จนกระทั่งเสียงฝีเท้าหายไปแล้ว เฟิ่ง เหย่เก้อ จึงลดศีรษะลงและเปิดหน้าหนังสืออย่างเฉื่อยชา
“ออกมา”
แล้วจู่ๆ ก็มีรูปร่างปรากฏในทันที ในชุดสีดำปักทอง
ดวงตาดอกท้อของเขาเปิดกว้างเป็นประกายสดใสขึ้น “เจ้า การรับรู้ของเจ้าสูงมาก เจ้าถึงขนาดรู้ถึงการมีตัวตนของข้า แต่เจ้าบาดเจ็บได้อย่างไร? ”
น้ำเสียงล้อเลียนของเขาได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็วโดยการเหลือบมองจากเฟิ่ง เหย่เก้อ
หลี่ หยวน รีบหุบปากและแกล้งทำเป็นไอขึ้น “อย่าเย็นชานัก ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นข้าจึงหยุดธุระของข้าและมาดูเจ้าในทันที เมื่อข้าเห็นว่าเจ้าสบายดี ข้าก็รู้สึกซาบซึ้งมาก “
“เจ้ามาที่นี่เพื่อดูว่าข้าตายหรือยังใช่ไหม?”
“….. เจ้าต้องพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้เลยหรือ?” หลี่ หยวนถึงกับสำลัก
เขาถูจมูกของเขาด้วยความรู้สึกอาย ๆ ก่อนจะนั่งลงไปบนม้านั่งยาวที่อยู่ใกล้ ๆ
ดวงตาดอกของเขาเหลือบมองไปและตกลงไปบนผ้าพันแผลที่มีปมผีเสื้อบนแขนของเฟิ่ง เหย่เก้อ
จู่ๆ เขาก็ตัวสั่นขึ้น
“เจ้าช่างมีรสนิยมที่ผิดเพี้ยน มันทำให้แผ่นหลังของข้าเต็มไปด้วยความเย็นจากหวาดกลัว”
“ทำไมถึงเย็นและทำไมต้องหวาดกลัว? “เฟิ่ง เหย่เก้อค่อยๆปิดหนังสือของเขาลง ดวงตาที่เยือกเย็นของเขาหันไปหาหลี่หยวนซึ่งทำให้เขาสั่นขึ้นอีกครั้ง
“เอาล่ะๆ! ข้าผิดไปแล้ว? ตกลงไหม แต่ใครเป็นคนที่พยายามจะฆ่าเจ้า ช่างกล้าหาญจริงๆ”
“เขาไม่ต้องการที่จะฆ่าข้า เขาแค่อยากจะเข้าไปถึงชิงอู๋ เขาก็แค่อยากจะเตือนข้า” ดวงตาของเฟิ่ง เหย่เก้อ ดูเยือกเย็นและไร้ความปราณี
“มัน …. เป็นเขาหรือ?” หลี่หยวนพูดออกมาทันที “แต่เขา รู้ได้อย่างไรว่าเจ้า … “
“ในแคว้นตงอวี้ทั้งแคว้นนี้มีอะไรบ้างที่เขาไม่รู้?”
“แล้วเช่นนั้น เจ้ากำลังเตรียมพร้อมอยู่หรือไม่?” การแสดงออกของเฟิ่ง เหย่เก้อเยือกเย็นเกินไป จู่ๆ หลี่ หยวนก็รู้สึกไม่ดีขึ้น
“ตัดหัวขององครักษ์เงาที่มาที่นี่และส่งพวกมันกลับไปให้เขา”
“นี่จะไม่ทำให้เขาโกรธมากขึ้นไปอีกหรือ?”
“โกรธหรือ?” ดวงตาของเฟิ่ง เหย่เก้อ หรี่ลงเล็กน้อยและมีแสงที่เยือกเย็นกระพริบอยู่ข้างใน “ถ้าเขาจะมีเวลามาโกรธนะ”
เขากล้าที่จะพยายามเข้าหาคนของเขาและต้องการจะหลบหลีออกไปอย่างสบายตัวอย่างนั้นหรือ?
เช่นนั้นเขาก็คงกำลังฝันไปแน่นอน
เมื่อโหลว ชิงอู๋ กลับมาที่เรือนลมเอนเอียงแล้ว หลานป๋ายและพันหน้าก็เข้ามาทักทายนางทันที
“นายท่าน ข้าได้ยินคนจากที่จวนบอกว่าท่านรวมถึงท่านอ๋องรัตติกาลได้พบกับการมือลอบสังหาร ในขณะที่พวกท่านกำลังล่าสัตว์ แล้วท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ? “หลานป๋ายถามขึ้นอย่างกังวล นางเกือบจะวิ่งไปที่จวนของท่านอ๋องรัตติกาล ทันทีที่นางได้รับข่าว
โชคดีที่พันหน้าหยุดนางเอาไว้
มิฉะนั้นถ้านางผลีผลามวิ่งออกไป นางอาจจะทำให้เจ้านายของนางประสบปัญหามากขึ้นเท่านั้น
“ข้าสบายดี แต่ท่านอ๋องรัตติกาลได้รับบาดเจ็บ “
“อ่า? พวกเขารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนทำเจ้าค่ะ? “หลานป๋ายถึงกับตกตะลึง ใครมีความกล้าถึงขนาดส่งมือสังหารมาลอบสังหารท่านอ๋องรัตติกาล?
“ข้ายังไม่รู้ แต่” ดวงตาของโหลว ชิงอู๋ค่อยๆหรี่ลงอย่างอันตราย “ไม่ใช่คนของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง พันหน้าไปตรวจสอบและดูว่าเจ้าสามารถหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังมันได้หรือไม่”
“ผู้ใต้บัญชาจะรีบไปทันทีขอรับ”
“อืม แล้วหนอนวูดูอยู่ที่ไหน?” ด้วยฝีมือระดับสูงที่นักฆ่าแสดงออก พวกเขาไม่สามารถเป็นคนของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ได้
แม้ว่าคนที่เขาฝึกจะไม่ได้อ่อนแอ แต่อย่างใดก็ตาม พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับที่จะทำร้ายเฟิ่ง เหย่เก้อได้
คนที่มาตอนกลางวันไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
นางกังวลว่าแม้ว่าพันหน้าจะสืบสวนเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถหาอะไรได้
พันหน้าหยิบโถเครื่องปั้นดินเผาสีดำเข้มที่ดูน่ากลัวออกมา
มันหนักมากที่จะถือเอาไว้และบางครั้งมีเสียงบางอย่างชนไปที่โถ
มันทำให้เสียงขึ้นเล็กน้อยและเสียงก็ทำให้คนรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง
โหลว ชิงอู๋ เอาโถมาและสังเกตเห็นตราประทับที่อยู่ด้านบน
ด้านบนมีหมึกสีแดงเลือดที่เขียนด้วยภาษาสันสกฤตเอาไว้ : หนอนวูดูไม่สามารถรักษาได้
คำสามสุดท้ายทำให้โหลว ชิงอู๋ ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนที่จะวางมันลงบนโต๊ะและมองออกไปทางอื่น
“นายท่าน พวกเราจะทำอย่างไรกับหนอนวูดูพวกนี้?”
“แยกหนอนลูกและหนอนแม่ออกจากกัน จนกว่าเราจะรู้ว่าหยวนเฉิน ใสหนอนตัวไหนไว้ในร่างของนางฮูหยินเก้า จากนั้นเราจะสับเปลี่ยนมัน “