ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 333 วัวเคี้ยวโบตั๋น

บทที่ 333 วัวเคี้ยวโบตั๋น

บทที่ 333 วัวเคี้ยวโบตั๋น

ขณะที่เสียงสวี่ชิงดังออกไป นายกองก็หันหน้ามา เห็นอาภรณ์วิเศษเปล่งแสงอยู่หลายชุดแขวนอยู่บนราวที่ห่างออกไป ตาก็ตั้งขึ้นมาทันควัน

อาภรณ์วิเศษนับสิบชุดแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบ เนื้อผ้าเรียบลื่นประณีตมาก ไม่มีรอยยับเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังเว้นช่องว่างไว้ระหว่างกันอีกด้วย

เห็นถึงรายละเอียด จะเห็นว่าเจ้าของรักชุดเหล่านี้มาก

อาภรณ์วิเศษเหล่านี้มีชุดกระโปรงเป็นหลัก ในนี้มีชุดหนึ่งเป็นกระโปรงผ้าโปร่งสีเขียวมรกต หลอมหยกเซียนจนกลายเป็นเส้นใย ปักดิ้นเป็นดอกโบตั๋น เสริมขอบด้วยทองเซียน ขณะที่ปักวนคดเคี้ยว ที่ชายเสื้อก็ราวกับมีเซียนวารีสีชมพูโปรยดอกไม้อยู่ งามจับตา

โดยเฉพาะ ข้างๆ ยังมีผ้าเรียบลื่นสีเขียวมรกตตัดขอบทองอยู่ จินตนาการได้เลยว่าต่อให้เป็นหญิงสาวทั่วไปมาสวมใส่คงจะสวยเด่นเป็นสง่า ขับความงามขึ้นอีกโข

ยังมีชุดกระโปรงสีเขียวมรกตชาววัง ลายเงาผีเสื้อสีน้ำเงินแกมม่วง ยิ่งมีภาพมายาฉายออกเป็นระยะ โบยบินราวกับมีชีวิต

ด้านล่างเป็นกระโปรงจีบหญ้าหมอกขจีวารีบุปผากำจาย ดูแล้วงดงามไม่ธรรมดา มีประกายแสงไหลเวียน และเนื้อผ้าด้านบนก็ตัดเย็บเป็นชุดแนบเนื้อ จะต้องเป็นเกราะวิเศษที่น่าตกตะลึงแน่นอน

ยังมีชุดคลุมสีขาวเรียบๆ อีกตัวหนึ่ง ใช้เส้นใยจากต้นไม้ประหลาดปักกิ่งก้านที่แปลกแต่ทรงพลังไว้ปักบนเนื้อผ้า ใช้เส้นใยพืชประหลาดถักทอเป็นดอกเหมยเบ่งบานหลายดอก ขณะที่แผ่พลังวิญญาณแผ่วเบาออกมา ก็ยังมีเงาของอสูรกลายพันธุ์ฉายเป็นภาพมายาอยู่ด้านนอกชุดรางๆ

มากมายเต็มไปหมด อาภรณ์วิเศษหลายสิบชุดนี้ไม่เหมือนกันเลย วัสดุไม่ธรรมดาทุกชุด ขณะที่มูลค่าไม่ธรรมดา ดอกไม้ไข่มุกบนนั้นก็แผ่กลิ่นอายที่ทำให้พลังบำเพ็ญของคนไหลเวียนอย่างรวดเร็ว

สิ่งเหล่านี้ ไม่เพียงแต่นายกองที่ตาตั้ง อันที่จริงดวงตาของเหยียนเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็จ้องอาภรณ์วิเศษเหล่านั้นนานแล้ว

เพียงแต่นายกองมองด้วยสายตาตีมูลค่ากินบ้างขายบ้าง แต่เหยียนเหยียนสั่นไหวเพราะความงดงามบริสุทธิ์ของพวกมัน

“คุ้มแล้ว!” นายกองกลืนน้ำลายเอื๊อก พุ่งตรงไปยังอาภรณ์วิเศษทันที ปลดลงมาชุดหนึ่งทันควัน คิดจะเก็บเข้าไปในถุงเก็บของ แต่ไม่สามารถเก็บเข้าไปได้

อาภรณ์วิเศษเหล่านี้แต่เดิมก็แปลกประหลาดมาก มีความพิเศษที่ไม่ธรรมดาอยู่ ยากจะเก็บใส่เข้าไปในถุงเก็บของ

“ข้าเดาได้นานแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ อาชิงน้อย เรื่องที่สำนักโลกันต์ทมิฬเดี๋ยวกลับไปแล้วเจ้าต้องช่วยข้าจัดการหน่อย ครั้งนี้เพื่อการใหญ่ของพวกเรา ข้าจึงเข้าไปเอาเขี้ยวชิ้นนั้นมา”

นายกองพูดพลางโบกมือซ้าย ฉับพลันเบื้องหน้าเขาก็ปรากฏเขี้ยวใหญ่แหลมคมสูงขนาดตัวคนออกมา!

