หมอยืนอยู่ข้างเตียง นํามือไพล่หลังไว้
ริมหน้าต่างมีดอกไม้ประดับตั้งอยู่ ลำต้นหนายาวชูดอกสีขาวบานสะพรั่ง ราวกับดอกไม้ไฟในท้องฟ้ายามค่ำคืน เมื่อม่านสีขาวพริ้วไหว มักจะส่งกลิ่นหอมโชยเเตะจมูก
หมอเริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง
เราว่าเราเตรียมใจพร้อมแล้วเเท้ๆ เเต่สิ่งที่ทําได้มีเพียงกลั้นเสียงสะอึ้นนั้นไว้
“พอแล้ว หยุดเถอะ”
“อย่ายอมเเพ้สิ คุณโซราโนะ”
หมอเข้ามาให้กําลังใจผม
ทันทีที่โคฮารุจากไป ผมก็ตรวจเจอว่าตัวเองเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
ศัตรูที่คร่าชีวิตเธอได้มาอยู่ในตัวผม ผมมั่นใจว่าจะสู้กับมันให้ได้แน่
ทว่า การรักษากลับไร้ผล มะเร็งเริ่มลุกลามไปยังตับและปอด ดูเหมือนตอนนี้เข้าระยะที่ 4ーซึ่งเรียกได้ว่าระยะสุดท้ายแล้ว ตั้งแต่เจอมะเร็ง ชีวิตก็ชวนวุ่นโกลาหลทุกวี่ทุกวัน
พูดตรงๆ ผมเหนื่อยแล้ว
เผชิญกับผ่าตัดซ้ำๆ แล้วซ้ำเล่า และผลข้างเคียงจากยาแรงๆ เนี่ย
ยิ่งรักษามากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกหมดแรงใจมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะงั้นตอนนี้ ผมจึงยกธงขาวให้กับการเข้ารักษาต่อแล้ว
ตกค่ำ ซากุระก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมดอกไม้ในมือ
“ทำไมพ่อทำหน้าตายแบบนั้นล่ะ เดี๋ยวแม่บนสวรรค์จะโกรธเอานะ”
โซราโนะ ซากุระ ลูกสาวคนเดียวของผมกับโคฮารุ ปัจจุบันอายุ 25
โคฮารุต่อสู้กับโรคนี้มาตั้งแต่มหาลัยปีหนึ่งจนออกจากโรงพยาบาลในอีก 2 ปีให้หลัง
หมอเคยบอกเอาไว้ว่าสำหรับโคฮารุแล้วจะมีชีวิตอีกแค่ 6 เดือน เพราะงั้นนี่จึงถือเป็นการฟื้นฟูราวกับปาฏิหาริย์
เธอดรอปเรียนเพื่อรักษาตัว ครั้นหายป่วย เธอก็กลับไปเรียนต่อจนจบ
หลังจากนั้นเราสองคนก็แต่งงานแล้วมีลูกด้วยกัน
โคฮารุไม่เคยยอมแพ้เลยสักครั้ง
อย่างไรก็ตาม โชคชะตาก็ทำให้เธอมาพัวพันกับเรื่องนี้อีกครา ตอนโคฮารุอายุ 25 เธอตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งเต้านม
เธอใช้เวลาหลายต่อหลายปีต่อสู้กับมันอีกครั้ง และเมื่อ 3 ปีก่อน เธอก็ได้จากไปและทิ้งผมกับซากุระไว้
ครั้นแรงเธอเริ่มหดหาย ครั้นหัวใจเธอหยุดเต้น ครั้นหมอประกาศว่าเธอจากไปแล้ว ตัวผมยังรู้สึกไม่ค่อยรู้สึกเสียใจสักเท่าไหร่ รู้สึกใจหายซะมากกว่า ความรู้สึกที่ว่า ‘ตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว’ ทำผมรู้สึกงงๆ และหมดเรี่ยวแรงมากกว่า กล่าวคือ ผมยังไม่รับรู้ถึงความรู้สึกของการสูญเสียของเธออย่างถ่องแท้
