และแล้ววันจริงก็ได้มาถึง
ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อากาศแจ่มใส ส่วนงานเตรียมการต่างๆ ที่มหาลัยจากทีมผู้ผลิตดอกไม้ไฟก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นตั้งแต่ช่วงกลางวัน
พอผมไปหาฟุยุสึกิที่โรงพยาบาลตอนบ่ายสามโมง เธอก็นั่งอยู่บนรถเข็น
คุณแม่ของฟุยุสึกิเองก็อยู่ด้วย คุณแม่ยิ้มพร้อมบอกตั้งหน้าตั้งตารอกับงานในวันนี้
“โซราโนะคุง วันนี้ขอรบกวนด้วยนะจ๊ะ” คุณแม่เอ่ย
“ไม่เป็นไรครับ”
“รถเข็นนี้แม่ไปยืมมาจากทางโรงพยาบาลได้น่ะ”
คุณแม่บอกว่าต้องทำเรื่องจองล่วงหน้า เพราะรถเข็นมีจำนวนจำกัดและใช่ว่าจะยืมได้ง่ายๆ
“โซราโนะคุง ช่วยพาโคฮารุไปที่สวนได้ไหม?”
“คุณแม่คะ!”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ไปออกเดทกันสักหน่อยสิ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย”
ฟุซึกิพูดปฏิเสธขณะนั่งอยู่บนรถเข็น
“ไม่ต้องปฏิเสธขนาดนั้นก็ได้นะ”
ผมยิ้มให้ จากนั้นฟุยุสึกิก็พูดเสียงเบาแผ่วด้วยความเขินอายว่า “ถ้างั้น ช่วยพาไปหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิ”
พอออกแรงเข็นเป็นครั้งแรก รถเข็นก็เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างง่ายดาย เบากว่าที่คิดไว้มากโขจนผมรู้สึกใจหายขึ้นมา ราวกับว่ามวลน้ำหนักของเธอค่อยๆ หายไปจากโลกนี้ ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นผ่านหัวใจ ถ้าเธอผู้ซึ่งพยายามมาตลอด รับรู้ได้ว่าผมกำลังเจ็บปวดอยู่คงจะเศร้าใจน่าดู
ด้วยเหตุนั้น ผมจึงแสร้งทำเป็นใจแข็ง และพาเธอไปยังสวนลอยฟ้า
ที่สวนลอยฟ้า ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีเสียงจั๊กจั่นร้องจากที่ไหนสักแห่ง เสียงใบไม้กระทบกันเบาๆ ชวนทำให้รู้สึกดี
“ไปตู้ขายเครื่องดื่มไหม?”
“อยากดื่มชานมค่ะ แต่…”
“ถ้าดื่มไม่หมด เดี๋ยวฉันดื่มต่อเอง”
“อย่ามาเอาอกเอาใจกันมากไปหน่อยเลยค่ะ”
“เอาใจ? หมายถึง?” เมื่อผมถาม ฟุยุสึกิก็ก้มหน้าแล้วบอกว่า “ไม่มีอะไรค่ะ”
ผมซื้อน้ำชานมเย็นหวานๆ มาให้ฟุยุสึกิ
ฟุยุสึกิจับถ้วยทั้งสองมือ จากนั้นก็ค่อยๆ จิบอย่างช้าๆ ราวกับกำลังดื่มของร้อน
“วันนี้ดูแข็งแรงดีนะ”
“เพราะพยายามมาตลอด เลยยังพอมีแรงหลงเหลืออยู่บ้างค่ะ”
น้ำเสียงของเธอให้ความรู้สึกราวกับ เปลวไฟแห่งชีวิตกำลังจะดับลงในวันพรุ่งนี้
เหงื่อเริ่มซึมที่ฝ่ามือของผม
“วันนี้ไม่ใช่จุดหมายสุดท้ายของเธอหรอกนะ”
“เอ๋ ฉันไม่ได้บอกเหรอคะว่าเป้าหมายคือดอกไม้ไฟในวันนี้”
“นั่นแค่เป้าหมายระหว่างทางต่างหาก”
“ขี้โกงจังนะคะ”
“จะย้ายไปโรงบาลไปรักษาต่อใช่ไหมล่ะ”
“ช่วยจับมือของฉันได้ไหมคะ”
ฟุยุสึกิยื่นมือสั่นๆ มาทางผม ครั้นผมจับมือเธอไว้ มือเธอนั้นเย็นเฉียบ
“อุ่นจังเลยค่ะ”
“อย่าพูดเหมือนกับว่ามือคนเป็นเครื่องดื่มร้อนสิ”
“ฟุๆ เครื่องดื่มร้อน…อย่าทำให้ฉันหัวเราะสิคะ เจ็บอยู่นะ”
ขอโทษๆ ผมหัวเราะพร้อมพูดเช่นนั้น จากนั้นฟุยุสึกิก็พูดต่อ
“ต้องขอบคุณคุณโซราโนะเลยนะคะ ที่ทำให้ฉันฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ฉันรู้สึกแบบนั้นจากใจจริงค่ะ”
พอได้ยินเธอพูดแบบนั้น ผมอดไม่ได้ที่จะคิดว่าคงจะดีถ้าโรคร้ายในตัวเธอหายไป
คงจะดีถ้าโรคร้ายเหล่านั้นในตัวเธอหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมเผลอคิดแบบนั้น
อยากให้เธอที่พยายามมาหนัก ได้พบเจอกับอนาคตที่ตอบแทนความพยายามของเธอบ้าง
แล้วผมก็ได้เผลออธิษฐานออกไปเช่นนั้น
เราทั้งคู่ต่างเงียบไปจนกระทั่งฟุยุสึกิทักขึ้นว่า “ถ้าหาก…”
“หืม?”