บริเวณหนึ่งในเขี้ยวใหญ่นี้มีสีทองซึมเข้าไปจนถึงด้านในตัวฟัน เมื่อปรากฏเวลานี้ก็มีคลื่นน่าตกตะลึงแผ่ซ่านออกมา หลังจากสวี่ชิงเหลือบมอง ก็จำเขี้ยวชิ้นนี้ได้ทันที เขี้ยวของอสรพิษปีศาจนั่นเอง

เหยียนเหยียนไม่เคยเห็นอสรพิษปีศาจ หลังจากเห็นเขี้ยวนี้ก็สูดปาก สัมผัสได้ว่าเขี้ยวนี้ไม่ธรรมดา

นายกองมีเขี้ยวอยู่ในมือก็หยิ่งทะนง

เขากอดเขี้ยว กรีดลงไป บนเสื้อผ้าชุดนี้หนักๆ ขณะที่เหยียนเหยียนกำลังปวดใจ เสียงแควกดังขึ้น นายกองกระชากชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีเขียวมรกตสวยงามตัวนั้นจนขาด

แสงวิเศษก็หม่นลงจากการฉีกขาด เสื้อผ้าดีๆ ตัวหนึ่งเกิดรอยขาดที่น่ากลัวขึ้นเป็นทาง

ส่วนนายกองก็เหมือนจะเสพสุขกับเสียงนี้ กรีดไปกรีดมาอย่างรวดเร็ว และ อาภรณ์วิเศษชุดนี้…ก็กลายเป็นเศษผ้าท่ามกลางเสียงแควกไปแล้ว

แต่ไม่ส่งผลกระทบกับเครื่องประดับด้านบนรวมถึงมูลค่าของเนื้อผ้าแต่เดิมเหล่านั้นของมัน

เห็นว่าฟันนี้ได้ผล นายกองก็ยิ่งฮึกเหิม

“ตอนที่เห็นเสื้อผ้าของเหล่ายายแก่เทพวิญญาณโยวจิง ข้าก็คิดแล้วว่าหากวันหนึ่งพบกับเสื้อผ้าพวกนี้จะฉีกขาดมันอย่างไร เห็นหรือไม่ พอมีของสิ่งนี้ จากนี้จะมีสมบัติอะไรอีกที่เฉินเอ้อหนิวอย่างข้าฉีกไม่ขาด” นายกองเงยหน้าหัวเราะร่า

“ต่อให้ถูกสำนักโลกันต์ทมิฬถลกหน้า ข้าก็ยอม”

สวี่ชิงกระพริบตาปริบๆ แสดงอารมณ์ออกมาอย่างเหมาะสม

นายกองพอเห็นภาพนี้ ในใจก็ยิ่งเป็นสุข สวี่ชิงถือโอกาสรีบสาวเท้าเข้าใกล้ คว้าจับเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของนายกอง ยัดเข้าไปในถุงเก็บของได้สำเร็จ ทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องพูดจา ก็แบ่งงานกันชัดเจนแล้ว

สวี่ชิงรับผิดชอบหยิบเสื้อผ้า จัดการกางมันออก เผยส่วนที่มีมูลค่าให้เห็น และนายกองก็แค่กอดเขี้ยวเอามากรีดแค่นั้น

ไม่นาน เสียงฉีกขาดแควกก็ดังขึ้นไม่หยุด เหยียนเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็ปวดใจเหลือเกิน แม้จะไม่ใช่ของนาง แต่นางก็จินตนาการได้ว่าถ้าเทพวิญญาณโยวจิงรู้เรื่องนี้เข้าจะโกรธเคืองคลั่งแค้นเพียงใด

ตอนนี้เมื่อมองพวกสวี่ชิงที่กำลังลงแรงสุดกำลัง นางก็พึมพำเสียงเบาขึ้นมา

“เทพวิญญาณโยวจิงนั่นก็เหลือเกิน ไม่ควรมาวางของล่อโจรแบบนี้ พวกเขาโหยหาจับจ้องไปหมดแล้ว เรื่องนี้ เกรงว่าเมื่อนางพบเข้าคงจะควันพุ่งออกจากทวารทั้งเจ็ดแน่…ฉีกทึ้งเสื้อผ้าของหญิงสาว พวกเขาชั่วร้ายเหลือเกิน!”

