาได้ทัน อวี้หลิงใช้น้ำชาร้อนราดลงไปบนมือน่ารังเกียจนั้นอย่างไม่ลังเล
“แก นางบ่าวชั้นต่ำ ไปจัดการนางสองคนนี่ ข้ามอบให้เป็นรางวัล”
ผู้คนในโรงน้ำชาแม้จะสงสารนางแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปช่วย เพาะยังรักตัวเองและตระกูลอยู่ จึงได้เพียงมองอยู่ห่างๆเท่านั้น
เห็นผู้ติดตามร่างใหญ่กำลังจะเข้าไปทำร้ายสตรีบอบบาง ร่างของบุรุษทั้งสองเตรียมจะลุกขึ้นไปแต่ต้องชะงักเมื่อสองในสี่นั้นถูกฝ่าเท้าเล็กๆ ของสตรีปริศนาถีบเต็มแรง
“บุรุษตระกูลฝูถึงขนาดรังแกสตรีไม่มีทางสู้ได้ต่อไปก็หาอาภรณ์สตรีมาสวมใส่เสียเถิด”