“ไม่ค่ะ ไม่มีอะไร”
อะไรเล่า
ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ
เราพูดคุยกันแบบนี้ แล้วผมก็พาฟุยุสึกิกลับห้อง
“เดี๋ยวมารับตอนเย็นอีกทีนะ” ผมพูดเช่นนั้นก่อนกลับไปมหาลัย
ตอนนั้นเอง ผมนึกขึ้นได้ว่า เธอวาดภาพดอกไม้ไฟไว้
มันจะเป็นดอกไม้ไฟแบบไหนกันนะ
เมื่อกลับมายังมหาลัย ดูเหมือนว่าอธิการบดีกำลังคุยกับฮายาเสะอยู่ โดยพูดทักขึ้นว่า ภาพรวมเป็นยังไงบ้าง
งานดอกไม้ไฟของเด็กๆ ในครั้งนี้กลายเป็นงานที่คนในระแวกต่างตั้งความหวังไว้ หลังจากทางมหาลัยได้มีการแจกใบปลิวให้กับร้านค้าต่างๆ ในระแวกใกล้เคียง แน่นอนว่าทางมหาลัยก็ให้ความสำคัญกับงานนี้เช่นกัน ทางฝั่งอธิการบดียังบอกเองเลยว่า หากงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีก็อยากจัดให้เป็นงานประจำปีไปเลย
นารุมิที่ดูการเตรียมดอกไม้ไฟอยู่ บิดฝาขวดพลาสติกแล้วถามขึ้น
“ฟุยุสึกิเป็นไงบ้าง?”
เสียงกระดกน้ำของนารุมิดังอึกอัก
“ก็ดูแข็งแรงดี”
“วันนี้หมอให้เธอออกมาข้างนอกได้ใช่ไหม”
“ทางฝั่งแม่ลองคุยกับหมออยู่ ถ้าเป็นไปด้วยดีก็คงจะอย่างงั้นแหละ”
“ค่อยยังชั่ว” นารุมิพูด แล้วกระดกน้ำอีกครา
สายลมแห้งๆ ปลายเดือนกันยายนพัดเข้ามาทางแขนเสื้อยืด รู้สึกเย็นสบายแต่แสงแดดก็ยังคงแรงอยู่
ผมซื้อโซดาจากตู้ขายน้ำอัตโนมัติ พอบิดฝาก็มีเสียงฟู่ดังขึ้นมา
“สรุปแล้วเด็กมาได้กี่คนเหรอ?”
“ประมาณครึ่งหนึ่ง ที่ได้อนุญาตให้ออกมาข้างนอกได้อ่ะนะ” นารุมิตอบกลับ
นารุมิรับผิดชอบในส่วนการอธิบายให้ผู้ปกครองของเด็กๆ ฟังแล้วนำทางพวกเขาไปยังสถานที่จัดงาน
การจุดดอกไม้ไฟมีกำหนดเริ่มตอนหกโมงเย็น หรือก็คือหลังพระอาทิตย์ตกดิน
“น่าสงสารเด็กที่ไม่ได้ออกมาดูจังเลย”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ฉันวางแผนไว้อย่างดี”
“เอาใจช่วยนะ”
เมื่อผมพูดกับนารุมิเช่นนั้นเอง
“หวังว่าฟุยุสึกิจะได้มาดูดอกไม้ไฟแล้วนึกอะไรออกบ้างนะ”
“เอ่อ…เรื่องนั้น…ไม่ต้องคิดมากหรอก”
เมื่อผมตอบกลับไป นารุมิก็ทำหน้างุนงงเล็กน้อย จากนั้นผมก็ได้บอกนารุมิที่ยังคงอยู่ในสีหน้างุนงงว่า “ถึงเวลาที่ต้องไปรับแล้ว” ก่อนหันหน้าแล้วเดินไปทางโรงพยาบาล
เมื่อถึงโรงพยาบาล ก็ได้มีการอธิบายแก่ผู้ปกครองของเด็กๆ ที่กำลังจะเดินทางไปมหาลัยคืนนี้
พร้อมมีการส่งมอบแผนที่วาดมือสำหรับครอบครัวที่เดินทางไปโดยแท็กซี่ และมีการอธิบายว่าต้องจอดรถตรงไหนถึงไม่ต้องเดินไกล หรือตรงไหนมีที่นั่งให้รอบ้าง
เมื่อการอธิบายสิ้นสุดลง ผมก็ได้แยกกับนารุมิแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องของฟุยุสึกิ
ความรู้สึกตื้นตันใจที่ยากจะเก็บไว้ ทำให้ผมเดินเร็วขึ้นในโรงพยาบาล
ในที่สุด ความปรารถนาของเธอก็จะเป็นจริง
ขณะเดินไปตามทางเดินของอาคารตะวันตกชั้น 7 พร้อมใจที่กำลังคิดถึงเรื่องพวกนั้นอยู่นั่นเอง
ก็พบว่าประตูห้องของฟุยุสึกิเปิดอยู่
รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
เสียงฝีเท้าหลายคนดังขึ้น
รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
“คุณฟุยุสึกิ! เป็นอะไรหรือเปล่าครับ! มีสติอยู่ไหมครับ! จะทำการดูดเสมหะครับ!”