นายกองได้ยินก็หัวเราะเยาะ

“แค่นี้จะนับเป็นอะไร อาจารย์ของข้ากับอาชิงน้อยก็เป็นตาแก่เหมือนกัน เขาต่างหากที่ชั่วร้าย ครั้งนั้นตาแก่ยังหนุ่มยังแน่น ข้าเห็นอาจารย์แม่ทะเลาะเขามากับตา อาจารย์แม่ทำลายพวกแผ่นหยกโบราณที่อาจารย์รักมากทิ้งด้วยความโกรธ”

นายกองกอดเขี้ยว กรีดอาภรณ์วิเศษตรงหน้าต่อ จากนั้นก็เอ่ยว่า

“ต่อมาอาจารย์ก็ล้วงกรรไกรเล่มหนึ่งออกมาอย่างอารมณ์ดี หยิบเสื้อผ้าที่อาจารย์แม่รักมากออกมา จากนั้นก็ตัดทิ้งต่อหน้าต่อตานางเลย!

“ตอนนั้นอาจารย์แม่เห็นฉากนี้ก็ตกตะลึง จากนั้นก็ระเบิดความโกรธออกมา เพราะเรื่องนี้ พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่พบหน้ากันถึงสามปี”

สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง ไม่พูดอะไร เขาสังเกตเห็นจุดสำคัญไม่กี่คำที่นายกองพูดว่าครั้งนั้นที่ตาแก่ยังหนุ่มยังแน่น

ท่านอาจารย์ตอนนี้อายุอานามก็ไม่น้อยแล้วนะ

จากจุดนี้ก็มองออกว่านายกองน่าจะฝึกบำเพ็ญซ้ำมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

และสิ่งที่เหยียนเหยียนให้ความสนใจคือความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงอย่างไรผู้ชายจะทำอะไรก็ตรรกะต้องมาก่อน ส่วนผู้หญิงจะทำอะไรก็จะให้ความสำคัญที่ความรู้สึกก่อน

นางจึงเข้าใจได้ง่าย รู้สึกถึงความคุ้มคลั่งในจิตใจของอาจารย์แม่สวี่ชิงเมื่อครั้งนั้น

“ชั่วร้ายจริงๆ…” เหยียนเหยียนพูดไม่ออก แต่ก็ไปเข้าร่วมอย่างรวดเร็ว ช่วยกันเก็บ

ทั้งสามคนก็กุลีกุจอวุ่นวายกันขึ้นมาเช่นนี้ และอาภรณ์วิเศษนับสิบชุดเหล่านั้นก็ค่อยๆ ถูกกรีดออกจนหมด

เพียงแต่วัสดุของเสื้อผ้าเหล่านี้น่าตกตะลึงเหลือเกิน แฝงกลิ่นอายวิญญาณเซียนที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ด้วย และเนื่องจากร่างกายของเทพเทพวิญญาณโยวจิงสูงใหญ่มาก เสื้อผ้าจึงหนาและหนัก ไม่ว่าจะชุดใดเมื่อกองรวมกันก็เหมือนกับภูเขาย่อมๆ ลูกหนึ่ง

พวกเขาไม่สามารถนำไปได้ทั้งหมด ทำได้เพียงจัดการนำชุดที่ดีที่สุดมาแยกชิ้นส่วน

ดังนั้นไม่นานเสื้อผ้าทุกชุดของที่นี่จึงเละเทะไปหมด มีบางตัวกลายเป็นริ้วๆ เหมือนมู่ลี่บานประตู บางตัวกลายเป็นถ้ำอุโมงค์อย่างกับเสื้อขอทาน

และขณะเดียวกัน เสียงครืนครันด้านนอกยังกึกก้อง และยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ความรู้สึกพื้นสั่นเขาสะเทือนเองก็รุนแรงขึ้นทุกที

สวี่ชิงเห็นเช่นนี้ ก็เอ่ยทันทีว่า

“พวกเราไปกันเถอะ ถ้ายังไม่ไปเดี๋ยวจะอันตราย!”

