ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส 11 ฮายาเสะ ยูโกะ

ตอนที่ 11 ฮายาเสะ ยูโกะ

 

 

§

 

 

 

 

วันนี้ก็ค้างที่บริษัทอีกแล้ว ฉันฟุบหลับบนโต๊ะทำงานตั้งแต่ตี 4 จนถึง 7 โมงเช้า

ไม่รู้เพราะปั่นงานของลูกค้าอีกคนจนเดดไลน์หรือเพราะนอนไม่พอ ถึงทำให้ฉันเผลอเรียกชื่อลูกค้าผิดตอนนำเสนองานในช่วงเย็น  

บรรยากาศในห้องเงียบไปชั่วครู่ แต่โชคดีที่ผู้จัดการฝ่ายของลูกค้าหัวเราะเบาๆ แล้วบอก “เอาเถอะ”

บางทีอาจเป็นเพราะฉันยังอายุน้อยเขาเลยให้อภัย แม้ฉันจะรู้สึกเสียใจตัวเองที่ยังน้อยประสบการณ์ แต่ฉันก็รู้สึกโล่งอกจนอยากร้องไห้ออกมาในเวลาเดียวกัน  

หลังจากออกจากที่ประชุม หัวหน้าก็ถอนหายใจยาว พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงระอา

 

“ฮายาเสะ วันนี้กลับไปพักก่อนเถอะ”

“แต่…ฉันยังต้องสรุปรายงานอีกบริษัทอยู่นะคะ”

“พรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้ วันนี้มีงานดอกไม้ไฟด้วยสิรถไฟคงแน่นน่าดู”

 

หัวหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาๆ เหมือนจะพูดว่า “กลับไปพักผ่อนซะ”

เขาคงจะหมายความว่าให้ฉันผลัดงานไปทำพรุ่งนี้ แล้วอดหลับอดนอนอีกวัน  

จริงๆ แล้ว ฉันอยากจะเคลียร์งานให้เสร็จภายในวันนี้ เพื่อที่จะได้กลับบ้านตรงเวลาทั้งวันนี้และพรุ่งนี้

แต่หัวหน้ากลับคอยแจกจ่ายงานให้คนอื่นโดยไม่สนเลยว่าฉันมีงานกองเยอะขนาดไหน ใบหน้าของหัวหน้าที่มักเลิกงานเร็วอยู่เสมอกลับดูสดใสจนทำฉันรู้สึกหงุดหงิดอย่างไร้เหตุผล

 

“ฉันยังมีงานต้องทำอยู่ ขอกลับไปที่บริษัทค่ะ”

“จำไม่ได้หรอเธอเรียกชื่อลูกค้าผิดน่ะ กลับบ้าน นี่คือคำสั่งจากหัวหน้า”

 

เมื่อถูกพูดแบบนั้น ฉันก็เถียงอะไรไม่ออก

ขณะที่ฉันยืนอึ้งอยู่นั้น หัวหน้าก็พร้อมกล่าวลาว่า “ถ้าอย่างนั้นขอตัวก่อน ฉันต้องไปงานรับแขกที่ชิโอโดเมะต่อ” และโบกมือลาก่อนขึ้นแท็กซี่ไป  

ฤดูร้อนตอนปี 4 ฉันได้รับข้อเสนองานจากบริษัทจัดอีเวนต์แห่งหนึ่ง

ดูเหมือนว่าฉันจะถนัดเรื่องสัมภาษณ์งานเลยได้รับข้อเสนองานมากมาย บริษัทผู้ผลิตเอย บริษัทไอทีเอย แต่ด้วยความที่รู้สึกว่าตัวเองชอบวงการที่ดูมีสีสัน เลยตัดสินใจเลือกบริษัทนี้

นี่ผ่านมาได้ 4 ปีแล้วตั้งแต่เริ่มทำงาน ความทรงจำตลอด 4 ปีของฉันเลือนลาง สิ่งที่จำได้มีเพียงฉันอยู่บริษัทเกือบตลอดเวลา

เพื่อนร่วมรุ่นลาออกกันไปเกินครึ่ง หลายคนบอกว่างานมันหนักเกินไปไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย บางคนก็บอกว่า ไม่รู้ว่าทำงานไปเพื่ออะไร ถ้าจะให้ทำขนาดนี้ขอตายซะยังจะดีกว่า

ส่วนรุ่นพี่ที่ยังทำงานอยู่จำนวนน้อยนิดก็พูดอย่างปลงๆ ว่า “การเป็นผู้ใหญ่ก็แบบนี้ล่ะ ไม่รู้ว่าทำงานเพื่ออยู่ หรืออยู่เพื่อทำงาน”

แน่นอน ตัวฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำงานไปเพื่ออะไร

ช่วงแรกๆ ฉันมุ่งมั่นเรียนรู้ ถึงแม้ว่าจะเหนื่อย แต่ฉันรู้สึกดีที่ได้ทุ่มเทให้กับอะไรสักอย่าง

ให้ความรู้สึกประมาณว่า ยิ่งมีคนต้องการตัวฉันมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งทุ่มเทได้มากขึ้นเท่านั้น  

