เมื่อถึงเวลา ผมเป่านกหวีดยาวสามครั้งเพื่อส่งสัญญาณเรือเฟอร์รี่ ‘ฮิบิกิ’ ออกเรือ
แม้ยามอัสดง แสงตะวันยังคงสาดส่องอยู่สูงบนฟากฟ้า ท้องทะเลกว้างใหญ่สีครามทอดยาวสุดสายตา มองเห็นชัดจากห้องควบคุมของกัปตัน
หลังจากผมเรียนจบพร้อมประกาศนียบัตรระดับสามของวิชาชีพการเดินเรือที่ได้มาระหว่างเรียน ผมได้เข้าทำงานกับบริษัทเดินเฟอร์รี่ในประเทศ ซึ่งถูกมองว่าเป็นตัวเลือกของ “กลุ่มคนล้มเหลว” ในสายตาของเพื่อนร่วมรุ่น แต่ด้วยประสบการณ์สิบกว่าปีในตำแหน่งนักเดินเรือ เมื่อผมย่างเข้า 40 ผมก็ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็นกัปตันเรือเต็มตัว
ในขณะเดียวกัน เพื่อนร่วมรุ่นที่เลือกเดินเข้าเส้นทางเดียวกัน ต่างได้เป็นกัปตันเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ล่องเรือไปมหาสมุทรทั่วโลก หรือเรียกกันว่า “กลุ่มดาวเด่น” ซึ่งได้รับเงินเดือนสูงกว่าผมประมาณ 3 เท่าตัว และทุกครั้งที่เจอกัน พวกเขาก็จะเล่าประสบการณ์เรื่องราวของท้องทะเลที่ผมไม่เตยรู้มาก่อนอย่าง ช่องแคบนี้แคบแค่ไหนเอย น่านน้ำนี้มีโจรสลัดชุกชุมอยู่นะเอย ในทางกลับกัน ผมรู้แค่การเดินเรือในช่องแคบคัมมงระหว่างยามากุจิ-คิวชู ที่กระแสน้ำเปลี่ยนทิศทางตามน้ำขึ้น-ลง ด้วยเหตุนั้นผมจึงได้แต่นั่งเงียบฟังที่พวกเขาพูด
คณะเดินเรือที่ผมจบมารับนักศึกษาใหม่ปีละ 40 คนและในช่วงปีที่สอง ก็จะถูกแบ่งออกเป็นสองสาย คือสายฝึกปฏิบัติบนเรือกับสายวิศวกรรมเดินเรือ โดยมีเพียงสายฝึกปฏิบัติบนเรือเท่านั้นที่สามารถได้รับใบประกาศนียบัตรเพื่อเป็นคนเดินเรือได้ ด้วยเหตุนี้ แม้บางคนจะมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักเดินเรือ แต่ก็อาจถูกจำกัดด้วยผลการเรียน
ในบรรดานักศึกษาทั้งหมด ผมถือเป็นหนึ่งในคนที่มีผลการเรียนโดดเด่นที่สุด หลายคนคาดหวังว่าผมจะได้งานในบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ
ดังนั้น พอมีข่าวว่าผมจะเข้าทำงานในบริษัทท้องถิ่นแพร่ออกไป จึงสร้างความประหลาดใจให้เพื่อนร่วมชั้นไม่น้อย บางคนถึงกับเยาะเย้ยว่าผมสมัครงานไม่ผ่าน แต่พอผมอธิบายว่านี่เป็น ‘ความตั้งใจ’ พวกเขาก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ พร้อมกับพยายามโน้มน้าวผมด้วยจุดเด่นบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ เงินเดือนเยอะเอย ได้เที่ยวต่างประเทศเอย อย่างไรก็ตาม ผมทำเพียงยิ้มรับแล้วปล่อยผ่านไป
ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงที่ผมเลือกงานกับบริษัทแค่นี้ก็เพราะ พี่ชายของผมป่วยเป็นโรคดาวน์ซินโดรม และความฝันที่จะเป็นนักเดินเรือของฉันในตอนแรก ก็เพื่อจะหาเงินช่วยครอบครัว
แต่เมื่อถึงเวลาต้องสมัครงานจริงๆ ผมถึงตระหนักได้ว่าอาชีพนักเดินเรือไม่ได้เหมาะสมกับการดูแลพี่ชายมากนัก
เพราะเวลาทำงานของนักเดินเรือมักยาวนาน โดยเฉพาะสายเดินเรือสินค้านานาชาติ ซึ่งต้องออกเรือครั้งละครึ่งปีหรือเป็นปี และถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชาย ผมก็จะไม่สามารถกลับมาดูแลได้ทันเวลา
ด้วยเหตุนั้นเอง ผมจึงมองหาบริษัทเดินเรือเฟอร์รี่ในประเทศ ที่ช่วยให้ผมสามารถรีบกลับบ้านได้พอเรื่องเร่งด่วนเกิดขึ้น แน่นอนว่าหลังจากทำงานมา ผมไม่รู้สึกเสียใจเลยที่เลือกเส้นทางนี้
โทรศัพท์ดังขึ้นก่อนออกเรือได้ไม่นาน