ได้ยินเสียงหมอพูดเช่นนั้น
เมื่อรู้สึกตัวอีกที ผมก็วิ่งไปที่ห้องเสียแล้ว
“ฟุยุสึกิ!”
ผมตะโกนเข้าไปในห้องจากหน้าประตู เห็นแม่ของฟุยุสึกิปิดปากไว้แน่นขณะที่มองลูกของตนเองอยู่
“เดี๋ยว…ช่วยถอยออกไปด้วยค่ะ! ห้ามเข้ามาข้างในนะคะ!”
พยาบาลผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“ถอยไป เกะกะ! อย่าเข้ามา!” ไร้ซึ่งการอ่อนน้อมคำพูด ขณะที่ผมกำลังตัวแข็งทื่ออยู่นั้น ผมก็ถูกเธอดันไหล่ จนไปอยู่ขอบทางเดิน
ผมแอบหวังลึกๆ ในใจว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ พยาบาลที่เห็นผมมาเยี่ยมบ่อยๆ จะเรียกผมให้เข้าไปคุยกับเธอ
แต่ตอนนี้ ผมเป็นได้แค่ตัวเกะกะ
ต่างจากทุกคนที่ต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างจริงจัง
ความหวาดกลัวทำให้ร่างกายของผมราวกับถูกตรึงอยู่กับพื้น
ขยับไม่ได้ หัวเข่าสั่น หัวขาวโพลน ผมทรุดลงกับพื้น แล้วพึมพำออกมา “ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง” โดยยังไม่อาจแยกได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริงหรือหลอกกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ผมยังรับความจริงไม่ได้
ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าด้วยมือที่สั่นไหว
ต้องรีบบอกนารุมิ ต้องรีบบอกฮายาเสะ ยิ่งคิดยิ่งตื่นตระหนก
กว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็กด 119 ไปเสียแล้ว แต่ก็ได้ตัดสายก่อนที่สายจะดังขึ้น
*
เวลาไหลผ่านไปจรดห้าโมงเย็น คุณแม่ของฟุยุสึกิเดินออกจากห้องพร้อมก้มหัวอย่างนอบน้อมให้กับหมอและพยาบาลที่กำลังเดินออกไป
“ฟุยุสึกิ…เป็นยังไงบ้างครับ”
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ โซราโนะคุง แค่อาเจียนออกมาเป็นเลือด แล้วเลือดเข้าไปในหลอดลมทำให้หายใจไม่ออกนิดหน่อยนะจ๊ะ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”
อาเจียนออกมาเป็นเลือดนี่เรียกว่าปลอดภัยเหรอ
“แล้วก็ แม่มีเรื่องอยากจะให้ช่วยหน่อย”
“เรื่องอะไรหรอครับ?”
“นิดหน่อยน่ะ”
หลังจากหยุดคิดไปสักพัก คุณแม่พูดออกมาช้าๆ
──แม่เหนื่อยแล้ว
สีหน้าของคุณแม่มีน้ำตาคลอเบ้านั้นดูซีดเซียว
คงจะผ่านเรื่องแบบนี้มาหลายครั้งแล้วสินะ
คงทำหน้าแบบนี้อยู่สินะ ที่ผ่านๆ มา
ผมรู้สึกเจ็บแปลบกลางอก
ผมกำเสื้อที่หน้าอกแน่น เพื่อทนต่อความเจ็บปวดนั้น
“ช่วยอยู่ข้างๆ ลูกสาวหน่อยได้ไหม?”
“เข้าใจแล้วครับ คุณแม่ไปพักผ่อนเถอะครับ”
หลังพูดเช่นนั้น ผมเดินเข้าไปในห้องของฟุยุสึกิเพื่อสลับกันเฝ้า
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ริมหน้าต่าง พลางมองใบหน้าตอนหลับของฟุยุสึกิอย่างเงียบๆ
ครั้นมองใบหน้าของเธอ ผมก็อดคิดมากไม่ได้ว่าเธอจะหายใจไม่ออกอีกรึเปล่า
แต่ความรู้สึกนั้นก็ได้จางหายไปพอเห็นหน้าอกของเธอเคลื่อนไหวขึ้นลงไปมา
ขอแค่เธอยังมีชีวิตอยู่ นั่นก็ทำให้ผมมีความสุขมากโขแล้ว
พลางคิดในใจว่า เรารักเขามากขนาดนี้เลยสินะ
มีหลายครั้งที่ผมถอดใจ แต่ก็พยายามเข้มแข็งไว้
เพราะผมหลงรักรอยยิ้มของเธอ ไม่ว่ายังไงก็อยากเห็นรอยยิ้มนั้นอีกครั้ง
เมื่อส่งข้อความบอกสถานการณ์กับนารุมิในไลน์ เขาตอบกลับมาว่า “ค่อยยังชั่ว”
จากนั้นเขาก็ส่งข้อความกลับมาว่า “ถ้าฟุยุสึกิตื่นขึ้นมา”
ในช่วงปลายเดือนกันยายน พระอาทิตย์จะตกตอนประมาณห้าโมงครึ่ง
ผมไม่ได้เปิดไฟในห้อง
ผมเปิดเพียงผ้าม่านและหน้าต่างเล็กน้อยในห้องที่มืดสนิท
แสงเมืองโตเกียวส่องเข้ามาในห้อง จึงทำให้ห้องดูไม่มืดมากนัก
ครั้นฟุยุสึกิรู้สึกตัวแล้วตื่นขึ้น คำแรกที่เธอเอ่ยออกมาคือ “คุณโซราโนะ?”