สวี่ชิงพูดพลางตัดความละโมบในใจตน ร่างไหววูบตั้งท่าจะออกไป เหยียนเหยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และถอยออกมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน

นายกองเดิมทีไม่ค่อยยินยอมในใจ เขาเตรียมจะค้นหาต่ออีกหน่อย หรืออาจจะจัดการขุดอิฐหยกวิญญาณบนพื้นออกมา

แต่เมื่อเห็นสวี่ชิงกับเหยียนเหยียนจะไปแล้ว จู่ๆ เขาก็คิดถึงฉากในเผ่าสิงซากสมุทรขึ้นมา ตอนนั้นตนเองดันต้องมาแบกความผิดเอาไว้เพราะแบบนี้

จึงสูดลมหายใจลึก กัดฟันออกจากถ้ำพำนักแห่งนี้อย่างรวดเร็วไปพร้อมกับสวี่ชิงและเหยียนเหยียน

“เอาแค่พอดี เอาแค่พอดี ข้าต้องแก้นิสัยละโมบเกินจำเป็นนี้เสียหน่อยแล้ว ครั้งนี้ จะโลภมากไม่ได้!” นายกองเดินไป พลางแอบลั่นคำสาบานกับตนเองขึ้นมา

ไม่นาน ทั้งสามคนก็พุ่งออกมาจากเขาถ้ำพำนัก หลังจากต่างฝ่ายต่างเปิดใช้งานการอำพราง ก็ตรงไปด้านล่างภูเขาอย่างรวดเร็ว

ตอนที่ทั้งสามคนออกไปได้ไม่นาน ด้านนอกถ้ำพำนักนี้ ก็มีเงาสีแดงร่างหนึ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวในชุดคลุมสีแดงทั้งตัวคนหนึ่ง ใบหน้าสวมหน้ากากสีขาว ปิดบังหน้าตาไว้ บนบ่าแบกเคียวทูตสีดำขนาดสูงเท่าตัวคนเอาไว้ข้างละด แผ่คลื่นพลังประหลาดออกมาเป็นระยะ

และร่างนางอรชรอ้อนแอ้น พริบตาที่เข้ามาก็สอดส่องไปรอบๆ จากนั้นจึงหัวเราะเบาๆ

“ผู้อาวุโสในลัทธิเหล่านั้นเอาแต่พูดว่าเทพวิญญาณโยวจิงแห่งไตรวิญญาณชอบสะสมสมบัติ ครั้งนี้ได้โอกาสมาที่นี่ มาดูเสียหน่อยว่าเทพวิญญาณโยวจิงตนนี้มีสมบัติอะไร”

หญิงสาวพูดพลางสาวเท้าก้าวเข้าไปในถ้ำ เมื่เข้ามาในถ้ำพำนัก ดวงตางามใต้หน้ากากก็กวาดมองไปรอบด้าน

สิ่งที่ดวงตาของนางเห็นเป็นลำดับแรก คือความสะอาดเอี่ยมของพื้น

“แม้ด้านนอกจะมีศึกใหญ่ ตัวภูเขาอยู่ในสภาพพังเสียหาย แต่ที่นี่ประหลาดเหลือเกิน สะอาดได้ถึงเพียงนี้เชียว” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา แต่พริบตาต่อมาตอนที่นางเงยหน้ามองไปบนกำแพงรอบๆ ก็ตะลึงไป

หลายจุดบนกำแพง ล้วนมีรูเว้าแหว่ง ดูจากรูปร่างเหมือนเคยมีไข่มุกอยู่ด้านในมาก่อน

หญิงสาวลังเล เดินในถ้ำพำนักอย่างรวดเร็ว หลังจากตรวจห้องต่างๆ มากมายสีหน้าก็ปั้นยาก

นางพบว่าขนาดเครื่องเรือนอย่างพวกโต๊ะเก้าอี้ก็ยังหายไปจนหมด

จนกระทั่งในที่สุดก็เห็นเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นกองอยู่เต็มพื้น นางก็สูดปาก

“มีคนไวกว่าข้าก้าวหนึ่ง ถ้าไม่ใช่หนูแปลงตัวมา บางทีอาจจะมีความแค้นฝังลึกกับเทพเทพวิญญาณโยวจิงก็เป็นได้ ถึงได้ทำลายอาภรณ์วิเศษจนย่อยยับถึงเพียง” หญิงสาวหันหัวขวับ รีบร้อนหนีออกไป ในใจเต็มไปด้วยความหวาดระแวง

ขณะเดียวกัน ตอนที่เข้าใกล้ตำแหน่งตีนภูเขาลูกที่สาม พวกของสวี่ชิงทั้งสามคนที่พรางตัวอยู่กำลังพุ่งตรงไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว คิดจะออกจากอาณาเขตนี้

ขนมาเต็มที่ สัญชาตญาณของสวี่ชิงไม่คิดจะอยู่ต่ออีกแล้ว โดยเฉพาะตอนคิดถึงสมบัติเหล่านั้นในถุงเก็บของ เขาก็อยากจะออกจากที่นี่ให้ไวที่สุด ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบที่เผ่าสิงซากสมุทร

