ตำหนักหลันเทียน
ร่างบางที่กำลังพับเก็บอาภรณ์ของชินอ๋องที่นำมาซักลงในหีบเพื่ออบร่ำให้กลิ่นหอมซึมลึกลงไปในเนื้อผ้าทิ้งไว้สักวันสองวันก็ใช้ได้นางคิดสูตรน้ำอบนี้ขึ้นมาเองเอาไว้ใช้จนกลายเป็นกลิ่นประจำตัวไปเเล้วนอกจากจะนำมาอบร่ำอาภรณ์ผสมน้ำอาบยังใช้เป็นน้ำหอมพรมตามร่างกายในระหว่างวันได้อีกด้วย
หลังจากนางกำนัลยกหีบอาภรณ์กว่าสามหีบออกไปเก็บแล้วร่างบางจึงหยุดพักจิบชาคลายเหนื่อยสักครู่
“พระชายาเพคะ ยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วทรงรีบไปสรงน้ำเถิดเพคะ ท่านอ๋องคงใกล้เสด็จกลับมาถึงแล้วเพคะ”
“ยามโหย่วแล้วรึ ข้าลืมไปสนิทเร็วเข้า เสี่ยวอวี้รีบไปช่วยข้าเตรียมอาภรณ์ ข้าจะอาบเอง”
“แต่..พระชายาเพคะ”
“ไปเร็ว ไม่มีเวลาแล้วข้าอาบเองได้”
ขืนนางชักช้าอีกไม่รู้ว่าคนผีเข้าผีออกอย่างชินอ๋องจะหาเรื่องใดมากลั่นแกล้งนางอีก
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์อย่างรวดเร็วร่างบางก็พาตัวเองมาถึงตำหนักเฟยเทียนได้เพียงครู่เดียว รถม้าพระที่นั่งของชินอ๋องก็มาจอดเทียบหน้าตำหนักทนางได้แต่แอบถอนหายใจช้าๆ เกือบไปแล้วหากนางช้าอีกเพียงเค่อคงมิทันแน่
ร่างสูงเดินลงมาจากรถม้าสายพระเนตรเหลือบมองร่างบางที่ยืนรอรับเสด็จอยู่
“ถวายพระพรชินอ๋องเพคะ/พะยะค่ะ”
“ลุกขึ้น”
ร่างบางที่ยืนขึ้นหันไปรับถาดน้ำชาที่น้ำชาหอมกรุ่นอยู่เต็มถ้วยชา ยื่นให้แก่ร่างสูงหลังจิบชาหมดพระหัตถ์หนาก็ส่งถ้วยชาคืน ก่อนนางจะยื่นให้นางกำนัลนำไปเก็บ
“ตามเปิ่นหวางมา ส่วนพวกเจ้าไปจัดโต๊ะเสวยได้”
“เพคะ”
ร่างระหงเดินตามร่างสูงเข้ามาในห้องยืนรอรับคำสั่งอยู่เงียบๆ
“นั่งรอในนี้ เปิ่นหวางอาบน้ำครู่เดียว”
ตรัสจบร่างสูงก็เดินหายเข้าไปหลังฉากกั้นทันทีปล่อยให้ร่างบางยืนเคว้งอยู่คนเดียวอย่างแปลกใจ
‘ให้นางมารอพระองค์สรงน้ำ?’
ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ (15 นาที)
“เข้ามาเกล้าผมให้เปิ่นหวาง”
ร่างบางเดินเข้าไปในห้องเห็นร่างสูงนั่งอยู่หน้ากระจกสวมอาภรณ์เรียบร้อยด้วยฉลองพระองค์ลำลองสีฟ้าอ่อนจึงหยิบหวีขึ้นมาสางพระเกศายาวเบาๆ
“เกล้าขึ้นครึ่งเดียวดีหรือไม่เพคะ”
“แล้วแต่เจ้า”
ได้รับคำอนุญาตนางจึงเกล้าเส้นเกศายาวขึ้นเพียงครึ่งเดียวปักด้วยปิ่นหยกเป็นอันเสร็จทนางจึงมองสำรวจความเรียบร้อย พระพักตร์หล่อเหลาที่ติดจะเย็นชานั้น วันนี้ดูอ่อนโยนลงคงเป็นเพราะสีอาภรณ์และเส้นเกศายาวที่ปล่อยสยายลงมาครึ่งหนึ่ง ชินอ๋องนับเป็นบุรุษที่มีรูปเป็นทรัพย์โดยแท้พระพักตร์คมได้รูปจมูกโด่งริมฝีปากหยักนั้นหนาพอดีสีแดงระเรื่อ คิ้วเข้มพาดเฉียงรับพระเนตรคมราวกลับจะมองทุกสิ่งได้ทะลุปรุโปร่งนั้น รวมกับวรกายสูงใหญ่มิแปลกที่เหล่าสตรีจะหมายปอง แต่หากมีสักคนได้มาเห็นนิสัยเอาแต่ใจเช่นนางพบเจออยู่ตอนนี้จะทนได้หรือไม่
“มองพอรึยัง หน้าเปิ่นหวางมีสิ่งใดติดอยู่งั้นรึ”
“เอ่ออ ไม่มีเพคะ หม่อมฉันเพียงคิดว่าผมทรงนี้เหมาะกับพระองค์ดีเพคะ”