จนกระทั่งตอนงานศพ เมื่อคุณแม่ของเธอพูดว่าจะช่วยแต่งหน้าศพให้ ร่างของเธอเริ่มสั่นเทาและร่ำไห้ วินาทีนั้น ผมถึงรู้ซึ้งถึงได้ถึงการสูญเสียของเธอจริงๆ หลังจากนั้นผมก็ร่ำไห้อย่างไม่สนใครรอบข้าง
แค่คิดว่าคงไม่ได้พบเธออีกแล้ว ผมก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่สนใจใคร
แม้กระทั่งตอนนี้ บางครั้งผมก็ยังร้องไห้เมื่อนึกได้ว่าเธอจากไปแล้ว
การสูญเสียเธอสำหรับผมแล้วนั้นเป็นสิ่งที่เจ็บปวดเกินทนจริงๆ
ถ้าผมจากไป คงทำให้ซากุระต้องเจ็บปวดอีกครั้งสินะ
“เอ้อ จริงสิ หนูเจอนี่ในตู้ของแม่”
มันคือเครื่องบันทึกเสียงเก่าๆ เครื่องหนึ่ง
ซากุระยื่นมาให้ผม แล้วบอกว่า “เดี๋ยวหนูไปเปลี่ยนดอกไม้ก่อนนะ” จากนั้นก็ออกจากห้องไป
เมื่อเห็นว่าซากุระออกไปแล้ว ผมจึงเสียบหูฟัง
จากนั้นก็กดปุ่มเล่นของเครื่องบันทึกเสียงเก่าๆ นั้น ซึ่งดูเหมือนว่าจะยังใช้ได้อยู่
ในช่วงแรกนั้นเป็นเสียงของผมที่กำลังอ่าน “บันทึกของแอนน์แฟรงค์” อยู่
ผมขอยอมรับตรงๆ ว่าฝีมือการอ่านของผมนั้นห่วยแตกสิ้นดีจนฟังไม่ได้
แต่แปลกใจเหมือนกันว่าโคฮารุฟังเสียงอ่านแย่ๆ แบบนี้ไปได้หลายปีได้ยังไง
แต่แล้ว แล้วจู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ถึงคาเครุคุง”
เสียงของโคฮารุ
ผมรีบย้อนกลับไปแล้วฟังใหม่ตั้งแต่ต้น
【ถึงคาเครุคุง
ก่อนอื่น ขอโทษนะที่จากไปก่อน
ขอโทษนะ บางที คงจะทำใจยากสินะคะ
ถึงจะจากกันเร็วไปหน่อย แต่อย่าเศร้าเกินไปนะคะ
ตอนนี้…ฉันได้จากไปแล้ว คุณยังร้องไห้อยู่รึเปล่าคะ
อืม…ก็นะ งานศพคงก็ทำให้ร้องไห้บ้างแหละเนอะ
แต่ว่า…หลังจากที่ฉันได้ลาคุณแล้ว คุณไม่ต้องร้องไห้อีกแล้วก็ได้นะคะ
ไม่ต้อง ร้องไห้เลยก็ได้นะคะ
เพราะว่าสำหรับฉันแล้ว ไม่มีความทรงจำไหนเลยที่ควรทำให้คุณต้องร้องไห้เลยค่ะ
เอาจริงๆ ฉันอยากให้คุณชมว่า ฉันได้มีชีวิตที่ยาวนานกว่าที่คิดด้วยซ้ำไปค่ะ
ฤดูร้อนปีหนึ่งตอนมหาลัย ถ้าไม่มีคาเครุคุงล่ะก็ ชีวิตของฉันคงจบลงตรงนั่นแล้วค่ะ
หลังจากนั้น ฉันได้มีชีวิตยืนยาวขึ้นมาก
ได้ใส่ชุดแต่งงาน ได้ไปฮันนีมูน
คาเครุคุงพาฉันกับครอบครัวไปเที่ยวตั้งหลายที่
ไม่ใช่แค่นั้น คาเครุคุงยังสร้างความทรงจำดีๆ ให้ฉันเยอะแยะมากมายเลยค่ะ
คาเครุคุงทำหน้าที่เป็นคุณพ่อแล้วแล้วก็เป็นคนรักได้ยอดเยี่ยมมากเลยนะคะ
สิ่งที่ฉันมีความสุขที่สุดคือคุณมอบซากุระให้กับฉัน
ฉันไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะได้เป็นแม่คนด้วยสภาพร่างกายแบบนี้ค่ะ
ขอบคุณมากนะ ขอบคุณที่เราได้มาเจอกัน ฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆ
ฉันมีโอกาสให้ซากุระสวมชุดกิโมโนที่ฉันเคยใส่ตอนงานชิจิโกะซัง*
ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคุณจะพาฉันไปร่วมงานโรงเรียนของซากุระ
แล้วก็ฉันมีโอกาสให้ซากุระได้สวมชุดกิโมโนอันน่าภาคภูมิใจของตระกูลฟุยุสึกิ
ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะสามารถเป็น “แม่” ที่ดีได้ขนาดนี้
เพราะงั้น ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ
จะว่าไปเรายังได้ไปงานแต่งงานของซากุระด้วยนี่เนอะ
ในงานแต่งงานนั้น เราร้องไห้กันทั้งคู่เลย
คาเครุคุง
คุณคงไม่ได้คิดว่าฉันมีอะไรค้างคาใจอยู่ใช่ไหมคะ
แน่นอนว่าการจากคุณกับซากุระไปนั้นเป็นเรื่องน่าเสียดาย
แต่ฤดูร้อนตอนอายุ 19
ตัวฉันในตอนนั้นได้ตายไปแล้วค่ะ
พอคิดแบบนั้นแล้ว ยังมีอะไรที่ต้องเสียใจอีกล่ะคะ
ตั้งแต่วันที่ฉันยอมแพ้ต่อความดื้อดึงของคุณ แล้วเริ่มยอบรับในตัวคุณ
ตั้งแต่วันที่ฉันตัดสินใจที่จะไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต
ตั้งแต่วันนั้นชีวิตของฉันเต็มไปด้วยความสุขーสุขล้นฟ้าเลยค่ะ
ทุกช่วงเวลาในชีวิตสดใสงดงามประหนึ่งดอกไม้ไฟที่ประทับอยู่ในใจของฉันค่ะ
อ่า…ฉันมีความสุขมาก มีความสุขมากจริงๆ ค่ะ
เพราะงั้น ขอบคุณนะ คาเครุคุง
ขอบคุณนะที่เราได้มาเจอกัน ขอบคุณนะที่เลือกฉัน
คาเครุคุง
คุณจะอยู่ได้ไหมถ้าไม่มีฉัน
ถ้าคุณรู้สึกท้อแท้เมื่อไหร่ ให้นึกถึงดอกไม้ไฟที่เราเคยดูด้วยกันนะคะ
เพราะฉันเองก็ผ่านมาได้ด้วยวิธีนี้ค่ะ
ฉันพกดอกไม้ไฟที่คุณถ่ายทอดมาให้แล้วก้าวต่อไป
แม้ว่าฉันจะหยุดเดินไปแล้ว แต่ฉันเชื่อในคาเครุที่กำลังไปยังที่อันไกลโพ้น
คุณเคยบอกฉันสินะคะว่า คุณจะเชื่อใจฉันในตอนที่จะไปโรงพยาบาลในฮอกไกโดน่ะ
ถ้าอย่างงั้น ครั้งนี้ฉันขอพูดเอง
ฉันเชื่อในตัวคาเครุคุงที่ไปยังที่อันไกลโพ้น
ฉันเชื่อในตัวคาเครุคุงที่เงยหน้าขึ้นแล้วก้าวไปข้างหน้า
เพราะงั้น ได้โปรดー
ได้โปรดใช้ชีวิตต่อไปด้วยรอยยิ้มนะคะ】
*ชิจิโกะซัง เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองการเติบโตของเด็ก
เครื่องบันทึกเสียงไม่ได้มีคำพูดอะไรเพิ่มเติมมากกว่านี้แล้ว
เสียงที่ถูกบันทึกไว้ไม่ได้มีบรรยากาศที่หม่นหมอง แต่กลับฟังดูสง่าและมีชีวิตชีวา และนั่นทำให้ผมนึกถึงคำพูดที่แม่เคยพูดไว้ว่า “พอได้เลี้ยงลูกแล้ว ลูกจะเข้มแข็งขึ้นเอง”
ในขณะที่ผมกอดเครื่องบันทึกไว้ในอ้อมอกราวกับพยายามเก็บรวบรวมเศษเสี้ยวของคนที่รักให้ได้มากที่สุด เสียงแกร๊กดังมาจากประตูเลื่อนของห้อง
“คุณพ่อ ร้องไห้ทำไมหรอ”
“ฮะๆ ขอโทษนะๆ”
“ดอกไม้ใหม่นี่หอมจังเลยเนอะ”
ซากุระวางแจกันไว้ที่ริมหน้าต่างและจัดดอกไม้ให้เรียบร้อย
“พ่อรู้จักความหมายของดอกไม้นี้ไหม”
“ของดอกฮามายูน่ะเหรอ?”
