“พี่ชาย น้องชิงอู๋!” เสียงของเหย่ จี้ ดังขึ้นจากด้านหลัง
โหลว ชิงอู๋ หันไปทางด้านข้างและเห็นรถม้ากำลังหยุดลงช้าๆ
ครึ่งหนึ่งของร่างกายของเหย่ จี้ ยื่นออกจากหน้าต่าง ในขณะที่นางยกผ้าม่านที่มีอัญมณีสีฟ้าห้อยลงมาขึ้น
สีฟ้าจากอัญมณีส่องกระทบสีผิวของนาง ทำให้มันดูงดงามและเปล่งปลั่งมากยิ่งขึ้น
นางโบกมือ ในขณะที่นางถอดผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นความงดงามที่ดูแปลกตาและมีชีวิตชีวา
เมื่อนางมาถึงตรงที่โหลว ชิงอู๋และเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง อยู่นางก็กระโดดลงจากรถม้าและในเวลาเดียวกันก็ยกม่านที่อยู่ด้านหลังของนางขึ้นด้วย
“น้องชิงอู๋ พี่ชายเหย่ก็มาด้วยเช่นกัน”
ผ้าม่านเปิดกว้างขึ้นและเผยให้เห็นเฟิ่ง เหย่เก้อที่อยู่ในชุดสีดำปักทองของเขา
หน้าตาหล่อเหลาและเย็นชาของเขาเหมือนน้ำแข็งในขณะที่เขายกหัวคิ้วขึ้น
ด้วยเหตุผลบางอย่างมันยากที่จะมองออกไปจากใบหน้าของเขาได้
เมื่อเขาเห็น โหลว ชิงอู๋ และเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ริมฝีปากบาง ๆ ของเขาก็โค้งขึ้น
“แม่นางโหลว”
จากนั้นดวงตาของเขาก็ขยับช้าๆไปที่เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่งแข็งค้างไปชั่วครู่ ก่อนที่จะยิ้มขึ้น “ท่านอ๋องรัตติกาล”
“…. ท่านอ๋องรัตติกาล” จู่ ๆโหลว ชิงอู๋ ก็รู้สึกเหมือนกับว่าวิธีการที่พวกเขายืนอยู่ด้วยกันกำลังจู่โจมด้วยอะไรบางอย่าง
นางลดสายตาลง แต่ใบหน้าของนางยังคงสงบนิ่ง แต่ระลอกคลื่นในหัวใจของนางกำลังถูกนางพยายามระงับเอาไว้
เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง การแสดงออกของนางก็อบอุ่นและน่าหลงใหล บริสุทธิ์และเป็นธรรมชาติ
ดวงตาของเฟิ่ง เหย่เก้อ หรี่ลงเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
“น้องชิงอู๋ ขึ้นมาเร็วเข้า ไปล่าสัตว์และขี่ม้าด้วยกัน ข้าได้ยินมาว่าบริเวณล่าสัตว์เพิ่งจะมีกลุ่มกวางตัวใหญ่ผ่านมา “
“ไม่จำเป็น” โหลว ชิงอู๋ ปฏิเสธนางขึ้นทันที
เหย่ จี้ถึงกับมองกระพริบตาขึ้น ก่อนจะมองนางอย่างตกตะลึง
“แล้วเช่นนั้น น้องชิงอู๋ อยากจะนั่งกับพี่ชายบนม้าตัวเดียวกันอย่างนั้นหรือ” ใครจะรู้ว่าสาว ๆ จากเมืองหลวงจะกล้าหาญและกล้าได้กล้าเสียเช่นนี้
ดวงตาหงส์ของเฟิ่ง เหย่เก้อเป็นประกายเยือกเย็นขึ้นทันที
“แม่นางเหย่คงจะกำลังล้อข้าเล่น แน่นอนว่ามันไม่ใช่” หัวคิ้วของโหลว ชิงอู๋ขมวดขึ้น ก่อนจะหันไปหาพ่อบ้านหลิวและพยักหน้าให้เขา
คนใช้ของจวนตระกูลโหลว จึงได้รีบพาม้าออกทันทีพร้อมกับความผิดหวังของเหย่ จี้
นางมุ่งหน้าไปทางรถม้าที่อยู่ข้างหลังของนางและเนื่องจากการเคลื่อนไหวของนางกระดิ่งก็ดังขึ้น
โหลว ชิงอู๋ ไม่สนใจนาง ในขณะที่นางคว้าบังเหียนมาและกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าด้วยการเคลื่อนไหวที่งดงาม
ความชื่นชมของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่งที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่เขามอง โหลว ชิงอู๋ ด้วยดวงตาที่ลึกซึ้งมากขึ้น
เหย่ จี้ เองก็รู้สึกทึ่ง ก่อนจะหันไปมองเฟิ่ง เหย่เก้อ
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เคยเฝ้าดูโหลว ชิงอู๋ มุมปากของนางโค้งขึ้น ไปด้านข้าง ก่อนจะพูดขึ้น “น้องชิงอู๋มีฝีมือไม่น้อย ข้ารู้สึกอิจฉาเจ้าเพราะข้าขี่ม้าไม่เป็น”
โหลว ชิงอู๋ ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร
อยู่ไม่ไกลจากตระกูลเหย่ไป๋ มีชนเผ่าหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ด้วยการค้าพันธุ์ม้ามานับรุ่นต่อรุ่น
แล้วนางจะไม่รู้ว่าวิธีที่จะขี่ม้าได้อย่างไร?
ขาของนางกดลงไปกับท้องของม้า ในขณะที่นางเอนไปข้างหน้าเพื่อขี่ม้าของนางออกไป
ดวงอาทิตย์ที่สดใสอยู่สูงเหนือศีรษะ แต่ความว่างเปล่าในหัวใจของนางกลับกระจายไปทั่วทั้งแขนและขา
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ก็กระโดดขึ้นไปบนหลังม้าและตามนางไป
เหย่ จี้ ไม่ได้สนใจ ในขณะที่นางขึ้นไปบนรถม้าและเข้าไปด้านในเพื่อยั่วยวนเฟิ่ง เหย่เก้อต่อ
“พี่ชายเหย่ เมื่อพวกเราไปถึงค่ายทหาร ท่านต้องสอนวิธีขี่ม้าให้กับข้ารู้ไหม”
“….. “เฟิ่ง เหย่เก้อเพียงแค่พลิกหน้าหนังสือที่เขาอ่าน ไม่ได้พยักหน้าหรือส่ายหัว
“อา! เช่นนั้นข้าจะถือว่าพี่ชายเหย่ตกลง! ฮาฮ่าๆ พี่ชายเหย่ใจดีที่สุด! “
“…..”
จากทางด้านหลัง พวกเขาสามารถได้ยินเสียงหัวเราะที่น่ารักและมีเสน่ห์ของเหย่ จี้ จากในรถม้า
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง หันมากลับไปมองและช่วยไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น “เด็กคนนั้นเมื่ออยู่กับท่านอ๋องรัตติกาลก็กลายเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต้ เจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจ “
“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” ดวงตาของโหลว ชิงอู๋ ก็ยังคงมองไปทางด้านหน้าพวกเขา ทั้งสองคนไม่ได้ขี่ม้าเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป
“จริงๆแล้วข้าเองก็อยากรู้ว่าเจ้าไปฝึกขี่ม้ามาตั้งเเต่เมื่อชิงอู๋?”