ผมคิดมาตลอดว่าตัวเองจะไม่พึ่งพาใคร แต่กลับกลายเป็นว่าความรู้สึกนั้นเสมือนกับการป้องกันตัวเองซะมากกว่า และสิ่งที่ผมตกใจมากกว่าคือ สิ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในตัวผมนั้นดื้อรั้นถึงขนาดนี้
ถึงแม้ว่าผมจะร้องห่มร้องไห้ไปมากแค่ไหน ก็ยังไม่รู้จักเข็ดแล้วไปโรงพยาบาลอีกครั้ง
วันนี้เป็นวันอ่านนิทานให้เด็กๆ ฟัง เสียงอ่อนโยนของฮายาเสะที่ยกโทนเสียงขึ้นหนึ่งระดับดังก้องในห้อง เด็กๆ ต่างพากันจดจ่อกับโลกแห่งนิทาน
“เจ้าหญิงกินผลไม้ลูกเล็กเข้าไปหนึ่งคำ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา”
เจ้าหญิงกิน “ผลไม้แห่งความจริง” ที่แม่มดสร้างขึ้นมาเข้าไป ร้องห่มร้องไห้ออกมาแล้วสารภาพว่าที่พูดโกหกไปก็เพราะห่วงเจ้าชาย ฉากนี้ทำเด็กบางคนถึงกับน้ำตาคลอ
“และแล้วเจ้าหญิงกับเจ้าชายก็ได้ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข”
เรื่องราวได้จบลงอย่างแฮปปี้เอ็นด์ โดยหลังเจ้าชายได้รู้ความจริงเข้า เขาทำทุกวิถีทางจนทำให้เรื่องราวจบลงอย่างมีความสุข เด็กๆ ต่างตั้งหน้าตั้งตาฟังถึงตอนจบด้วยความกระตือรือร้น
แม้ว่าเด็กๆ จะดูสนุกสนาน แต่ฟุยุสึกิที่นั่งอยู่ข้างหลังกลับดูทุกข์ทรมานเล็กน้อย ราวกับหายใจไม่ทั่วท้อง
หลังจากเวลานิทานจบลงก็เป็นเวลาของการเล่นเปียโน
ฟุยุสึกิ เล่นพลาดบ่อยจนต้องเล่นบ่อยอยู่หลายครั้ง
วันถัดมา
ผมมายังโรงพยาบาล ไม่เห็นฟุยุสึกิ ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะไม่สบาย
วันต่อมา
ผมก็ยังไม่เห็นเธอ แต่ผมรู้ว่าเธอพักอยู่ไหน เพราะเคยแอบตามเธอไปจนถึงหน้าห้องในวันที่เห็นเธอดูโซเซแม้ว่าจะไม่ได้ทักเธอเลย ในตอนนั้นผมก็คิดว่าตัวเองทำตัวเหมือนพวกสต๊อกเกอร์ จนรู้สึกกลัวตัวเองขึ้นมา แต่ตอนนี้กลับคิดว่านั่นเป็นเรื่องดีแล้ว
หลังจากแยกกับฮายาเสะและนารุมิไป ผมก็ตรงมายังห้องผู้ป่วยของฟุยุสึกิ
สมแล้วที่เป็นโรงพยาบาลยักษ์ใหญ่ ห้องผู้ป่วยมีแต่ห้องเดี่ยว ห้องแต่ละห้องมีป้ายชื่อที่ระบุชื่อคนไข้ ผมขึ้นไปที่ชั้น 7 ฝั่งตะวันตก กล่าวคือถัดไปหนึ่งชั้นจาก Kids Room ซึ่งเป็นตำแหน่งของห้องของเธอโดยบริเวณหน้าห้องมีป้ายชื่อติดว่า “คุณฟุยุสึกิ โคฮารุ”
ขณะที่ผมกำลังจะเคาะประตูนั้นเอง ก็ได้มีเสียงดังมาจากข้างในห้อง
「จะตัดจริงๆ เหรอ?」
「อืม รบกวนด้วยนะ」
ผมแอบแง้มบานประตูเลื่อนออกเล็กน้อยเพื่อแอบดูด้านใน แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงปลายเตียงสีขาว ไม่เห็นร่างของเธอ เห็นเพียงผู้หญิงสวมชุดกิโมโน ถึงผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องชุดมากสักเท่าไหร่ แต่เท่าที่ดูผิวเผินก็พอจะบอกได้ว่ามันเป็นกิโมโนที่มีราคาพอสมควร อย่างเนื้อผ้าที่สวมอยู่ดูอ่อนนุ่ม มีสีฟ้าครามและยังมีลวดลายของพัดอยู่อีก
ผู้หญิงที่สวมชุดกิโมโนคนนั้นเหมือนกับฟุยุสึกิอยู่ไม่น้อย เพียงแต่เป็นฟุยุสึกิในเวอร์ชั่นที่อ่อนโยนแล้วตาตกกว่าเล็กน้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมคิดว่าเธอคนนี้น่าจะเป็นแม่ของเธอ ตอนนี้เธอกำลังถือกรรไกรไว้ในมืออยู่
แม่ของฟูยุสึกิเหมือนจะสังเกตเห็นว่ามีคนแอบมองอยู่ จึงหันมามองมาที่ประตู ครั้นได้สบตาเข้าหากันใจผมเต้นตึกตัก แต่อีกฝ่ายกลับทำสีหน้ายิ้มแย้มแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากแล้วส่งเสียง ‘ชู่ว ‘ ออกมาราวกับอยากให้ผมเงียบ
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวแม่จะไปซื้อน้ำมาให้ก่อนนะ”