“หืม?”
“ใช่จริงๆ ด้วย ฉันรู้สึกได้น่ะค่ะ”
“รู้สึกได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“อยู่ด้วยกันนานๆ มันก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ”
ฟุยุสึกิหัวเราะด้วยน้ำเสียงแห้งแหบ
“ตอนนี้กี่โมงแล้วหรอคะ?”
“ห้าโมงห้าสิบ”
“ไม่ทันดอกไม้ไฟแล้วสินะคะ”
“วันนี้เขาไม่ให้ออกไปข้างนอกแล้ว”
ดวงตาของฟุยุสึกิที่ดูหยอกล้อค่อยๆ เปียกปอนไปด้วยน้ำตา
“ฉันพยายามเพื่อวันนี้แท้ๆ เลยนะ”
น้ำตาหยดลงเปื้อนหมอนทีละหยด
“โชคไม่เข้าข้างเลยเนอะ”
ฟุยุสึกิใช้แขนทั้งสองข้างปิดตา และพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นไหลออกมา
ผมเดินไปข้างเตียงเธอที่เริ่มร้องไห้แล้วลูบหัวเธอ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ”
“จะไม่เป็นไรได้ยังไงล่ะคะ”
ฟุยุสึกิปัดมือผมออก
“มันไม่ทันแล้วนี่คะ”
“ทั้งๆ ที่ฉันพยายามมามากขนาดนี้แล้วแท้ๆ” ฟุยุสึกิพูดออกมาเบาๆ
“ทั้งๆ ที่ฉันดิ้นรนสุดชีวิตแล้วแท้ๆ “
ผมอยากจะให้ความหวังเล็กๆ แด่เธอที่พยายามสู้เพื่อมีชีวิตรอดมาอย่างลำบากลำบนมาตลอด
ผมลูบหัวฟุยุสึกิที่เสียงสั่นเพราะน้ำตาอีกครา
“ไม่เป็นไรหรอก ยังทันอยู่”
“หมายความว่าไงคะ?”
ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วบอกเธอให้รอเดี๋ยว
“อาจจะไม่สุดเท่าดูด้วยตาตัวเองก็เถอะนะ”
ผมพูดพลางกดปุ่มเชื่อมต่อ
เสียงรอสายดังขึ้น ทันใดนั้นเสียงของฮายาเสะก็ได้ดังขึ้นมา
‘โคฮารุจัง โอเคไหม?’
“นี่มันอะไรคะ?”
ฟุยุสึกิทำเสียงประหลาดใจเพราะจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฮายาเสะ
“วิดีโอคอลน่ะ วันนี้มาดูด้วยกันอย่างงี้กันเถอะ”
‘ฉันก็อยู่ด้วยนะ!’
เสียงของนารุมิดังขึ้น แต่พื้นหลังของเขาไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่เป็นวอลเปเปอร์สีพาสเทล
‘ฉันอยู่ที่ห้องเด็กนะ ใช้หน้าจอดูดอกไม้ไฟกับเด็กๆ ที่ออกไปข้างนอกไม่ได้หน่ะ’
โดยพื้นหลังมีเสียงเด็กดังขึ้นว่า “พี่สาวเล่นเปียโน สู้ๆ นะ!”
“นี่มันอะไรเนี่ย ไฮเทคมากเลยค่ะ”
ฟุยุสึกิพูดขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่ทั้งยินดีและน้ำตาคลอเบ้า
ฟุยุสึกิใช้มือคลำหามือผมที่กำลังถือโทรศัพท์อยู่ ผมจึงจับมือฟุยุสึกิไว้แล้วประสานเข้าด้วยกัน
บนหน้าจอโทรศัพท์ เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าของผม ฟุยุสึกิ ฮายาเสะ แล้วก็นารุมิ ปรากฏขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง
เมื่อเห็นสี่คนกลับมาครบทีมอีกครั้ง ผมก็หยุดยิ้มไม่ได้
‘ใกล้จะเริ่มแล้วน้า!’
