บทที่ 497 เมฆดำสะกดเซียนเซียนเดือดดาล (2)
……….
มองลงมาจากท้องฟ้า จะเห็นได้ว่าการแผ่ขยายเช่นนี้ก่อตัวขึ้นเป็นคลื่นสีเลือดทีละระลอก ขณะที่ย้อมทุกสิ่งเป็นสีแดง ฉับพลันแม่น้ำเลือดเนื้อไร้ที่สิ้นสุดก็ไหลย้อนกลับอย่างบ้าคลั่งจากการสูดรับอย่างตื่นเต้นของชิงฉิน พุ่งเข้าปากอันใหญ่โตของหัวทั้งสาม
เพียงพริบตาก็ถูกมันกลืนกินราวกับดื่มข้าวต้ม เพียงแค่เคี้ยวไม่กี่คำก็กลืนลงไป
น่าขนพองสยองเกล้า
หัวหน้าเผ่าทั้งสี่คนนั้นหนังหัวแทบจะระเบิดออกมาแล้ว แต่ละคนกระอักเลือดออกมาขณะที่พรั่นพรึง ต่างถูกพายุคลั่งนี้เล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส
สองคนในนี้บาดเจ็บสาหัสยิ่ง หนีช้าเกินไป เมื่อเบื้องหน้าลายตา ข้างหน้าของแต่ละคนก็ปรากฏจะงอยปากมโหฬารที่กำลังอ้าค้าง กลืนลงไป
เสียงร้องแหลมดังออกมา หลังจากเสียงเคี้ยวไม่กี่ที ก็เงียบไป
ราวกับว่าสำหรับชิงฉินแล้ว สองคนนี้ราวกับถั่วลิสง มีรสชาติกว่าข้าวต้ม
ภาพนี้ทำให้คนของเผ่ากระจายวิญญาณพรั่นพรึงถึงขีดสุดในพริบตา ส่วนผู้อาวุโสสองคนที่โชคดียังไม่ตายก็หน้าถอดสี ความพรั่นพรึงและความหวาดกลัวปกคลุมไปทั้งจิตใจ หนีตายอย่างบ้าคลั่ง
ดวงตาบรรพจารย์กระจายวิญญาณท่านนั้นก็เผยความตกตะลึงโกรธแค้น ร่างแปดพันจั้ง สาวเท้ามาหาชิงฉิน คิดจะสกัด
และหลังจากกินอาหารเลือดไป ชิงฉินก็ตื่นเต้นขึ้นอีกอย่างชัดเจน ดวงตาของหัวทั้งสามแดงก่ำไปหมด ขนที่รกรุงรังบนร่างก็ล้วนปลิวพลิ้ว เมื่อโหมลมคลั่ง ก็อ้าปากใหญ่ทั้งสามพร้อมกัน เงยหน้าส่งเสียงร้องฮึกเหิมออกมา
แกว๊กๆๆ!