บางทีอาจเป็นนิสัยของฉันก็ได้

แต่พักนี้ ความรู้สึกนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว มีเพียงแต่ความว่างเปล่าและปล่อยให้เวลาไหลผ่านไป

อย่างไรก็ตามงานของฉันมีผลต่อลูกค้า ผู้ซึ่งมีครอบครัว มีลูกๆ มีคนที่ต้องดูแล

ด้วยเหตุนั้น งานโปรโมตหรืองานจัดอีเวนต์เรียกว่าจุดเปลี่ยนในด้านธุรกิจของลูกค้าก็อาจจะไม่ผิดนัก

พอคิดเช่นนั้น ฉันก็ทำงานออกมาลวกๆ ไม่ได้

พอฉันกลับบ้านดึกดื่นบ่อยครั้งเข้า แม่ก็ได้เข้ามาพูดกับฉันว่า “ทำงานหนักขนาดนี้ไปเพื่ออะไร”

แน่นอน ฉันรู้ว่าทำไมแม่ถึงพูดแบบนั้นออกมา

แม้แต่ตัวฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองยอมทำงานหนักไปเพื่ออะไรกัน

แต่ว่าการลาออกไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ จริงอยู่ที่มันลดภาระลงไปได้แต่งานพวกนั้นก็ถูกส่งต่อให้คนอื่นอยู่ดี

พอคิดแบบนั้น ฉันก็รู้สึกรำคาญใจขึ้นมา และปีที่แล้ว ฉันก็ได้ข้อสรุปแล้วดึงดันตัดสินใจย้ายออกจากบ้าน ทั้งๆ ที่แม่เป็นห่วงฉัน

ห้องที่ฉันเช่าเป็นเพียงห้องนอนหลับยามดึก ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ตู้เย็นว่างเปล่า เครื่องซักผ้าใช้เพียงอาทิตย์ละครั้ง

ถ้าบอกว่าชีวิตของฉันที่อุทิศให้กับบริษัทนั้นเหมือนกับห้องอันว่างเปล่านี้ ก็คงจะไม่ผิดนัก

ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยอมทำงานหนักขนาดนี้ และปลายทางนั้นมันจะนำพาตัวฉันไปสู่อะไร

 

“ง่วงจัง”

 

พรุ่งนี้ก็ปล่อยให้ “ตัวฉันในวันพรุ่งนี้” เป็นคนจัดการ หลังคิดเช่นนั้นฉันก็ตัดสินใจกลับห้องไปนอน

ตอนนี้สิ่งที่ฉันต้องการคือแค่ได้นอนหลับสักงีบ เรี่ยวแรงหายจนแทบจะไม่มีแรงเดิน หยาดเหงื่ออันเย็นเฉียบเริ่มหยั่งไหลออกมา

ย่านอาซากุสะคับคั่งไปด้วยผู้คนที่มุ่งหน้าไปทางต้นแม่น้ำสุมิดะ

ฉันเดินสวนกระแสฝูงชนและมุ่งหน้าไปยังสถานีอาซากุสะด้วยร่างที่โซเซ  

แล้วฉันชนเข้ากับใครบางคนเข้า

 

“อ๊ะ ขอโทษค่ะ”

ฉันเอ่ยคำขอโทษทันที แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงจิ๊ปากหงุดหงิดไม่ชอบใจ

“เดินเหม่ออะไรห๊ะ! มีตาไว้ดูปะเนี่ย”

 

พอพูดจบก็เดินจากไป

คำพูดนั้นทำให้ฉันนึกถึงชีวิตในรั้วมหาลัยขึ้นมา เป็นเรื่องราวเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อว่า “ฟุยุสึกิ โคฮารุ”

โคฮารุจังมองไม่เห็น

แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่เธอก็ไม่เคยหดหู่กับชีวิตของตัวเองเลย เธอเข้ามหาลัย มีแฟน และกล้าลองทำทุกสิ่งตามที่ใจต้องการ

 

“ถ้าเป็นโคฮารุจัง เธอจะทำยังไงนะ”

 

ฉันพบกับโคฮารุจังครั้งแรกในงานปฐมนิเทศที่ล้อมรอบด้วยนักศึกษาใหม่ในชุดสูทประมาณห้าร้อยคน ซึ่งจัดขึ้นที่ฮอลล์ย่านฮามามัตสึโจ ฉันรู้สึกประหม่ามาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ใส่สูท มันให้รู้สึกราวกับตัวเองกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูโลกของผู้ใหญ่

ปลายเท้าที่สวมรองเท้าส้นสูงปวดจี๊ด พลางคิดว่าชุดสูทไม่สบายเอาซะเลย ในขณะที่คิดเช่นนั้นในตอนนั้นฉันก็สังเกตเห็นโคฮารุจังที่นั่งข้างๆ สวมชุดเดรสที่เหมือนหลุดออกมาจากงานแฟชั่นโชว์

ฉันคิดว่าเธอดูดีมากแต่กลัวว่าจะดูแปลกแยกไปจากคนอื่น ฉันจึงได้แต่เก็บความคิดนั้นไว้