ฮายาเสะสลับกล้องจากกล้องหน้าเป็นกล้องหลัง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงนับถอยหลัง 3 2 1
เสียงดัง “ปิว” ตามด้วยแสงสีเหลืองพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ในวินาทีถัดมา ── เสียง “ปัง” ดอกไม้ไฟสีเหลืองก็ปรากฏขึ้นบนฟ้า
ในห้องที่มืดสนิท ดอกไม้ไฟส่องแสงสว่างผ่านหน้าจอโทรศัพท์ในมือ
เสียงดอกไม้ไฟดัง ปัง ปัง ปัง ออกมาจากลำโพงของโทรศัพท์
ห้าวินาทีต่อมา ก็ได้มีเสียงดอกไม้ไฟดังระเบิดจากนอกหน้าต่าง
“คุณโซราโนะคะ”
“อะไรเหรอ?”
“บอกฉันหน่อยสิคะ”
“ได้สิ”
ฟุยุสึกิบีบมือที่เราประสานกันไว้แน่น
“ตอนนี้ดอกไม้ไฟสีเหลืองถูกจุดขึ้นบนท้องฟ้า มันระเบิดเป็นวงกลมสวยงาม แล้วค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับภาพติดตาที่ยังค้างอยู่”
“ค่ะ”
“อันนี้…ไม่รู้เรียกว่าอะไรนะ แต่มีแสงกระจายออกมาเหมือนซากุระที่ค่อยๆ ร่วงหล่นด้วย”
“สวยไหมคะ?”
“สวยมากเลยล่ะ”
ผมบรรยายให้ฟุยุสึกิฟังทีละลูกว่า ดอกไม้ไฟเป็นยังไง และแตกหายไปยังไง
“ดีใจจัง”
ฟุยุสึกิเอนหัวมาชนผมเบาๆ
เมื่อหันไปมองด้านข้าง ผมเห็นเธอที่กำลังร้องไห้อยู่
“ดีใจจังที่ได้ดูดอกไม้ไฟกับทุกคน”
หน้าจอโทรศัพท์ถูกย้อมเป็นสีเหลืองจากดอกไม้ไฟที่ถูกจุดขึ้น ก่อนจะมีเสียงดังขึ้นตามมา นอกหน้าต่างมีเสียงดอกไม้ไฟดังรัวติดต่อกัน ปังปังปังปัง
เสียงของฮายาเสะดังขึ้น
‘ดอกไม้ไฟเด็ก คือการจุดดอกไม้ไฟที่สร้างจากภาพวาดของเด็กๆ หรือที่เรียกว่า “ดอกไม้ไฟแบบรูปร่าง” โดยจะขึ้นรูปจากดินปืนให้เป็นรูปร่างตามภาพวาด พอติดไฟก็จะปรากฏแสงสว่างบนท้องฟ้ายามราตรี คืนนี้เราทุกคนมาเพลิดเพลินกับดอกไม้ไฟที่สื่อถึงความฝันของเด็กๆ กันเถอะ’
ทีนี้แหละ ถึงคราวดอกไม้ไฟเด็กแล้ว
‘ลูกแรก เป็นดอกไม้ไฟของฮิโรโตะที่ชอบรอยยิ้มของคุณแม่’
ดอกไม้ไฟรูปรอยยิ้มถูกจุดขึ้นมา ถัดไปเป็นรูปดอกไม้บาน ที่มีการแนะนำว่าผู้วาดอยากจะหายจากโรคภัยแล้วเป็นคนขายดอกไม้ในอนาคต
ฮายาเสะแนะนำดอกไม้ไฟทีละดอก จากนั้นดอกไม้ไฟก็ถูกจุดขึ้นทีละดอก
เสียงของเด็กๆ ที่มีความสุขดังออกมาจากโทรศัพท์
“ดูท่าจะชอบกัน” ฟุยุสึกิพึมพำอย่างมีความสุข
ผมทักถามเธอว่า “ทำไมถึงชอบดอกไม้ไฟล่ะ?”
คำตอบแรกของเธอคือ “อาจเป็นเพราะมันคือความใฝ่ฝันค่ะ”
“ดอกไม้ไฟเป็นสิ่งที่ติดตรึงใจฉัน
ตอนเด็กๆ ฉันเคยป่วยหนักแล้วมีช่วงเวลาที่รู้สึกท้อแท้
ในตอนนั้นครอบครัวก็ได้พาฉันไปดูดอกไม้ไฟ
ดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ส่องสว่างขึ้นบนฟ้า
พอฉันหันกลับไปมอง ทุกคนก็ต่างแหงนมองขึ้นฟ้าเช่นกัน
ไม่รู้สิ แต่มันทำให้ฉันรู้สึกอยากสู้ต่อ
แม้ในช่วงเวลาที่รู้สึกท้อแท้ แต่ถ้ามีความทรงจำที่ทำให้เราเงยหน้าขึ้นมาได้ เราจะรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาได้ อะไรประมาณนั้นค่ะ”
ฟุยุสึกิจ้องมองดอกไม้ไฟ
ดอกไม้ไฟที่ตราตรึงในความทรงจำ
ดอกไม้ไฟที่เคยเงยหน้ามองในอดีต
ความทรงจำที่ทำให้เงยหน้าขึ้นมาได้
เธอก็ยังคงมองเต็มตา แม้ดวงตาจะมองไม่เห็นอีกต่อไปก็ตาม
เมื่อมองฟุยุสึกิที่ยิ้มอย่างมีความสุข ความรู้สึกต่างๆ ก็เอ่อล้นขึ้นมาในใจ
รู้สึกจุกอก รู้สึกดีใจ รู้สึกตื้นตันจนตาแดง
ผมไม่รู้จะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไรดี
ขอเพียงแค่อยากให้เธอที่ต่อสู้อยู่กับความมืดมนนี้ ได้เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะที่ฟังเสียงดอกไม้ไฟเด็ก ฟุยุสึกิเปิดปากพูด
“ฉันเองก็อยากใช้ชีวิตให้ติดตรึงใจของใครบางคนค่ะ”
ฟุยุสึกิพูดขึ้นเช่นนั้น
บางทีอาจเป็นเพราะตระหนักได้ถึงช่วงชีวิตที่กำลังจะสั้นลง จึงเริ่มโหยหาช่วงเวลาเปล่งประกายดั่งดอกไม้ไฟ
“ฟุยุสึกิอยู่ในใจของฉันนะ”
เสียงของผมที่ออกมานั้นช่างสั่นเครือด้วยน้ำตา
เมื่อเธอได้ยินเสียงผมที่สั่นเครือ ฟุยุสึกิก็แสร้งหัวเราะออกมาพร้อมพูดว่า “จริงหรอคะ~?”