ขณะที่แผดเสียงร้อง มันไม่สนใจบรรพจารย์กระจายวิญญาณที่พุ่งมา แต่บินหลบไปอย่างรวดเร็ว กรงเล็บขนาดยักษ์ทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วบนพื้น ทุกครั้งที่ย่ำเท้าลง ทุกจุดที่เยื้องย่างส่งเสียงครืนครัน ต่อให้เหยียบลงไปบนยอดเขาก็ยังเป็นเช่นนี้
ภูเขาถล่มลงมา หลอมรวมกับพื้นดินจากเท้าของชิงฉิน
สวี่ชิงก็ถอยหลังอย่างรวดเร็วจากการเคลื่อนตัวไปด้านหน้า ผละออกมาจากหัวของมัน ยืนอยู่ที่ตัวของชิงฉิน
เพราะหัวทั้งสามของชิงฉินรวดเร็วเกินไป ขณะที่โน้มลงไปอย่างรวดเร็วก็ดั่งแม่ไก่จิกเหยื่อ จะงอยปากจิกเผ่ากระจายวิญญาณที่ร้องโหยหวนบนพื้นทีละคน
สำหรับชิงฉิน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอาหาร
“ผู้อาวุโส หากมีวังสวรรค์ สะดวกเหลือไว้ให้ข้าหน่อยได้หรือไม่? เอ่อ…แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรขอรับ” สวี่ชิงใจเต้น เอ่ยอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อเขาพูดออกไป ความโหดเหี้ยมของชิงฉินก็โหมขึ้น ขนนกบนตัวทั้งหมดลุกชูชัน ราวกับคำพูดของสวี่ชิงทำให้มันรู้สึกหวงอาหารขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
แต่ไม่นาน มันก็เก็บความเหี้ยมโหดกลับไป หลังจากนึกถึงตอนที่เจอกับพี่ใหญ่ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเมื่อครั้งนั้น อีกฝ่ายเสี้ยมสอนหลายครั้งว่าอย่ากินคนเดียว จึงร้องแกว๊กขึ้นมา เมื่อสะบัด ก็เลือกเผ่ากระจายวิญญาณระดับแก่นลมปราณหนึ่งวันสวรรค์ที่กำลังหายใจรวยรินให้สวี่ชิง
ส่วนพวกวังสวรรค์ระดับสูงรวมถึงปราณก่อกำเนิด มันกังวลว่าจะหนีไป จึงกลืนทั้งหมดลงไปในคำเดียว
มือขวาพรางมารยาของสวี่ชิง พริบตาก็ทะลวงเข้าไปในร่างกายของเผ่ากระจายวิญญาณ กระชากวังสวรรค์ออกมาสูดรับ
เขามองออกว่าชิงฉินไม่อยากแบ่งให้…
และตัวตนเช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงเจรจาหารือเท่านั้น ไม่อาจเข้าไปควบคุม ทว่าสวี่ชิงก็ไม่คิดจะควบคุมอยู่แล้ว ตอนนี้จึงนั่งขัดสมาธิ ยอมให้ชิงฉินกลืนกินเผ่ากระจายวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง
แต่ไม่นาน บรรพจารย์กระจายวิญญาณคนนั้นก็ไล่ตามมา ขณะที่โกรธจัดก็ซัดหมัดใส่ชิงฉิน
เขารู้ว่าตนห่างชั้นกับอีกฝ่าย ขณะที่ลงมือ เขาชี้แจ้งวิญญาณทั้งหมดก็สั่นไหว วิชาเวทย์หลายสายพุ่งขึ้นมารวมกันกลางอากาศจนกลายเป็นค้อนขนาดหมื่นจั้ง
นี่คือของวิเศษเวทต้องห้ามของเผ่าพวกเขา ด้วยการปะทุขึ้นเวลานี้ก็ฟาดมาทางชิงฉินอย่างแรง
ชิงฉินดวงตาเผยความดุร้าย เชิดหัวทางขวาขึ้นพลัน โหม่งกระหม่อมไปยังค้อนที่ฟาดลงมาอย่างแรง
เสียงโครมดังสนั่น ค้อนหมื่นจั้งของวิเศษเวทต้องห้ามชิ้นนี้ก็ม้วนกลับไป ส่วนชิงฉิน หัวของมันสั่นไหวเล็กน้อย ไม่เจ็บไม่คันเลยสักนิด
แต่เหมือนว่าค้อนนี้ทำให้จิตสังหารของมันปะทุขึ้น ดวงตาของมันเผยความกระหายเลือดบ้าคลั่ง เปล่งเสียงแหลมเสียดหู คอยืดอย่างรวดเร็ว