มุมโอษฐ์หยักยกยิ้มมุมปากช้าๆ สบตานางผ่านกระจก ก่อนเอ่ยคำที่ทำนางแทบไปไม่เป็น
“หากเจ้าชอบก็ทำให้เปิ่นหวางบ่อยๆ ก็ได้”
“เอ่ออ..เพคะ”
หลังการเสวยที่เงียบเชียบผ่านไปนางก็กลับมายังตำหนักหลันเทียนทันทีส่วนชินอ๋องก็ทรงเข้าห้องอักษรเพื่อทรงงานต่อ ถึงแม้การเสวยร่วมกันคราวนี้จะยังทรงเมินเฉยและไร้การพูดคุยกันเช่นเดิม แต่บรรยากาศนั้นต่างออกไปมิได้รู้สึกอึดอัดหรือกดดันเช่นคราแรก
ร่างบางที่นั่งรับลมอยู่โต๊ะข้างหน้าต่างบานใหญ่คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ว่าจะคิดยังไงนางก็มิเข้าใจพระองค์อยู่ดีบางทีก็เหมือนพระองค์จะดีกับนางอยู่บ้างแต่อีกสักพักก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคนช่างเอาใจยากยิ่ง
จวนตระกูลหลาน
“ท่านอ๋องเสด็จมาหรือไม่”
หลานกุ้ยอิงเอ่ยถามสาวใช้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วมิรู้หลายวันแล้วที่ไม่เสด็จมาหานางทั้งที่พระองค์มิเคยห่างหายไปเช่นนี้สักครั้ง
“เอ่อ…ยังไม่เสด็จมาเลยเจ้าค่ะ”
ใบหน้างดงามเริ่มบึ้งตึงมือเล็กกำแน่น
“เหตุใดมิทรงเสด็จมา นี่ก็สามวันแล้วที่มิเสด็จมา”
“พระองค์อาจจะมีราชกิจเร่งด่วนก็ได้นะเจ้าคะ”
หรวนเหยาหาทางเอ่ยปลอบใจเจ้านาย
“พรุ่งนี้ให้บ่าวนำจดหมายไปมอบให้ท่านอ๋องที่วังเสิ่นหยางกงดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้อง ข้าจะไปเอง”
ในเมื่อพระองค์ไม่เสด็จมานางจะเป็นคนไปหาพระองค์เองอย่างไรนางก็ไปที่นั่นบ่อยครั้งซึ่งพระองค์ก็ทรงอนุญาตให้นางเข้าออกได้ตลอดอยู่แล้ว
ตำหนักเฟยเทียน
ร่างบางที่ตื่นขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เดิมเดินทางมาถึงตั้งแต่ต้นยามเหม่าพร้อมกับเหล่าขันทีที่ยกหีบอาภรณ์ที่นางอบร่ำเข้ามาด้วยร่างสูงที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงกว้างมองหีบใบใหญ่ทั้งสามหีบอย่างสนพระทัย
“หีบอะไร”
“หีบอาภรณ์ของพระองค์เพคะ หม่อมฉันนำไปซักอบร่ำให้เพคะ”
ทรงทอดพระเนตรมองร่างบางที่จัดเตรียมอาภรณ์ให้พระองค์อย่างตั้งใจก็แย้มสรวลออกมาเบาๆ ทรงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาจากอาภรณ์ในหีบนั้นจึงเอ่ยถามนาง
“กลิ่นเดียวกันกับที่ใช้ผสมน้ำใช่หรือไม่”
“เพคะ”
“อืม ดี”
ทรงพยักหน้าอย่างพอพระทัยยามได้กลิ่นนี้ราวกับว่านางอยู่ใกล้พระองค์ตลอดกระนั้นได้แต่ส่ายศรีษะให้กับความคิดของตนเอง
หลังจากสรงน้ำเสร็จโดยที่วันนี้มิทรงได้กลั่นแกล้งนางแล้วจึงทำให้นางลดการระวังตัวและผ่อนคลายลงมาก
“วันนี้เกล้าครึ่งเดียวพอเปิ่นหวางมิได้เข้าวัง”
“เพคะ”
“เจ้าอยากออกไปไหนหรือไม่”
“หม่อมฉันอยากกลับจวนเพคะ”
“เช่นนั้นยามอู่ (11.00-12.59) เปิ่นหวางจะพาไป”
“ขอบพระทัยเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันไปเตรียมสำรับเช้าให้พระองค์ก่อนนะเพคะ”
ใบหน้างามนั้นแย้มยิ้มเต็มใบหน้าอย่างดีใจทรงทอดมองรอยยิ้มงามนั้นนิ่ง พระทัยเต้นแรงแปลกๆ
“อืม”