จากนั้นก็มีเสียงของนารุมิดังขึ้นจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ว่า “ฉันก็มีเหมือนกัน”
“นารุมิเองก็แอบฟังด้วยเหรอ”
“ทางนี้ก็ได้ยินหมดเลยล่ะ” ฮายาเสะพูดขึ้นบ้าง “โคฮารุจัง ตอนนี้สนุกอยู่หรือเปล่า”
“อืม สนุกสิ” เธอตอบกลับ
ถ้างั้น ต่อไปก็เป็นดอกไม้ไฟของโคฮารุจังแล้วนะ
พอพูดจบ ฮายาเสะก็เริ่มบรรยายต่อ
“เอ๋ เอ๋ ดอกไม้ไฟของฉันจะต้องดูข้างๆ คุณโซราโนะจริงๆ หรอคะ?”
“แม้ว่าเธอจะผ่านความเจ็บป่วยมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่เธอก็ยังขอบคุณคนที่คอยอยู่เคียงข้าง──”
“เอ๋ เอ๋…มันน่าอายนะ อย่ามองนะคะ คุณโซราโนะ”
แม้ว่าฟุยุสึกิจะพูดแบบนั้น แต่มันก็สายไปแล้ว
เสียงปังดังขึ้น ดอกไม้ไฟกระจายสว่างบนท้องฟ้า
และ
รูปหัวใจดวงใหญ่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรี
“รูปหัวใจหนิ”
“ไม่ต้องบอกก็รู้ค่ะ! ฉันเป็นคนวาดเองก็ต้องรู้ดีค่ะ อย่าพูดออกมาสิคะ”
“ทำไมล่ะ เขินอะไร”
พอแซวไปเบาๆ ฟุยุสึกิก็แกล้งตีเบาๆ ว่า หนวกหูค่ะ
“ต่อไปเป็นดอกไม้ไฟของโซราโนะ คาเครุคุงค่า” ฮายาเสะกล่าว
พอพูดแล้ว ผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็วาดดอกไม้ไฟเหมือนกัน
“คุณโซราโนะวาดด้วยเหรอคะ?”
แสงสีขาวพุ่งขึ้นท้องฟ้ายามราตรี หายวับไป แต่ทันใดนั้น แสงระเบิดออกพร้อมเสียงดังก้อง
“วาดเป็นรูปอะไรคะ?”
ฟุยุสึกิหันมายิ้มแซวพร้อมกับหน้าที่อยู่ใกล้ๆ ใบหน้านั้นถึงแม้จะผอมลงไปหน่อยแต่รอยยิ้มก็ยังสดใสเหมือนเคยจนทำเอาใจเต้นแรง
ดอกไม้ไฟที่ส่องแสงเจิดจรัสบนท้องฟ้ายามราตรีนั่นคือรูปใบหน้าฟุยุสึกิ
“ฟุยุสึกิ”
“อะไรคะ?”
“ฉันไม่เคยพูดออกมาตรงๆ เลย แต่…”
ริมฝีปากเริ่มขยับโดยไม่รู้ตัว
คำพูดที่เก็บเอาไว้มาตลอด
คำพูดที่ถูกซ่อนเอาไว้มาตลอด
คำพูดเหล่านั้นได้ระเบิดออกมาดั่งดอกไม้ไฟ
“รักนะ ขออยู่เคียงข้างเธอไปตลอดได้ไหม”
*
วันนั้น วันที่ฉันจูบกับคาเครุคุง ฉันเป็นลมสลบไปที่ห้องเพราะโลหิตจาง
“หรือว่านี่จะเป็นโรคของคนมีความรัก?” ฉันคิดติดตลกแบบนั้น แต่พอแม่ที่เป็นห่วงพาฉันไปตรวจคลีนิกก็พบเงาบางอย่างในฟิล์มเอกซเรย์
วันถัดมาก็มีการตรวจอย่างละเอียด หมอวินิจฉัยได้ว่าเป็นมะเร็งระยะที่สี่ที่น่าจะมีการแพร่กระจายไปที่อื่น แล้วบอกให้ฉันเข้าแอดมิททันที ตอนที่ฉันกลับบ้านไปเอาของ ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดถึงร่างกายตัวเองเลย เอาแต่คิดถึงเรื่องคาเครุคุง
ถ้าฉันบอกความในใจของฉันไปล่ะ?