ส่วนหัวทางด้านซ้าย เวลานี้ก็วูบไหว ขณะที่บรรพจารย์กระจายวิญญาณลงมือ ก็พุ่งไปปะทะ
เสียงครืนครันจนหูแทบดับ ร่างของบรรพจารย์กระจายวิญญาณก็ทานรับหัวของชิงฉินไม่ไหว ถูกชนกระเด็นไปจนกระอักเลือด ถอยกลับโซซัดโซเซ
แต่เหมือนหัวซ้ายก็ถูกกระตุ้นจิตสังหารออกมาเช่นกัน ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว คุ้มคลั่งขึ้นมา ชนกลับบ้าง ฉีกทึ้งบ้าง อ้าปากพ่นพลังวิเศษที่น่ากลัวออกไปบ้าง
การปะทะกันของทั้งสองฝ่ายก่อเกิดลมฝนสายอัสนี ส่งผลกระทบกับสภาพอากาศรอบด้าน ทำให้ฟ้าดินบิดเบี้ยวและขมุกขมัวมหาศาล
นี่ใกล้เคียงกับเทพเจ้าแล้ว
นั่นเป็นสภาวะที่ใช้วิถีสวรรค์ของตนสลับกับวิถีสวรรค์ภายนอก
มีเพียงหัวที่อยู่ตรงกลาง ไม่สนใจอะไรเลย ดวงตาเผยแววละโมบ ยืดลำคอ ขณะที่กำลังกลืนกินเผ่ากระจายวิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นอย่างต่อเนื่องทีละคน กินอย่างมีความสุข ขนนกแหลมคมบนตัวก็ตวัดเป็นริ้วๆ อย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงมองทั้งหมดนี้ เขาก็ไม่ใช่แม่พระ ย่อมไม่มีการเห็นอกเห็นใจเผ่ากระจายวิญญาณ ทว่าผ่านการสังหารของชิงฉินตอนนี้ เขาก็เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าสัตว์ปีกดุร้ายมากขึ้นแล้ว
เขาสัมผัสได้ว่าชิงฉินยิ่งกินก็ยิ่งคุ้มคลั่ง จิตสังหารปะทุขึ้นไม่หยุด กระทั่งแทบจะสะกดสติปัญญาของมันไปแล้ว
ขณะที่พื้นดินสั่นสะเทือนเวลานี้ จากการที่วิชาเวทโหมขึ้น เตาหลอมลูกกลอนขนาดยักษ์ที่คลุมเขาชี้แจ้งวิญญาณได้ทั้งหมดใบหนึ่งก็เลือนราง
นี่ก็เป็นของวิเศษเวทต้องห้ามเผ่ากระจายวิญญาณเช่นกัน เป็นหวนสู่อนัตตาที่ตายไปของเผ่า ใช้ร่างกายหลอมขึ้นมา
มองไกลๆ เตาหลอมลูกกลอนนี้ใหญ่โตมโหฬาร ภูเขาไฟแต่ละแห่งบริเวณนั้นก็ระเบิดขึ้น ขณะเดียวกันก็แผ่ความร้อนระอุไปนับแสนลี้ ทำการหลอมในเตาหลอมนี้
เห็นเช่นนี้ ดวงตาหัวกลางของชิงฉินก็ฉายแววเย้ยหยัน สั่นไปทั้งร่าง แสงสีม่วงแดงสายหนึ่งเจิดจ้าออกมาจากตัวชิงฉินฉับพลัน
สวี่ชิงที่อยู่บนร่างของชิงฉิน แสงนี้หลีกเลี่ยงตัวเขาแผ่ออกไปทางด้านบนลามไปรอบด้านไม่หยุด แสงสีม่วงแดงพลันกวาดไปอย่างรุนแรงจากการแผดเสียงร้องเสียดหูดังก้องของหัวกลางชิงฉิน
เสียงวูมดังขึ้น ทุกจุดที่แสงสีม่วงแดงพาดผ่าน หินภูเขาสลายหาย คนของเผ่ากระจายวิญญาณแก่ชราลงทันทีราวกับถูกลดพลังชีวิต และเตาหลอมยักษ์นั่นก็สั่นไหวในพริบตานี้
เมื่อเห็นว่าเตาหลอมต้านทานแสงเทพดวงชีพของตนได้ ชิงฉินก็โมโห กวาดไปอีกครั้ง
เตาหลอมไม่อาจต้านทานได้อีกระเบิดพังทลายกลายเป็นแสงสีม่วงแดงทันที กระทั่งค้อนบนท้องฟ้าก็แตกสลายไปอีกครั้งเช่นกัน บรรพจารย์เผ่ากระจายวิญญาณส่งเสียงโศกเศร้าอย่างสิ้นหวังออกมา
“นี่มันคือแสงเทพดวงชีพที่มีเพียงในสัตว์ปีกประเภทเทพเท่านั้น เจ้าถึงกับปลุกสายเลือดก่อแสงเทพขึ้นมาเลยหรือ!”