เธอพูดกับฟุยุสึกิเช่นนั้น แล้วเดินมายังประตูทางเข้าด้วยความร่าเริง จากนั้นก็หันมาหาผมด้วยความท่าทางสนอกสนใจ
“(เป็นเพื่อนของโคฮารุหรอ?)” แม่ของฟูยุสึกิพูดกระซิบ
“อ๊ะ ใช่ครับ” ผมตอบกลับ จากนั้นเธอก็ยกนิ้วชี้ขึ้นบอก ชู่ว อีกครั้งเพื่อให้ผมเงียบ
“(ไปคุยกันตรงนั้นดีกว่า เดี๋ยวโคฮารุรู้ตัว)”
เธอยิ้มพลางถือกรรไกรแนบอก ทั้งที่จริงๆ แล้วจะวางทิ้งไว้ก็ได้ แต่เธอกลับเลือกที่จะไม่นำนิ้วออกจากรูสอดนิ้วตรงด้ามกรรไกร และด้วยท่าทางที่ดูแปลกแต่ก็ดูเป็นธรรมชาติอย่างบอกไม่ถูก ทำให้ผมนึกคิดว่าสมแล้วที่เป็นแม่ฟุยุสึกิ
เรานั่งคุยกันบนโซฟาหน้าตู้ขายน้ำอัตโนมัติ เธอมองมาที่ผมแล้วส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร บางทีอาจจะเพราะเธอเหมือนกับฟุยุสึกิมาก จึงทำให้ผมรู้สึกแปลกที่ได้สบตากับคนที่คล้ายคลึงกับเธอ
“เป็นเพื่อนของโคฮารุหรอคะ?”
“ใช่ครับ โซราโนะ คาเครุ เป็นเพื่อนมหาลัยเดียวกันครับ”
“มหาลัยหรอ?” เธอทวนคำนั้นราวกับไม่ค่อยเชื่อ
“โคฮารุยังเรียนมหาลัยอยู่สินะคะ” เธอพูดด้วยความโล่งใจ
“ใช่ครับ เป็นเพื่อนร่วมคณะครับ”
“ค่อยยังชั่ว~”
แม่ของฟุยุสึกิถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนเปิดปากพูดต่อ
“ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล โคฮารุบอกว่าไม่ได้เรียนมหาลัย แม่นึกว่าตัวเองจำผิดไปซะอีก”
“พูดแบบนั้นกับคนที่บ้านด้วยหรอครับ?”
“…เหมือนกับลืมเรื่องของพวกเราไปหมดแล้วเลย”
เมื่อผมเผลอพูดแบบนั้นออกไป แม่ของฟุยุสึกิก็เบิกตากว้าง
ผมพูดอะไรไม่ดีออกไปรึเปล่า บางทีผมควรไม่พูดอะไรแบบนี้ออกไป ผมรู้สึกผิดที่พูดเช่นนั้นออกไป แต่เธอกลับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“งั้นเหรอ…ทำให้โซราโนะคุงเจ็บปวดไปด้วยสินะเนี่ย”
สีหน้าไร้อารมณ์ของเธอทำให้ผมรู้สึกปวดใจ
“ผมน่ะไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ไม่จริงหรอกใช่ไหมล่ะคะ ต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”
เธอยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “งั้นเหรอคะ” ผมนึกสงสัยว่าทำไมยังยิ้มออกมาได้อยู่กันนะ
ผมพลางคิดแต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“แล้วคุณแม่ไม่เจ็บปวดบ้างเหรอครับ?”
“แหม่ เรียกว่า ‘คุณแม่’ ซะด้วย อย่าบอกนะว่า…”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ!” ผมรีบแก้ตัว “ล้อเล่นจ๊ะๆ” เธอยิ้มแล้วตอบเช่นนั้น พร้อมหัวเราะเบาๆ ไม่หยุด การหัวเราะของเธอมันช่างคล้ายคลึงกับฟุยุสึกิเหลือเกิน ผมพลางคิดเช่นนั้น
“แม่ไม่รู้ว่าจะพูดแบบนี้กับโซราโนะคุงดีรึเปล่านะ”
เธอเว้นช่องคำแล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
“เจ็บปวดสิคะ”
น้ำเสียงนั้นทำให้ผมตัวแข็งทื่อ
“แม่รู้สึกผิดที่ทำให้เด็กคนนั้นเกิดมาพร้อมร่างกายที่แข็งแรงกว่านี้ไม่ได้เลย แต่ー”
“แต่…ถ้าคนเป็นแม่เอาแต่ทำหน้าเศร้าอยู่อย่างนั้น เด็กคนนั้นก็จะรู้สึกเสียใจมากกว่าจริงไหมล่ะคะ เพราะไม่ว่ายังไงก็ต้องผ่านมันให้ไปได้อยู่แล้ว แม่เลยพยายามยิ้มอยู่ข้างๆ เด็กคนนั้นเสมอ” เธอพูดต่อ
น้ำตาคลอที่ดวงตาของเธอทำสายตาผมพร่ามัวตามไปด้วย
“เพราะงั้น แม่อยากให้เธออยู่เคียงข้างเด็กคนนั้น ถึงแม้มันจะลำบากไปหน่อย แต่ก็อยากให้เธอคอยยิ้มเป็นกำลังใจเด็กคนนั้นอยู่ข้างๆ ”
“ได้ครับ” ผมตอบกลับเช่นนั้น จากนั้นเธอยิ้มขอบคุณพลางขยับกรรไกรในมือ
“ว่าแต่ ทำไมถึงถือกรรไกรไว้หรอครับ?”