ถ้าความรู้สึกของฉันถึงเขาล่ะ? เขาอาจเสียเวลาในชีวิตไปกับฉันก็ได้
ถ้าฉันตายไป เขาอาจกลายเป็นคนมีแผลใจ
ถ้าฉันถอนตัวตอนนี้ ไม่น่าจะสายเกินไป
พอฉันคิดแบบนั้นแล้ว ฉันก็ร้องไห้หนักมาก เพราะฉันชอบเขา แต่ก็ต้องละทิ้งความรู้สึกนั้นไป
ในขณะที่ฉันกำลังเศร้า ไลน์จากยูโกะจังก็เด้งขึ้นมา เหมือนมีวิดีโอแนบมาด้วย ฉันแตะสองครั้งเพื่อเปิดเล่น
“ทุกคนฟังทางนี้หน่อย!” เสียงของคาเครุคุงนี่นา
“ผมมีเรื่องสำคัญจะประกาศ!”
ฉันคิดว่าเขาคงทำอะไรสนุกๆ อยู่แน่ๆ แต่เวลานี้มันแย่ที่สุดเลย
“ผม โซราโนะ คาเคยูว…แหะๆ สะกดผิด”
ฟู่ ฉันคิดว่าคลิปนี้ต้องเก็บไว้เป็นที่ระลึกความรักและการอกหักครั้งแรกแล้วแหละ
แต่แล้ว น้ำตาก็เอ่อล้นขึ้นมาอีก มันช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน
ตอนนั้นเองที่ฉันได้ยินเสียงคาเครุคุงในวิดีโอว่า
“ผม โซนาโนะ คาเครุ ชอบคุณฟุยุสึกิ โคฮารุ ที่สุดเลยยยย! ช่วยคบกับผมได้ไหมครับบบบบ!”
นับเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดเลย
กับเพียงแค่
ーชอบ
จากปากของเขา มันทำให้ฉันรู้สึกดีใจมากเลย
แต่ในเวลาเดียวกันนั่นก็ทำให้ฉันได้รู้ทันทีว่าอย่าดีใจไปมากกว่านี้นะ
เพราะถ้าเดินหน้าไปกว่านี้ คาเครุคุงก็ยิ่งเจ็บ
เพราะงั้น ฉันเลยตัดสินใจ
ฉันจะหายไปจากชีวิตของทุกคน
ถ้าเจอคาเครุคุงอีก
ฉันจะทำเป็นไม่รู้จัก
จนกว่าเขาจะลืมฉันไป
“เจ็บปวดจัง…”
ฉันตระหนักถึงความรู้สึกของตัวเองจากตัวฉันเองเผลอพึมพำออกมาเบาๆ
น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด
ครั้งนี้ทำให้ฉันรู้สึกเกลียดชะตาชีวิตของตัวเอง
ไม่ใช่แค่ชีวิตเท่านั้น แต่ความรู้สึกนี้ก็ถูกพรากไปด้วยหรือเปล่านะ
ความเศร้า ความเสียใจ ความเจ็บปวดท่วมท้น ฉันต้องลืมคาเครุคุงให้ได้ แต่ยิ่งคิด ยิ่งรู้สึกสับสน น้ำตายิ่งไหล ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ความกังวลต่อร่างกายยิ่งทำให้ทรมาน คิดมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด เจ็บปวดเหลือเกิน จนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป
สุดท้าย ฉันก็ทำมันลงไปจนได้
ฉันขว้างโทรศัพท์ไปที่ไหนสักแห่ง แล้วตะโกนออกมาสุดเสียง
*
“ทำไมไม่ยอมลืมฉันไปสักทีคะ!”
ฟุยุสึกิใช้แขนปิดดวงตาแล้วเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ฉัน…”
เธอพยายามจะพูดทั้งที่เสียงสั่นสะอื้น
“คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
เธอสะอื้น
“ยังไงก็…”
──คงต้องตาย
เธอพูดคำพูดโหดร้ายออกมาแบบนั้น
ฟุยุสึกิกลัว…กลัวเหลือเกิน
ด้วยร่างกายที่ไม่อาจมองเห็นวันพรุ่งนี้ การเดินหน้าต่อไปนั้นช่างน่ากลัวจนเกินทน
ความกลัวที่เหมือนกับการวิ่งไปในความมืดมิดของค่ำคืน เธอจึงเลือกที่จะอยู่เพียงลำพัง ไม่อยากดึงใครเข้ามาพัวพัน
แด่เธอ คนสำคัญของผมที่กำลังแบกรับความรู้สึกเหล่านั้นอยู่ ผมทำอะไรเพื่อเธอได้บ้างนะ
“ฟุยุสึกิ มองเห็นไหม?”