ดูเหมือนว่าพี่จะล้มลงที่สถานดูแล
ตอนนี้พ่อแม่อยู่ข้างๆ เขา แต่เขาตื่นตระหนกแล้วร้องเรียกชื่อ “อุชิโอะ”
ตอนที่ได้งานนี้ ผมเคยบอกกับครอบครัวว่า “ออกเรือตอนเย็น งานเสร็จเช้าของวันถัดไป เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะ” แต่ดูเหมือนผมจะคิดง่ายเกินไป
เรือเคลื่อนที่ในทะเลในเซโตะด้วยความเร็ว 20 น๊อต ปกติความเร็วที่ช้าแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกถึงเสน่ห์ของการเดินเรือ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ปกติท้องทะเลกว้างใหญ่ที่แผ่ขยายตรงหน้าจะทำให้หัวใจผมพองโต แต่ตอนนี้มีเพียงความร้อนรนใจที่อยากไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด
กลางทะเลแบบนี้ สัญญาณโทรศัพท์ก็แทบไม่มี ทำให้ไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ของพี่เป็นยังไงบ้าง
จะปลอดภัยไหมนะ จะเป็นอะไรหรือเปล่า… พี่รอผมหน่อยนะ
มือที่กำพวงมาลัยเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมา ผมอยากย้อนกลับไปหาพี่ชายตอนนี้เลย ถ้าผมกระโดดลงทะเลจากดาดฟ้าเรือแล้วว่ายไปยังท่าเรืออิซูมิโอสุ บางทีผมอาจจะไปถึงได้เร็วขึ้น แม้แต่ความคิดที่ดูเหลวไหลแบบนี้ยังผุดขึ้นมาในหัวของผม
สมัยผมอยู่ประถม ผมเกลียดพี่ตัวเองมาก
พี่ชายของผมเรียนอยู่ในชั้นเรียนพิเศษที่เรียกว่า “ห้องประกายดาว” ซึ่งจัดไว้สำหรับเด็กที่ต้องการการดูแลพิเศษในโรงเรียนประถมเดียวกัน
อยู่มาวันหนึ่ง พี่ชายของผมวิ่งไปทั่วทางเดินพร้อมกับตะโกนเสียงดัง และนั่นทำให้ผมต้องถูกเพื่อนในห้องล้อ จนถึงขั้นมีเรื่องต้องชกต่อยกัน ผมรู้สึกอับอายมากที่ถูกล้อเพราะพี่ตัวเอง
แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเกลียดจริงๆ กลับไม่ใช่พี่ แต่เป็นบรรยากาศในครอบครัวที่เหมือนบังคับให้ผมยอมรับความจริงเรื่องที่พี่ป่วยให้ได้ ผมเดินไปโรงเรียนและกลับบ้านพร้อมเขาเสมอ แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่ในใจของเด็กประถมอย่างผมกลับรู้สึกว่ามันไม่แฟร์เลย
อย่างไรก็ตามแต่ มีเพียงกับคุณปู่ที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ เท่านั้น ที่ผมสามารถพูดถึงเรื่องอาการป่วยของพี่ได้อย่างสบายใจ
พอผมขึ้นม. ต้น เพื่อนรอบข้างเริ่มโตขึ้นและไม่มีใครล้อเลียนพี่อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ผมกลับเริ่มรู้สึกถึงกำแพงที่แบ่งแยกผมออกจากคนอื่น
ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมเบสบอลของผมแทบจะไม่หยุดซ้อมแม้แต่ตอนป่วย แต่ผมกลับได้รับการยกเว้นด้วยเหตุผลที่ว่า “ช่วยไม่ได้นี่นะก็นารุมิ” สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกแบ่งแยกออกไป ผมแค่อยากได้ยินคำพูดง่ายๆ อย่าง “ไม่เห็นเกี่ยวเลย” หรืออะไรที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเข้าใจ
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเริ่มรู้สึกไม่อยากไปซ้อม และสุดท้ายผมก็ตัดสินใจเลิกทีมเบสบอลโดยใช้เรื่องพี่เป็นข้ออ้าง
ในช่วงเวลานั้นผมมักจะถามตัวเองว่า ชีวิตเรายังมีค่าอะไรอยู่บ้าง นี่เราจะต้องใช้ชีวิตที่ถูกกำหนดโดยพี่ไปตลอดอย่างงั้นหรอ ความคิดเหล่านั้นเข้ามากัดกินใจของผม
จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณปู่ของผมได้จากไป