เธอหันไปมองกรรไกรแล้วตอบว่า
“เด็กคนนั้นอยากให้ตัดผมให้น่ะ ผลจากยาน่าจะทำให้ผมร่วง นี่เป็นครั้งที่ 3 แล้ว เด็กคนนั้นคงรู้อยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“…งั้นเหรอครับ ทั้งๆ ที่ไว้ผมยาวสวยมากแท้ๆ”
“แต่ไม่ได้ตัดทิ้งนะ เคยได้ยินเรื่องบริจาคเส้นผมไหม?”
“บริจาคเส้นผมหรอครับ?”
ผมหยิบมือถือออกมาแล้วลองค้นหาดู ดูเหมือนว่าเป็นการบริจาคเส้นผมให้กับเด็กๆ ที่สูญเสียเส้นผมจากอาการป่วย ซึ่งเส้นผมที่ถูกบริจาคจะถูกนำไปทำเป็นวิก แจกจ่ายให้กับผู้ต้องการฟรีๆ ซึ่งมีเด็กจำนวนมากที่รอรับวิกอยู่
“ถ้าผมฟุยุสึกิร่วงหมด เก็บไว้ทำวิกเองก็น่าจะดีนะครับ”
เมื่อผมพูดเสนอเช่นนั้น อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าแล้วตอบ
“เด็กคนนั้นเคยบอกไว้ว่า เพราะตัวเธอก็เคยเศร้าใจที่ผมร่วงหมดไปเหมือนกัน ก็อยากส่งต่อเส้นผมของตัวเองให้กับเด็กๆ ที่กำลังทุกข์พวกนั้นน่ะ”
“ก็จริงนะครับ”
พอมาถึงตรงนี้ ผมเริ่มพูดต่อไม่ออก
ความเป็นตัวของฟุยุสึกิปรากฏชัดเจนแจ่มแจ้ง
ผมต้องสูดหายใจลึกๆ เพื่อกลั้นน้ำตา
“ถ้าเป็นเธอคนนั้นล่ะก็ เธอก็คงพูดแบบนั้นจริงๆ ครับ”
“ใช่แล้วล่ะ อาจจะฟังดูเหมือนแม่หลงลูกก็เถอะ แต่แม่คิดว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกสาวที่ยอดเยี่ยมมากเลยล่ะ”
“แล้วแวะมาเยี่ยมอีกนะคะ”
เธอยิ้มแล้วโบกมือลาพลางถือกรรไกรไว้ในมือ ก่อนเดินกลับเข้าไปในห้องผู้ป่วย
*
“วันนี้เรามาวาดรูปดอกไม้ไฟลงบนกระดาษแผ่นนี้กันเถอะ”
Kids Time ในวันนี้ เราวางแผนให้เด็กๆ วาดรูปดอกไม้ไฟกัน
ไม่ใช่ดอกไม้ไฟ เป็นดอกไม้ไฟที่เรียกว่า “ดอกไม้ไฟรูปทรง” ซึ่งเป็นดอกไม้ไฟที่สามารถทำเป็นรูปหน้าตายิ้ม ดาว หรือรูปอื่นๆ ได้ โดยพวกเราตั้งใจให้เด็กๆ เป็นคนออกแบบรูปร่างลวดลายต่างๆ
หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้า หลังจากที่ถอดรหัสที่คั่นหนังสือของฟุยุสึกิที่ห้องสมุดออกจนหมด ผมก็ได้โทรหาฮายาเสะ
ทันทีที่เธอรับสาย ผมก็พูดขึ้นทันทีว่า
“มาจัดงานดอกไม้ไฟกันเถอะ”
ผมกำลังปรึกษาฮายาเสะที่เป็นกรรมการงานของมหาลัย ว่าเราควรจะจุดดอกไม้ไฟที่ตั้งใจไว้สำหรับงานมหาลัย
『ถ้าเราสามารถกระตุ้นความทรงจำของเธอได้ อาจจะพอมีหวังบ้าง』
ผมถ่ายทอดคำพูดของหมอให้เธอฟัง และเล่าแผนการที่จะจัดงานดอกไม้ไฟที่ฟุยุสึกิไม่เคยได้เห็นมาก่อน
เป็นการวางแผนที่ใช้เวลาหลายวันพอสมควร
พอฮายาเสะกับผมคุยกันถึงเรื่องแผนการที่จะจัดงานดอกไม้ไฟกับเด็กๆ ที่โรงพยาบาล ผมก็ได้ไปปรึกษารุ่นพี่โคโตมุงิ ประธานชมรมดอกไม้ไฟ และในที่สุดไอเดีย “งานดอกไม้ไฟสำหรับเด็กๆ ” ได้ถือกำเนิดขึ้น พวกเราจึงนำไอเดียนี้ไปเสนอให้กับทางมหาลัย บริษัทผลิตดอกไม้ไฟ และบริษัทที่เกี่ยวข้อง จนในที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่จะจัดในงานดอกไม้ไฟฤดูร้อนแทนงานมหาลัยที่ถูกเลื่อนออกไป
เด็กๆ ต่างพากันวาดรูปดอกไม้ไฟกันอย่างสนุกสนาน ด้วยการลงสีเทียนและสีไม้ในแบบของพวกเขาเอง
ตั้งแต่วันนั้น ฟุยุสึกิไม่ได้มาที่ห้องเด็กเล่นอีกเลย
จากคำเล่าของพยาบาลที่สนิทกับเธอ เธอบอกว่าฟุยุสึกินอนพักอยู่ในห้องผู้ป่วย
และเนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนตัว ผมจึงไม่สามารถรับรู้ถึงอาการป่วยของเธอได้
ครั้น Kids Time สิ้นสุดลง ฮายาเสะก็ยื่นกระดาษและสีไม้ให้กับผม
“ฝากด้วยนะ”
“อิ้ม” ผมพยักหน้าตอบรับแล้วแยกกับเธอไป
ฮายาเสะถือรูปที่เด็กๆ วาดกลับไปยังมหาลัย ส่วนผมมุ่งหน้าไปที่ห้องที่ฟุยุสึกิพักรักษาตัวอยู่
ขณะเดินไปยังห้อง ผมก็ได้สวนทางกับคุณแม่ของฟุยุสึกิ ซึ่งเขาได้ยิ้มทักทายผม
“ขอบคุณมากนะ”
“ไม่เลยครับ ทางนี้ต่างหากที่มารบกวนอยู่บ่อยๆ ”
“ฝากดูแลโคฮารุด้วยนะจ๊ะ แม่ต้องออกไปทำธุระสักพักนึงน่ะ”
ในมือของคุณแม่มีโทรศัพท์ของฟุยุสึกิที่หน้าจอแตกราวกับใยแมงมุม
“ไม่นานมานี้ เด็กคนนั้นเผลอทำมันพังในห้องน่ะ โชคดีที่เพิ่งได้เครื่องใหม่รุ่นเดียวกันมาพอดีเลยกำลังจะออกไปเอาน่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
“อ๊ะ แล้วก็นี่ หน้ากากอนามัยกับสเปรย์ฆ่าเชื้อ บางทีเด็กคนนั้นอาจจะหลับอยู่ก็ได้”
คุณแม่ยื่นหน้ากากอนามัยมาให้ผมพร้อมกับฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อที่มือผม สิ่งเหล่านี้ราวกับบ่งบอกว่าอาการของเธอกำลังแย่ลง
ผมยืนหายใจลึก ๆ อยู่หน้าห้อง
หลังจากสูดหายใจลึกเพื่อทำให้จิตใจสงบแล้ว ผมก็เคาะประตู
แต่ถึงเคาะไปก็ไม่มีการตอบกลับ
“ขออนุญาตคร้าบ-”
ผมค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องราวกับโจรขโมย แล้วก็พบฟุยุสึกิกำลังนอนหลับไหลอยู่ เธอนอนอยู่บนเตียงปรับระดับได้ โดยมีพนักพิงยกขึ้นทำให้เธออยู่ในท่านั่ง
หน้าต่างเปิดไว้ ลมเย็นจากด้านนอกพัดเข้ามาทำให้ชวนรู้สึกสดชื่น ซึ่งหาได้ยากในตัวเมือง
ผมสังเกตเห็นว่าผมของฟุยุสึกิถูกตัดสั้นลงไปแล้ว ปกติผมเธอยาวสลวยเหมือนหญิงสาวดั่งกุลสตรีในตระกูลชั้นสูง แต่ตอนนี้กลายเป็นสาวผมสั้นเพียงระดับหู
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ปล่อยให้ใบหน้ารับลมที่พัดโชยมาจากทางหน้าต่าง
เสียงหายใจแผ่วเบาของฟุยุสึกิดังมาจากด้านข้าง
ใบหน้าของเธอขณะหลับใหลนั้นดูราวกับเจ้าหญิงสโนว์ไวท์
ยิ่งมองมากเท่าไหร่ ความรู้สึกรักใคร่ก็ยิ่งเอ่อล้นอยู่ในอก
ผมพยายามไม่ส่งเสียงรบกวน ไม่อยากปลุกเธอ จึงจ้องมองใบหน้าที่แสนสงบของเธออยู่เช่นนั้น
หากช่วงเวลาสงบสุขนี้คงอยู่ตลอดไปได้ก็คงดี
ขณะที่ผมคิดเช่นนั้น ความหนาวเย็นก็ได้แผ่ซ่านเมื่อคิดถึงโรคร้ายที่ค่อยๆ กัดกินร่างฟุยุสึกิ
ทำไมโชคชะตาถึงเลือกฟุยุสึกิให้ต้องเจอแบบนี้กันนะ
โอกาสที่เธอจะมีชีวิตรอดในปีนี้มีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
เมื่อคิดถึงตัวเลขนั้น ใบหน้าอันสงบของเธอกลับทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัว
ความตายแว่บเข้ามาในหัว และความสิ้นหวังจากการสูญเสียฟุยุสึกิก็โหมกระหน่ำใส่ผม
สายลมที่พัดมาจากหน้าต่างซึ่งเคยรู้สึกเย็นสบายกลับทำให้รู้สึกหนาวเหน็บ ผมจึงค่อยๆ เดินไปปิดหน้าต่าง
เสียงเอี๊ยดเบาๆ ดังขึ้นขณะปิดหน้าต่าง ทำให้ผมใจหายวูบ
และเสียงนั้นทำให้ฟุยุสึกิสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยืดตัว ก่อนส่งเสียงงัวเงีย
“คุณแม่เหรอคะ?”