ดวงตาชิงฉินเปล่งประกายโหดเหี้ยม เหมือนว่าการปรากฏขึ้นของแสงเทพ ทำให้มันเริ่มขาดสติสัมปชัญญะอีกครั้ง กระทั่งสวี่ชิงทางนี้ยังสัมผัสได้ถึงวิกฤต เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบสำแดงวิหคทองของตนออกมา
ขณะเดียวกันวังสวรรค์ในร่างก็พลันเปล่งแสง แสงอาทิตย์อัสดงปกคลุมบนตัววิหคทองและตน กวาดออกไปทันทีเช่นกัน
แม้เทียบกับแสงเทพแล้วจะยังไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง แต่เมื่อดูแล้วก็มีความคล้ายคลึงอย่างมาก
จากการที่แสงอาทิตย์อัสดงเจ็ดสีแผ่ซ่าน จู่ๆ หัวกลางของชิงฉินก็มองมาทางสวี่ชิง ดวงตาฉายแววยินดีออกมา และยิ่งสนิทชิดเชื้อขึ้นไปอีก เริ่มได้สติสัมปชัญญะกลับมาบางส่วนจากความคุ้นเคยนี้
“แกว๊ก!”
ชิงฉินร้องอย่างดีใจ ขนนกบนแผ่นหลังชี้ขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากปกป้องสวี่ชิงไว้ด้านใน จิตสังหารของหัวทั้งสามก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง จ้องไปที่บรรพจารย์เผ่ากระจายวิญญาณเขม็ง
ราวกับว่ากินขนมขบเคี้ยวไปพอสมควรแล้ว ได้เวลากินมื้อหลักเสียที
แต่ตอนนี้เอง จู่ๆ หัวทั้งสามของชิงฉินก็เงยขึ้น มองไปทางฟากฟ้าไกลๆ บรรพจารย์กระจายวิญญาณคนนั้นก็ถอยอย่างรวดเร็วเช่นกัน คารวะไปทางท้องฟ้าด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ขณะที่คารวะนี้ ท้องฟ้าลั่นครืนครัน แยกออกเป็นรอยแตกขนาดยักษ์ และในรอยแตกนี้ ก็มีร่างเงาขนาดยักษ์สามร่างอยู่
ร่างเงาทั้งสามนี้ ด้านหลังของทุกร่างก่อตัวเป็นเงาหมื่นจั้ง พวกเขาเป็นสองชายหนึ่งหญิง สวมชุดนักพรตสีขาว ร่างทั้งร่างขาวดุจหิมะ คิ้วกับเส้นผมล้วนเป็นสีขาว ด้านหลังก็เป็นปีกสีขาวเช่นกัน
ส่วนหน้าตาก็ล้วนงดงาม
เผ่าเคียงเซียนนั่นเอง
และกลิ่นอายก็ไม่ได้แตกต่างกับชิงฉินมากนัก
หลังจากปรากฏตัว หญิงสาวคนนั้นที่อยู่ตรงกลาง ก็กวาดตามองชิงฉินอย่างเย็นชา เอ่ยเสียงเย็นเยียบ
“ชิงฉิน ไยต้องมากลืนกินเผ่าที่พึ่งพาข้าอยู่!!”