ผมจับมือของเธอแล้วนำมันมาสัมผัสที่แก้มของผม
ใบหน้าของพวกเราใกล้กันจนแทบจะจูบกันได้
โดยทั่วไปแล้วฟุยุสึกิมองไม่เห็นหน้าผม
แต่
เธอค่อยๆ สัมผัสลูบไล้ใบหน้าของผมเพื่อรับรู้ถึงสีหน้าของผม
ฟุยุสึกิที่ดูงุนงงกับการกระทำของผมเริ่มขุ่นเคืองเล็กน้อย
“ใช่เวลามา ขำไหมคะ!”
เธอพูดออกมาเสียงดัง
จากนั้น ผมหันไปยิ้มกว้างให้เธอเท่าที่ผมทำได้
“ก็…”
“ก็อะไรคะ ไม่ใช่เวลามาขำสักหน่อยค่ะ!”
ผมพูดต่อ “ก็…”
──มะเร็งกลัวรอยยิ้มใช่ไหมล่ะ?
ฟุยุสึกิทำหน้าเหวอไปครู่หนึ่ง
“อยู่คนเดียวแล้วจะหัวเราะมันยากใช่ไหมล่ะ?”
ฟุยุสึกิยังคงนิ่งตัวค้าง
“อยู่กับฉันนะ แล้วเรามาหยอกล้อกันบ้างจะดีกว่าไหม คนแบบนั้นน่าจะจำเป็นนะ”
เธอหยดน้ำตาลงมาใบหน้า ไม่รู้ว่าเธอหัวเราะหรือร้องไห้ “โม่วว!” เธอพูดเสียงดังอีกครั้ง
“คาเครุคุง..นี่จริงๆ เลย บ้าที่สุด”
ฟุยุสึกิเรียกผมว่า “คาเครุคุง” บางทีเธออาจจะเริ่มเปิดใจบ้างแล้ว
ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่รู้สึกเหมือนใจพองโต น้ำตาเริ่มคลอเบ้าจนมองอะไรแทบไม่เห็น น้ำตาหยดแหมะลงมา
“ว่าแล้ว”
“ว่าแล้วอะไร”
“บางครั้งเธอก็แอบยิ้ม…แถมคราวก่อน เธอยังเรียกที่คั่นหนังสือว่า ‘ที่คั่นหนังสือของฉัน’ เลยไม่ใช่เหรอ เธอเคยบอกว่าทำตั้งแต่เข้ามหาลัย”
“ฉันเคยพูดแบบนั้นด้วยเหรอ?”
“ใช่สิ ฉันจำได้ทุกอย่างที่เธอพูดนะ”
พอพูดจบ เธอก็ทุบไหล่ผม พูดให้ถูกน่าจะเป็นการกำหมัดแล้วตีลงมาโดนไหล่ผมพอดี
ผมร้องเจ็บ โอ้ยๆ ส่วนเธอก็โวยวาย “บ้าๆๆ บ้าที่สุด” นิสัยตรงนี้ของเธอช่างน่ารักจริงๆ
“รู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง”
ฟุยุสึกิทุบตีผมเบาๆ ต่ออีกสองสามครั้ง
“อดทนมาตลอด”
เธอปล่อยน้ำตาหยดลงพื้น
ผมพูดกับฟุยุสึกิว่า
“ขอบคุณนะ”
“ตาบ้า! ขอบคุณอะไรของนาย”
เธอทุบผมแรงพอควร
“ก็เพื่อฉันใช่ไหมล่ะ?”
ฟุยุสึกิเงียบไป
สักพักเธอก็ทุบผมอีกครั้ง “ตาบ้าๆๆ”
“คาเครุคุง”
“หืม?”
“ฉันดีใจนะที่สารภาพรักฉันตั้งสองครั้ง”
“อืม” ผมพยักหน้า เธอตอบกลับว่า “ขอโทษนะ”
“ที่โกหก?”
“นั่นก็ด้วย”
“งั้นเพราะอะไรล่ะ?”
“เพราะสภาพตอนนี้”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หาย”
ผมพูดพลางลูบหัวฟุยุสึกิ
“โอกาสรอดมันต่ำมากเลยนะ”
แด่เธอที่ไม่ยอมแพ้ที่จะฟื้นฟูตัวเอง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวหายแน่”
น้ำตาของฟุยุสึกิเริ่มหยดอีกครา
เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า “อื้ม จะพยายามนะ”
“ฉันเชื่อเธอ”
“จะพยายามนะ เชื่อฉันด้วยนะ”
ฟุยุสึกิพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาและพยายามยิ้มขณะที่พูดว่า “จะพยายามนะ” ซ้ำไปมา
“ฉันอาจจะไปฮอกไกโดด้วย”
“ไม่ได้ ไปเรียนมหาลัยเถอะนะ”
“ก็ไปช่วงปิดเทอมไง”
“ค่าเดินทางมันแพงนะ”
“เดี๋ยวฉันทำงานพิเศษหาเงินเอง”
เราจับมือกันขณะที่หยอกล้อไปด้วยกัน จากนั้นเราก็พูดคุยถึงสิ่งที่อยู่ในใจที่ไม่เคยพูดออกมาให้กันและกันฟัง แล้วหัวเราะไปด้วยกัน