ฟุยุสึกิลืมตาขึ้นและมองมาที่ผม หัวใจผมเต้นแรงเหมือนถูกจับได้ แต่เธอกลับไม่ทันสังเกตเห็นผมเลย
“เปิดหน้าต่างไว้เถอะค่ะ ลมเย็นสบายดี”
ฟุยุสึกิพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ซึ่งเป็นด้านที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ผมเกือบจะหัวเราะออกมาเมื่อมองแผ่นหลังเธอขณะพลิกตัว แต่ดูเหมือนเธอจะเริ่มสงสัยเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองจากผู้เป็นแม่
“คุณแม่? หรือว่า…คุณพยาบาลเหรอคะ?”
เสียงเธอเริ่มแฝงไปด้วยความกังวล ผมจึงเอ่ยตอบ
“ขอโทษนะ ผมเอง โซราโนะ”
ฟุยุสึกิทำหน้าฉงน ก่อนจะเบะปากเล็กน้อยราวกับเพิ่งนึกออกแล้วเอื้อมหาปุ่มเรียกพยาบาล
“เดี๋ยวก่อนๆ!”
“ทำไมถึงเข้ามาโดยพลการล่ะคะ”
“ก็พักนี้เธอไม่ค่อยออกมาให้เห็น เลยเป็นห่วงน่ะ”
“บอกแล้วไม่ใช่หรอคะ ว่าให้ลืมเรื่องนั้นไปซะก็ได้นี่นา”
“ก็แค่มาเยี่ยมเอง แม่เธอขอให้ฉันมาเยี่ยมนะ”
“เจอคุณแม่ฉันด้วยเหรอคะ?”
ฟุยุสึกิทำท่าเหมือนจะโกรธ เธอยืดตัวขึ้น แต่ก็ต้องกุมหน้าอกพลางขดตัวด้วยความเจ็บปวด
แขนซ้ายของเธอยังคงต่อกับสายให้น้ำเกลือที่เขียนว่า Saline ห้อยอยู่บนที่แขวน
“ไหวไหม”
“ขอเวลาสักหน่อยค่ะ”
ฟุยุสึกิหายใจแรง เหงื่อซึมออกและใบหน้าซีดเซียว และผมก็เพิ่งสังเกตว่าเธอผอมลงไปกว่าเดิมมาก
“ขอโทษนะ”
ผมเอ่ยขอโทษโดยไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“คุณโซราโนะนี่ดื้อจริงๆ นะคะ จะทำยังไงให้คุณถึงจะลืมฉันได้เนี่ย”
“ขอโทษ”
ผมขอโทษอีกครั้งโดยไม่รู้ว่าทำไม
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ”
“โอเคแน่นะ?”
“ทรมานค่ะ”
ฟุยุสึกิหันมาทางผมด้วยดวงตาที่มองไม่เห็นแล้วส่งรอยยิ้มบางๆ มา
ไม่ใช่รอยยิ้มที่เธอเคยยิ้มอย่างเบิกบาน แต่เหมือนมีความเศร้าแฝงอยู่
“เดี๋ยวนี้แค่ดื่มน้ำก็อาเจียนออกมาแล้วค่ะ เลยต้องให้น้ำเกลือแทน”
“เป็นผลข้างเคียงเหรอ? ยาที่ใช้แรงมากเลยใช่ไหม?”
“แรงมากค่ะ เม็ดเลือดขาวลดลงไปเยอะ แถมในปากก็เต็มไปด้วยแผลร้อนใน”
ขณะที่เธอเล่า ร่างเล็กๆ ของเธอหายใจแรงพร้อมกับมีเหงื่อเย็นออก
“รู้สึกขยะแขยงหรือเปล่าคะ?”
──ลืมฉันไปซะดีกว่า
ฟุยุสึกิพูดต่อด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“ไม่เลย ไม่รู้สึกอะไรแบบนั้นเลย”
“…จริงๆ เลย คุณนี่ไม่ยอมแพ้จริงๆ เลยนะคะ”
ฟุยุสึกิหันหน้าหนีเล็กน้อย แล้วพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา
“หมอบอกว่าประมาณอาทิตย์หน้าผมของฉันก็น่าจะเริ่มร่วงแล้วค่ะ”
“งั้น..เหรอ”
“นั่นแหละค่ะ สิ่งที่ฉันกลัวที่สุด”
วันนี้ฟุยุสึกิดูจะพูดเยอะเป็นพิเศษ
บางทีเธออาจรู้สึกว่าถ้าไม่พูดสิ่งที่กลัวออกมา เธอจะต้องแหลกสลายไป หรือบางทีเธออาจจะเพียงพูดประชดตัวเอง
“ฉันมองไม่เห็น ก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นยังไง”
เสียงของเธอเริ่มแห้งผาก ราวกับจะถ่ายทอดความเจ็บปวดนั้นมาหาผม
“จินตนาการจากการสัมผัสมันเจ็บปวดมากเลยค่ะ”
ฮือ….สุดท้ายเธอก็เริ่มสะอื้น
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นฟุยุสึกิร้องไห้
ความรักที่ผมมีให้เธอกลับถูกบดบังด้วยความรู้สึกเจ็บปวดราวกับคอถูกบีบรัด
จากนั้น ฟุยุสึกิก็พึมพำออกมาด้วยเสียงเบาแผ่วว่า “อยากตาย”
ผมตกใจ ว่านี่คือฟุยุสึกิคนที่เคยยิ้มแย้มอยู่ตลอดจริงๆ หรอ
หรือแท้จริงแล้วเป็นแค่ภาพลวงตาที่ผมสร้างขึ้นมาเองกัน
คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ ผู้ที่กำลังตัวสั่นไหวตอนนี้ คือฟุยุสึกิจริงๆ ใช่ไหม
ผมทำอะไรได้บ้าง ผมควรจะทำอะไรได้บ้าง
ในสถานการณ์แบบนี้ ผมควรลูบหลังเธอไหม
ในเสี้ยววินาทีนั้น ผมลังเลที่จะสัมผัสเธอ
แต่ผมไม่อยากอยู่เฉยๆ ในขณะที่คนที่ผมรักกำลังร้องไห้
ผมจึงค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะที่หลังของเธอ
เมื่อผมแตะไปที่หลังของเธอ ฟุยุสึกิสะดุ้งเล็กน้อย ผมกังวลว่าเธอจะไม่ชอบรึเปล่า แต่กลับไม่มีการโต้ตอบอะไร ผมจึงพยายามทำเสียงให้เงียบสงบที่สุด
“มหาลัยอ่ะนะ กำลังมีงานดอกไม้ไฟให้เด็กๆ ด้วยล่ะ”
“ดอกไม้ไฟให้เด็กๆ หรอคะ?”