ซากุระพยักหน้า
ผมจึงเอ่ยถึงความหมายของดอกฮามายูออกมา
“ฉันเชื่อในตัวคุณที่ไปยังที่อันไกลโพ้น”
“เชื่อในตัวคุณ?”
“ใช่ ทั้งพ่อและซากุระ ต่างก็มีโคฮารุประทับอยู่ในใจ แล้วพ่อมั่นใจว่าลูกก็จะยังคงส่งคำพูดนี้มาให้เราเสมอไป”
เมื่อคิดเช่นนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนสามารถมองไปข้างหน้าได้
“เอ๊ะ? พ่อ ยิ้มอยู่เหรอคะ?”
เมื่อซากุระพูด ผมถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองกำลังยิ้มอยู่
“เค้าว่ากันว่า มะเร็งกลัวรอยยิ้มน่ะ”
มีคนที่เคยบอกให้ผมเงยหน้าขึ้นและก้าวไปข้างหน้า
ฟุยุสึกิ โคฮารุ
โคฮารุมองไม่เห็นและยังต้องทนทุกข์กับโรคร้าย
ถึงกระนั้น เธอก็ไม่เคยยอมแพ้ในชีวิตสักครั้งเดียว
เธอเป็นคนที่ยิ้มเก่งและเปล่งประกาย
ผมจะเป็นเหมือนเธอได้ไหมนะ
ผมจะเชื่อมโยงสิ่งนี้ไปถึงใครสักคนได้ไหมนะ
“อ๊ะ ดอกไม้ไฟล่ะ!”
ซากุระชี้ไปยังด้านนอก
“พ่อคะ ดอกไม้ไฟจุดอยู่ล่ะ”
นอกหน้าต่างมีดอกไม้ไฟสีขาวกำลังเบ่งบานบนท้องฟ้ายามราตรี
เสียง “ปัง” ดังตามมาหลังจากแสงสว่าง
ครั้นเห็นแสงนั้น ผมนึกถึงการจุดพลุดอกไม้เล็กๆ สมัยเรียนมหาลัย
“ซากุระ”
“คะ?”
“ไปเรียกหมอมาให้หน่อยได้ไหม พ่อมีเรื่องจะปรึกษาเรื่องการรักษาน่ะ”
ดอกไม้ไฟยังคงดำเนินต่อไป
สว่างไสว เบ่งบาน และประทับอยู่ในหัวใจของใครสักคน
เราจะเป็นเหมือนดอกไม้ไฟดอกนั้นได้ไหมนะ
ครั้นหลับตาลง รอยยิ้มของโคฮารุก็ปรากฏขึ้นในใจ
ตัวเราเองนี่แหละ โชคดีจริงๆ ที่ได้พบกับเธอ
จบลงเป็นที่เรียบร้อยครับสำหรับเรื่องนี้ ที่ญี่ปุ่นมี 2 เล่มนะ อีกเล่มเป็นการเล่าเรื่องราวช่วง timeskip หลังบท 10 แน่นอนว่าเรื่องราวแนวแบบนี้ ไม่ค่อยเป็นที่นิยมสักเท่าไหร่นักในบ้านเรา ยังไงก็หวังว่าจะชอบกันนะครับ หากใครอ่านมาถึงตรงนี้ปีหน้าน่าจะเปิดเรื่องใหม่แปลมีเล็งไปแล้วเรื่องนึงแต่รวมเล่มยังไม่ออก ยังไงก็ลองส่งมาก่อนได้ครับ จะรับไว้พิจารณา (ขอไม่รับ WN นะครับ) ถ้าอย่างนั้นไว้พบกันใหม่โอกาสหน้าครับ
ช่องทางการติดตามต่อ
Facebook: Mxgic (กดดาวตอนติดตามได้นะครับ โดนเฟสกดรีชหนักมาก) ทักมาสอบถามได้ทุกอย่าง ภาพประกอบเอยอะไรเลย ส่วนสปอยจะตอบเท่าที่ได้
และสำหรับผู้สนใจในตัวอย่างภาพประกอบนิยายเรื่องใหม่ๆ ที่กำลังจะออกที่ญี่ปุ่น สามารถชมได้ที่ https://mxgicillust.vercel.app/ หรือจะคลิ๊กลิงค์หน้าเพจก็ได้