หลังจากที่ชิงฉินกวาดตามองทั้งสามคนนี้ มันก็กางปีก เผยตัวสวี่ชิง
สวี่ชิงเดินออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เดินมาตามลำคอของชิงฉินจนอยู่บนหัวขวาของมัน เงยหน้ามองไปบนฟ้า
เขาตอนนี้ ถูกแสงเทพของชิงฉินปกคลุม สะกัดกั้นพลังอำนาจที่มาจากท้องฟ้าให้เขา
การปรากฏตัวของเขา จริงๆ ควรจะดึงดูดสายตา แต่ทั้งสามคนบนท้องฟ้าไม่แม้แต่จะมอง ราวกับในสายตาพวกเขา สวี่ชิงเป็นแค่มดปลวก ไม่คู่ควรกับสายตาของพวกเขา
“ชิงฉิน เรื่องนี้พวกเข้าจะไม่ซักไซ้ ถ้าเจ้ากินเสร็จแล้วก็จงออกไปทันที” หญิงสาวเผ่าเคียงเซียนตรงกลางบนท้องฟ้า มองหัวตรงกลางของชิงฉิน เอ่ยเสียงเย็นเยียบ
หัวตรงกลางกับหัวทางซ้ายของชิงฉินไม่สนใจ เวลานี้กำลังพัวพัน ต่างจัดขนบนคอให้กัน มีเพียงหัวขวาที่เชิดขึ้น ดึงดูดความสนใจอย่างมาก
อยู่ในท่าทีที่พวกเจ้าคุยกันไป ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกข้า
ภาพนี้ ทำให้เผ่าเคียงเซียนทั้งสามต้องกวาดตามองสวี่ชิง แต่ก็ไม่ได้มองตรงๆ นัก
หญิงตรงกลางคนนั้น ล้วงแผ่นหยกชิ้นหนึ่งแล้วส่งจิตเทพออกมา
“ปลัดเขตปกครองผนึกสมุทร วังครองกระบี่เผ่ามนุษย์ของเจ้าโจมตีเผ่าของข้า ทำลายพันธสัญญาพันธมิตรแปดร้อยปี เผ่าเคียงเซียนของข้าจะไม่ทำตามเงื่อนไขของเจ้าวังครองกระบี่ของเจ้าที่ให้ปิดเผ่าไม่ออกสู่ภายนอกอีกต่อไป จะปลดกำแพงแล้วออกไปทันที
“เรื่องนี้เป็นความผิดของเผ่ามนุษย์ของเจ้า ไม่ใช่ของเผ่าข้า ไม่เพียงแต่เจ้าต้องให้คำอธิบายกับเผ่าข้า ส่งตัวผู้ร้ายมา แต่ยังต้องให้เจ้าวังครองกระบี่ของเจ้า อธิบายกับเผ่าข้าทันทีด้วย!”
จากจิตเทพที่สะท้อนก้องของหญิงสาวเผ่าเคียงเซียนคนนี้ ฟ้าดินก็เปลี่ยนสี แผ่นหยกสื่อเสียงของสวี่ชิงสั่นสะเทือนขึ้นมา
สวี่ชิงไม่สนใจ ระหว่างทางที่มาเขาคิดเอาไว้ทั้งหมดแล้ว เอ่ยราบเรียบ
“ข้าให้คำอธิบายกับเจ้าได้
“ไม่รู้ว่าหากปล่อยเทพเจ้าที่ถูกขังไว้ในกรมราชทัณฑ์ออกมา เพียงพอจะอธิบายได้หรือไม่
“เมืองหลวงเขตปกครองเผ่ามนุษย์ มีพลังที่สร้างขึ้นจากของวิเศษต้องห้ามนับไม่ถ้วนของเขตปกครองผนึกสมุทรคุ้มกันอยู่ หากคิดจะทำลายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแต่คนธรรมดา กินแล้วไม่มีรสชาติ
“ส่วนดินแดนเผ่าเคียงเซียนของเจ้าที่อยู่ข้างๆ ในนี้มีผู้แข็งแกร่งอยู่มากมาย สำหรับความหิวโหยของเทพเจ้าแล้ว น่าจะเลิศรสยิ่งกว่า
เมื่อสวี่ชิงพูดออกไป เผ่าเคียงเซียนทั้งสามคนบนท้องฟ้าก็สีหน้าเคร่งขรึม ผู้บำเพ็ญด้านซ้าย แค่นเสียงเย็นชา
“บังอาจนัก!”