“เป็นส่วนหนึ่งของโครงการอาสาสมัครของโรงพยาบาลน่ะ เป็นการเอาภาพวาดของเด็กๆ มาทำเป็นดอกไม้ไฟ มหาลัยเราจะจัดงานนี้เร็วๆ นี้ล่ะ”
ผมค่อยๆ แนะนำเพื่อให้ฟุยุสึกิได้เข้าใจ
“แล้วก็ฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วย ฉันอยากให้เธอช่วยวาดรูปสักรูปหนึ่งหน่อยได้ไหม?”
“ฉันเหรอ?”
“อิ้ม วันนี้เราจะรวบรวมภาพวาดแล้วส่งให้บริษัททำดอกไม้ไฟ มันจะใช้เวลาผลิตและเตรียมประมาณ 3 เดือนน่ะ งานนี้จะจัดปลายเดือนกันยานะ” ผมพูดต่อ
“เพราะงั้น มาตั้งเป้าหมายไปด้วยกันนะ อีกสัก 3 เดือนจะต้องดีขึ้นแน่ๆ”
“ทำไม…” ฟุยุสึกิพูดขึ้นมาเสียงดัง
“ทำไมถึงพูดออกมาแบบนั้นคะ!”
เสียงของฟุยุสึกิดังกว่าปกติ
“ทั้งๆ ที่ฉันบอกว่าเจ็บปวดแท้ๆ แต่ทำไมถึงบอกให้สู้ต่อไปอีก…ทำไมถึงพูดจาโหดร้ายแบบนั้นล่ะคะ”
เธอก้มหน้าร้องไห้ น้ำตาร่วงหล่นลงบนผ้าปูที่นอนสีขาว
“ลองลูบนี่ดูหน่อยได้ไหม?”
ผมจับแขนฟุยุสึกิที่มองไม่เห็นไปลูบกับบางสิ่ง
มันคือที่คั่นหนังสือสีเหลืองที่ผมเก็บมาได้
ทันทีที่ฟุยุสึกิลูบ เธอก็มีสีหน้าประหลาดใจ
“นี่มัน…ของฉันไม่ใช่หรอ”
“ขอโทษนะ อ่านแล้วล่ะ”
“…ขี้โกง…ขี้โกงไปแล้ว”
ฟุยุสึกิครํ่าครวญอีกครา แก้มของเธอเปียกไปด้วยน้ำตา
ผมจับไหล่เธอ ดึงความรู้สึกเชิงบวกทั้งหมดที่มีออกมาให้เป็นคำพูด
“มีเป้าหมายไว้จะดีกว่านะ”
อยากปลอบประโยนเธอ แด่เธอผู้ที่แม้จะบอบช้ำแต่ก็ยังบริจาคเส้นผมให้กับผู้อื่น
“มีเป้าหมายจะดีกว่าการร้องไห้แบบนี้นะ มาสู้ด้วยกันเถอะ ถึงแม้ความเจ็บปวดจากการต่อสู้กับโรคจะบรรเทาไม่ได้ แต่ฉันจะมาเยี่ยม จะรับฟัง จะให้กำลังใจให้เธอเอง เพราะงั้น…”
─มาสู้ด้วยกันเถอะ
แม้รู้ว่าเธอมองไม่เห็น แต่ผมก็ยังส่งยิ้มให้เธอ
รอยยิ้มอาจส่งผ่านเสียงได้ ผ่านบรรยากาศได้ ขอเพียงส่งไปถึงเธอแค่ 1% ก็พอ ผมพยายามยิ้มให้และให้กำลังใจเธอ
“คิดว่าไหวไหม?”
“ไหว”
“ฉันจะพยายามได้ไหมนะ”
ฟุยุสึกิที่ร้องไห้จนหน้าตาเลอะเทอะ ผมลูบหลังเธอพร้อมพูดว่า ได้สิ ได้แน่ๆ
“…ฉันเองก็”
ฟุยุสึกิพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ฉันเองก็วาดดอกไม้ไฟได้เหมือนกันใช่ไหมคะ”
“แน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้น สัญญานะคะว่าถ้าฉันวาดเสร็จแล้ว จะพับกระดาษแล้วจะไม่ดูข้างใน”
“ได้สิ”
“หันหลังด้วยนะ”
“โอเค”
“หันหลังแล้วใช่ไหม?”