แต่นายกองเองกลับเสียดายอยู่เต็มประดา เขารู้สึกว่าครั้งยังไม่ถึงใจเลย

“อาชิงน้อย ครั้งนี้ไม่ค่อยตื่นเต้นเลยเนอะ” นายกองกดเสียงต่ำเอ่ยขึ้น

สวี่ชิงรู้สึกว่าประโยคนี้ดูคุ้นหูเหลือเกิน ระแวดระวังขึ้นมาทันที ดึงเหยียนเหยียนมาแล้วเพิ่มความเร็วขึ้น

นายกองถอนหายใจเนืองๆ อยู่ด้านหลัง เงยหน้าขึ้นมองไปยังภูเขาลูกที่สองอยู่ตลอดเวลา เลียริมฝีปาก

“ไม่เช่นนั้น พวกเราลองไปดูที่ภูเขาลูกที่สองกันดีหรือไม่”

สวี่ชิงกำลังจะอ้าปาก แต่ตอนนี้เอง จู่ๆ บนท้องฟ้าก็มีเสียงครืนครันน่าตกตะลึงดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงร้องแหลมดังกึกก้องสะท้านไปทั่วทิศ

เสียงนี้รุนแรงเกินไป สวี่ชิงกระอักเลือดออกมา ตัวเหยียนเหยียนก็มีตราหยกแตกกระจายออกนับสิบชิ้น กระอักเลือดออกมาเช่นกัน

นายกองสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ขณะที่กระอักเลือดออกมา ทั้งสามคนก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าฉับพลัน

และที่เห็น คือเทพเทพวิญญาณโยวจิงที่แยกร่างเป็นสามร่างและกำลังต่อสู้กับผู้ครองกระบี่อยู่บนท้องฟ้า ร่างแยกหนึ่งของนางตอนนี้ถูกผู้ครองกระบี่แทงกระบี่เข้าไปที่ตำแหน่งหัวใจ หนึ่งหมัดซัดท้องจนยับ และมีตราประทับขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา แผ่พลานุภาพโหมฟ้าน่าสะพรึง เต็มไปด้วยท่วงทำนองเต๋าไม่สิ้นสุด ฟาดลงไปอย่างจัง

ทันใดนั้นท้องกับหน้าอกของร่างแยกของเทพวิญญาณโยวจิงก็ระเบิด เสียงกรีดร้องแหลมดังก้อง ขณะเดียวกันก็ถูกตราประทับใหญ่ที่แฝงท่วงทำนองเต๋าไว้นั่น กระแทกที่ตัว

การปรากฏขึ้นของตราประทับนี้ เห็นได้ชัดว่าเตรียมการไว้โดยเฉพาะนานแล้ว เวลานี้เมื่อโจมตีแม้จะไม่ถึงชีวิต แต่ก็ตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างร่างเดิมของโยวจิงและร่างแยกทันที

พริบตาต่อมา ร่างแยกที่บาดเจ็บหนักนี้ ก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้า กระแทกลงมาบนพื้นระหว่างภูเขาลูกที่สามและภูเขาลูกที่สอง พื้นดินส่งเสียงสั่นสะเทือนครืนครัน ร่างแยกนี้สูญเสียเจตจำนงไป ไม่ขยับเขยื้อนไหวติง

และที่ปรากฏขึ้นในตำแหน่งบาดแผลไม่ใช่เลือดเนื้อ แต่เป็นประกายวิญญาณเซียนที่เจิดจ้ารวมถึงกลิ่นอายวิญญาณเซียนที่เข้มข้น เพียงสูดดมเข้าไปก็ทำให้จิตวิญญาณคนถึงกับฮึกเหิม

พื้นดินฝุ่นคลุ้ง ระลอกคลื่นรุนแรงราวกับมังกรดินพลิกตัว ขณะที่สั่นไหวอย่างรุนแรง สีหน้าของสวี่ชิงทั้งสามคนก็เปลี่ยนแตกต่างกันไป เหยียนเหยียนตกใจจนเนื้อเต้น แต่นายกองทางนั้น ในดวงตากลับคุ้มคลั่งขึ้นมาทันที

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Score 10
Status: Completed
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง... รายละเอียด กำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง 'เอ่อร์เกิน' ผู้เขียน 'หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์' 'สู่วิถีสุรา' ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน' 'หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา' เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก 'สวี่ชิง' เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

Options

not work with dark mode
Reset