ในคืนพระสวดและวันงานศพ ผมร่ำไห้ไม่หยุด เพราะผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากร้องไห้
แต่พี่ของผมต่างออกไป
ในตอนที่กำลังนำร่างคุณปู่ออกไปจากบ้าน พี่ตะโกนไปทางโลงศพว่า
“ขอบคุณมากนะครับ…ที่ดูแลอุชิโอะเสมอมา…ขอบคุณมากจริงๆ ครับ”
ในตอนนั้นเอง ผมถึงตระหนักว่าพี่มองเราโดยมาตลอด
เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าใจความรู้สึกของพี่
ผมมัวแต่คิดถึงตัวเองจนไม่เคยสนใจความรู้สึกของเขาเลย
และในช่วงเวลานั้น ผมตัดสินใจได้เด็ดขาด
เรือออกจากอิซูมิโอสุ แล้วเคลื่อนผ่านเมืองโกเบในยามค่ำคืน
แม้จิตใจจะเร่งเร้าเพียงใด แต่กว่าจะแตะพื้นฝั่งก็ต้องรอถึงหกโมงเช้า
“แย่จริง”
ระหว่างที่ผมกำลังทอดถอนใจอยู่ในห้องควบคุมเรือ เสียง ปัง ดังขึ้นเบาๆ
ครั้นเงยหน้ามองไปทางไกล ก็พบแสงสีสันหลากหลายจากดอกไม้ไฟที่เบ่งบานกลางฟากฟ้า
「ดอกไม้ไฟนี่งดงามจริงๆ นะคะ」
ความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนสมัยมหาลัยหวนกลับมา
เธอคือคนรักของเพื่อนสนิทที่ผมใช้ชีวิตในรั้วมหาลัยร่วมกันตลอดสี่ปี
เธอชื่อ ฟุยุสึกิ โคฮารุ
ฟุยุสึกิสูญเสียการมองเห็นไป แม้จะต้องเผชิญโรคร้าย เธอกลับดูเหมือนยังมีความสุขกับชีวิตจริงๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พวกเราーーฟุยุสึกิ เพื่อนสนิทของผม และตัวผมเองไปจุดดอกไม้ไฟด้วยกัน
ผมเคยถามเธอว่า
“ทำไมถึงชอบดอกไม้ไฟทั้งที่มองไม่เห็น”
และคำตอบนั้นยังคงก้องอยู่ในใจผมจนถึงวันนี้
「ดอกไม้ไฟเป็นสิ่งที่ฝังลึกลงในใจค่ะ แม้ยามที่เราก้มหน้าท้อแท้ แต่ถ้ามีความทรงจำที่ทำให้เรากล้าเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มันก็คงทำให้เราสู้ต่อไปได้ ฉันเองก็อยากมีชีวิตที่ฝังลึกในใจของใครสักคนแบบนั้นเหมือนกันค่ะ」
รอยยิ้มของฟุยุสึกิฉายชัดขึ้นในความทรงจำของผม
“เราต้องกล้าเงยหน้าขึ้นเหมือนกัน”
ครั้นเปล่งคำพูดออกมา ความรู้สึกกังวลทั้งหมดพลันหายไป
ผมตัดสินใจได้แล้วว่าต้องทำสิ่งที่ควรทำให้ลุล่วง
หลังจากเช็ดหยาดน้ำตา ผมจับไมโครโฟนของระบบกระจายเสียงบนเรือ
【ขออภัยที่รบกวนช่วงเวลาพักผ่อนของทุกท่านครับ ขณะนี้มีการจัดงานเทศกาลดอกไม้ไฟที่ท่าเรือโกเบ..】
เสียง ปัง ดังขึ้นอีกครั้ง ดอกไม้ไฟดอกใหญ่กระจายตัวสว่างไสว ก่อนจางหายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน
แสงไฟสีแดง น้ำเงิน เหลือง และส้ม สาดส่องไปทั่ว กลมกลืนกับแสงไฟในเมืองโกเบ
ดอกไม้ไฟในวันนี้อาจยิ่งใหญ่กว่าวันนั้น
แต่ไม่มีอะไรเทียบได้กับดอกไม้ไฟในวันนั้นที่ยังคงสลักลึกในใจ
หลังจากนั้น เพื่อนในวันวานต่างแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเอง
ฮายาเสะก่อตั้งองค์กร NPO และดูเหมือนจะเดินทางรอบโลกอย่างไม่หยุดพัก
ส่วนโซราโนะ…ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง
ครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอเขาก็คือวันที่งานศพของฟุยุสึกิ
แม้เขาจะไม่ได้ปล่อยตัวไปกับความสิ้นหวัง แต่ก็เห็นชัดว่าเขาฝืนทำตัวสดใส
ผมละสงสัยว่าเขามูฟออนได้รึยัง
แต่ผมเชื่อว่าเขาต้องทำได้แน่
คราวหน้าผมจะโทรหาเขา
ผมอยากเล่าเรื่องของช่องแคบคัมมง บ้านเกิดของเขา ที่กระแสน้ำไหลแรงว่าแค่ไหนให้ฟัง
ขณะมองดอกไม้ไฟที่ส่องแสงอยู่ไกลๆ ผมคิดถึงเรื่องเหล่านี้ในใจ