“หันอยู่แล้วน่า”
ผมยื่นสีไม้ตามคำขอของเธอ จากนั้นเธอก็ลงมือวาดภาพทันที
“อยากให้ช่วยไหม?”
“แค่นี้ฉันวาดเองได้”
จากนั้นฟุยุสึกิก็พับกระดาษหนาถึง 8 ทบ แล้วพูดกำชับว่า ห้ามเปิดดูเด็ดขาด
*
และแล้ววันหยุดฤดูร้อนซึ่งตรงกับวันแห่งท้องทะเลก็ได้เริ่มขึ้น
หลายมหาลัยมักจะมีวันหยุดให้นักศึกษาช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน
มหาลัยที่ผมอยู่กำหนดวันหยุดฤดูร้อนให้ตรงกับโรงเรียนประถม มัธยมต้น และมัธยมปลาย เพื่อให้นักศึกษาสาขานารุมิได้ไปฝึกภาคทะเลเป็นเวลา 1 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมถึงปลายเดือนสิงหาคม เมื่อเทียบกับมหาลัยอื่นแล้ว นับเป็นกำหนดการที่แปลกกว่าชาวบ้านเขา หนำซ้ำการสอบเทอมแรกจะเริ่มขึ้นในเดือนกันยายนหรือก็คือหลังวันหยุดฤดูร้อนจบลงนั่นเอง
วันนี้อากาศร้อนแจ่มใสช่างสมชื่อวันแห่งท้องทะเลเสียจริง
เราทั้งสามคนไปทำกิจกรรมอาสาและเล่นกับเด็กๆ ไปพร้อมๆกัน ซึ่งดูเหมือนว่านารุมิจะเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ เอามากๆ เด็กผู้ชายแสบๆ ต่างพากันวิ่งเข้าไปหาเขาแล้วตะโกนเรียกว่า “เพ่ชาย!” ส่วนผมนั้นถูกเรียกว่า “(คุณ)พี่ชาย” ซึ่งเป็นแบบที่เป็นผู้ใหญ่กว่า
หลังจาก Kids Time สิ้นสุดลง ฮายาเสะ นารุมิ และผมก็ไปเยี่ยมฟุยุสึกิที่ห้อง
เธอผอมลงทุกครั้งที่เจอกัน
“เป็นยังไงบ้าง?” ผมถามออกไป
“ก็นิดหน่อย”
ฟุยุสึกิยิ้มตอบอย่างคลุมเครือ ไม่รู้ว่าอาการดีขึ้นเล็กน้อยหรือแย่ลง
ถึงคำพูดที่เคยฟังดูกระด้างของฟุยุสึกิดูเหมือนจะนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย
ถึงอย่างนั้น เธอยังดูทรมาน
นารุมิเล่าเรื่องเกี่ยวกับที่ทำงานของเขาด้วยสำเนียงคันไซราวกับเป็นเรื่องราววีรกรรม ส่วนฮายาเสะก็ตอบกลับด้วยท่าทีเย็นชา ฟุยุสึกิได้แต่ยิ้มเหมือนเป็นรอยยิ้มเพื่อให้กำลังใจเท่านั้น
ระหว่างทางกลับจากการเยี่ยม แค่เดินไปตามถนนก็ทำเอาเหงื่อออกแล้ว
ด้วยเหตุนั้น พวกเราตัดสินใจหยุดพักที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งแล้วซื้อไอศกรีมกินกัน นารุมิเลือกไอศกรีมโซดา ผมกับฮายาเสะจึงเลือกตาม จากนั้นเราสามคนเดินเคียงข้างกันไปพร้อมกับกินไอศกรีมไปพลางๆ
ครั้นกัดไอศกรีมแท่งสีฟ้าเย็นเข้าปาก ความเย็นและรสชาติที่คุ้นเคยของโซดาก็แผ่ซ่านไปทั่วปาก
กร๊อบ นารุมิกัดส่วนล่างของไอศกรีมที่กำลังจะละลาย
แม้เป็นช่วงบ่าย แต่พระอาทิตย์ก็ยังอยู่สูง พวกเรากินอย่างทุลักทุเลไม่ให้ไอศกรีมละลาย แต่ว่านั่นก็สายไปแล้วสำหรับฮายาเสะ
“ฮายาเสะ อย่ากินหกสิ”
ครั้นผมเตือน เธอก็หันมาพูดว่า “ก็ไหลลงมาตลอดนี่นา” พร้อมหันหน้าไปหานารุมิ
“อย่าหันมาทางนี้สิ”
พวกเราทั้งสามหัวเราะด้วยอารมณ์ขบขันขณะเดินไปต่อ
“อย่าขำสิ!”
ฮายาเสะทำหน้าบูดหลังไอศกรีมส่วนที่เหลือหล่นลงบนพื้น
พวกเราต่างมองกันพร้อมพูดว่า “แย่จังน้า” แล้วหัวเราะกันอย่างไร้เหตุไร้ผล อาจจะเพราะตอนเยี่ยมพวกเราต่างเงียบเก็บอารมณ์กัน การได้หัวเราะออกมาในช่วงเวลาแบบนี้เลยรู้สึกได้ปลดปล่อยขึ้นมา
“ถึงจะเร็วไปหน่อย ไปกินแฮมเบอร์เกอร์แถวสึกิชิมะเป็นข้าวเย็นกันดีไหม?”