จากเสียงตะคอกสะท้อนก้องดุจสายอัสนี หญิงสาวเผ่าเคียงเซียนตรงกลางก็มองมาที่สวี่ชิงอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก
“น่าสนใจ พลังบำเพ็ญแค่นี้ คิดไม่ถึงว่าจะกล้ามาเอ่ยปากกำเริบเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรออกมา!”
“ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว” สายตาของสวี่ชิงเผยความคุ้มคลั่งออกมาทันที
“ข้ายังรู้อีกด้วยว่าสนามรบฝั่งตะวันตกและทางเหนือขาดแคลนทรัพยากรอย่างยิ่ง ทุกวินาทีมีการบาดเจ็บล้มตายมหาศาล แนวหน้าพร้อมแตกพ่ายได้ตลอดเวลา ทั้งเขตปกครองผนึกสมุทรอยู่ในช่วงวิกฤต หากไม่มีการมอบทรัพยากร การที่กองทัพใหญ่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์จะทะลวงแนวหน้าเข้ามาจะเกิดขึ้นแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ายังจะมีอะไรที่ไม่กล้าได้อีก
“แนวหน้าสูญเสียการป้องกัน ภายใต้การรุกรานเข้ามาของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ หากเผ่ามนุษย์ไม่ถูกทำลายล้างก็คงกลายเป็นทาสรับใช้เยี่ยงหมูหมา ในเมื่อล้วนต้องตาย เช่นนั้นวังครองกระบี่ตอนนี้ยังจะคอยปิดผนึกเทพเจ้าให้กับต่างเผ่าอื่นๆ ในเขตปกครองผนึกสมุทรเพื่ออะไร ถ้าไม่ตายด้วยน้ำมือเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องตายด้วยน้ำมือเทพเจ้า ไม่แตกต่าง
“หากเป็นอย่างหลัง ยังได้ฝังกลบต่างเผ่าอย่างพวกเจ้าไปด้วย มันก็คุ้มค่าดี
“ดังนั้นเจ้าถือดีอย่างไรมาคิดว่าข้าไม่กล้า” ขณะที่สวี่ชิงพูดก็ยกมือขวาขึ้น มือของเขามีป้ายฐานะแสงสีทองกระพริบวาบ
ป้ายฐานะของเจ้าวังนั่นเอง
ป้ายฐานะนี้ เจ้าวังมอบอำนาจทั้งหมดในวังครองกระบี่ให้แล้ว
ตอนที่หยิบป้ายฐานะนี้ สวี่ชิงก็มองเผ่าเคียงเซียนบนท้องฟ้า เอ่ยอย่างตั้งใจ
“ข้าไม่ใช่แค่ไม่กล้า แต่ยังอำนาจในการลงมือทำด้วย
“แล้วพวกเจ้าล่ะ…กล้าหรือไม่”
เมื่อสวี่ชิงเอ่ยปาก ชิงฉินด้านล่างเขาก็สั่นเทิ้ม สองหัวที่กำลังจัดขนให้กันก็เงยขึ้นทันที จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างหยิ่งทะนง
“แกว๊ก!”