ผมเห็นด้วย ทว่า ฮายาเสะกลับแสดงท่าทีเห็นต่าง
“ฮายาเสะอยากกินอะไรล่ะ?” นารุมิถาม
“มีร้านราเมงที่เล็งไว้อยู่น่ะ”
เธอเล่าว่ามีร้านราเมงอยู่ใต้สะพานทางด่วนใกล้ๆ สถานีมอนเซนนาคาโจ ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาจากรุ่นพี่ว่าร้านนี้อร่อยมาก เลยรู้สึกสนใจมาตลอด แต่ไม่กล้าที่เข้าไปกินคนเดียว แล้วก็ไม่กล้าที่จะชวนรุ่นพี่ไปกินแบบตรงๆ ด้วยเช่นกัน เลยไม่ได้ไปกินตามที่หวังเสียที
“ไปกับพวกเราคงไม่เป็นไรหรอก”
ฮายาเสะส่งสายตาที่เย็นชา ก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ก็จริง”
นารุมินำมือประสานไว้ที่ท้ายทอยแล้วพูดขึ้น “งั้นเราไปขึ้นรถไฟที่สึกิชิมะกันเถอะ” จากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงสงบเสงี่ยมอย่างน่าประหลาดใจ
“แล้วก็เราเลิกไปเยี่ยมฟุยุสึกิกันเป็นกลุ่มดีกว่านะ”
“นั่นสินะ” ฮายาเสะตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หลังจากได้เห็นฟุยุสึกิในสภาพอย่างนั้น พวกเราก็อยู่ในห้องได้เพียง 15 นาที
แม้การเลือกที่จะไม่อยู่ต่อ เป็นสิ่งที่ควรทำหากเธอไม่สบาย แต่สำหรับวันนี้แล้วนั้นฝั่งเราต่างหากที่รู้สึกไม่สบายใจจึงเลือกที่จะออกมาก่อน
การมองดูฟุยุสึกิที่ดูทรมานนั้นทำให้เรารู้สึกหนักใจ และมันจะยังคงหลงเหลือดั่งเงามืดอยู่ในจิตใจของเรา
“จะว่าไป ฉันมีฝึกเดินเรือช่วงวันหยุดฤดูร้อนนี้ คงไม่ได้กลับหอพักถึงสิ้นเดือนสิงหาเลยนะ”
“จริงเหรอ?” ฮายาเสะถาม
“ไม่รู้เหรอ? สาขาฉันต้องขึ้นเรือฝึกไปทั่วญี่ปุ่นเลยล่ะ”
“งั้นฝากซื้อเจงกิสข่านคาราเมล* มาให้หน่อยนะ” ฮายาเสะพูด
“ไม่ได้ไปเที่ยวซะหน่อย”
นารุมิยิ้มแต่ก็ดูท่าจะซื้อกลับมาให้จริงๆ
* เจงกิสข่านคาราเมล เป็นขนมจากฮอกไกโดซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น โดยนำเนื้อแกะย่างก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ โดยมีคาราเมลรอบนอก
“ถ้างั้น เราผลัดกันไปเยี่ยมฟุยุสึกิไหม?” ฮายาเสะถาม
“ฉันไปเองได้”
“ไปคนเดียวหรอ?”
“อืม”
“ไม่ต้องมีฉันหรอ”
“อืม ขอไปคนเดียวดีกว่า”
เข้าใจแล้ว ฮายาเสะพยักหน้าให้
“งั้นเดี๋ยวฉันจะเตรียมงานดอกไม้ไฟให้เอง หวังว่าดอกไม้ไฟจะช่วยคืนความทรงจำให้ฟุยุสึกิได้นะ”
“ไม่ลองก็ไม่รู้อ่ะนะ”
บรรยากาศพลันเงียบลงครั้นผมพูดเช่นนั้น
“สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นการเดิมพันด้วยความหวังอันริบหรี่เท่านั้นเอง ขอแค่ให้ฟุยุสึกิกับเด็กๆ ได้ดูดอกไม้ไฟก็คงเพียงพอแล้ว”
ฮายาเสะกับนารุมิสบตาแล้วพยักหน้ารับพร้อมกัน
“ว่าแต่ช่วงวันหยุดฤดูร้อนไม่กลับบ้านกันหรอ?” นารุมิถาม
“ฉันไม่มีแผนน่ะ ว่าแต่ บ้านฮายาเสะอยู่ไหนหรอ?”
“ฉันหรอ? ฉันอยู่บ้านพ่อแม่น่ะ”
“เอ๊ะ บ้านย่านคิโยสุมิชิราคาวะที่อยู่ใน 23 เขตของโตเกียวนั่นน่ะเหรอ? นี่มันบ้านคนรวยชัดๆ !”
เมื่อผมพูดเช่นนั้น นารุมิก็หัวเราะแล้วพูดขึ้น “งั้นวันนี้ขอให้คุณหนูเลี้ยงราเมงหน่อยสิ..”
“ไม่เอา! บ้านฉันเป็นแค่พนักงานเงินเดือนธรรมดาเองนะ” ฮายาเสะตอบ พร้อมออกเสียงคำว่า “พนักงานเงินเดือน” ออกมาอย่างสนุกสนาน ทำให้นารุมิและผมต่างพากันหัวเราะออกมา
จากนั้นพวกเราก็พากันขึ้นรถไฟใต้ดินแล้วไปกินราเมงด้วยกันทั้งสามคน
—–
ติดตามได้ที่เพจ Mxgic
ลงตอนใหม่ทุกวันศุกร์