เมื่องานปฐมนิเทศจบลง ทุกคนเริ่มทยอยกลับบ้าน แต่โคฮารุจังกลับนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม

ฉันพยายามเรียกเธอ ก็ไม่มีท่าทีตอบกลับ ฉันเลยคิดว่าเธอไม่สนใจ แต่แล้วเธอก็ค่อยๆ หยิบไม้เท้าที่พิงอยู่ข้างเก้าอี้ขึ้นมาและลุกยืนอย่างช้าๆ

 

“เอ่อ…มองไม่เห็นเหรอคะ?” ฉันถามเธอไปเช่นนั้น

“อ๋อ ใช่ค่ะ” เธอตอบน้ำเสียงสดใส  

 

ส่วนฉันก็แนะนำตัวไปว่าชื่อฮายาเสะจากคณะเดียวกัน จากนั้น ฉันก็พาเธอไปส่งที่ด้านนอกของหอประชุม

ฉันจำไม่ได้ว่าเราเริ่มคุยกันยังไง แต่จำได้ว่าฉันบอกกับเธอว่า “ชุดเดรสเหมาะมากเลยนะ” บางทีมันอาจจะไม่ใช่คำชมทั่วๆ ไป มันมีความรู้สึกหลากหลายแฝงอยู่ ทั้งความชื่นชมที่เธอกล้าหาญและไม่แคร์สายตาผู้อื่น

เธอยิ้มเขินๆ แล้วตอบกลับว่า  

 

“แม่บอกว่าใส่สูทดีกว่าเพราะทุกคนคงใส่สูท แต่ฉันคิดว่านี่เป็นวันสำคัญเลยอยากใส่สิ่งที่ตัวเองชอบค่ะ คือว่า…ฉันมองไม่เห็นชุดนี้ดูเหมาะกับฉันไหมคะ?”

 

เธอยิ้มและหมุนตัวอย่างร่าเริง  

เธอเปรียบราวกับเป็นแสงสว่างในตัวฉัน ฉันรู้สึกถึงขั้นนั้นจนพึมพำออกไปว่า “อื้ม…เท่สุดๆ เลย”

พอมาคิดดู ฉันมักจะยอมแพ้กับอะไรหลายอย่างในชีวิต อาจเพราะฉันไม่มั่นใจในตัวเอง

ไม่เคยยกมือถามอาจารย์ในห้องเอย ไม่เคยออกความเห็นในการตัดสินใจเกี่ยวกับกิจกรรมในโรงเรียนเอย ไม่กล้าลงสมัครเป็นกรรมการนักเรียนเอย ทั้งๆ ที่ใจอยากทำ นอกจากนี้ฉันยังเคยคิดว่ากระโปรงที่ใส่ตัดให้สั้นลงอีกหน่อยดีไหมนะ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าลงมือทำ

หลังจากงานปฐมนิเทศจบลง ฉันตัดสินใจย้อมผม  

มันไม่ใช่เพราะอยากเปลี่ยนลุค แต่เพราะฉันรู้สึกละอายใจที่เคยคิดในแง่ลบกับคนที่มองไม่เห็น ฉันอยากเป็นเหมือนเธอ—ที่เท่และกล้าหาญ

ฉันเริ่มศึกษาการแต่งหน้า พยายามแต่งตัวให้ดูดี เหมือนกับการสวมเกราะเพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง

ฉันอยากรู้จักโคฮารุจังให้มากขึ้น เลยตัดสินใจเข้าร่วมเป็นไกด์นักศึกษา อาสาพาเธอไปตามสถานที่ต่างๆ และยิ่งได้รู้จักเธอมากขึ้น ฉันยิ่งหลงใหลในตัวเธอ

ความรู้สึกนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นทั้งมิตรภาพและความหลงใหลในเวลาเดียวกัน

ถ้าเป็นโคฮารุจังเธอจะทำยังไงนะ

ถ้าเป็นเธอที่ยังคงยิ้มได้แม้ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังที่สุด เธอจะทำยังไงนะ

เธอคงจะยิ้มและเผชิญหน้ากับปัญหาได้โดยไม่หันหลังกลับแน่ๆ

เธอคงจะไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปกับการเศร้าหมองแน่ๆ  

พอคิดเช่นนั้น ฉันก็นึกภาพถึงโคฮารุจังในวันที่ปราศจากรอยยิ้มไม่ออกเลย

 

“พักนี้ ฉันหัวเราะกับอะไรที่เป็นเรื่องแย่ๆ ของตัวเองตลอดเลยนะ”

 

ฉันหลุดหัวเราะกับตัวเอง เป็นเสียงหัวเราะแบบประชดตัวเอง

 

“งานไม่ได้ฆ่าเราสักหน่อย”

 

ฉันอยากยิ้มได้เหมือนโคฮารุจัง และอยากจะมีชีวิตที่ทิ้งร่องรอยไว้ในใจของใครบางคน

ยังทันไหมนะ?

เมื่อคิดแบบนั้น ฉันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาแม่  

โทรไปครั้งแรกไม่รับ พอโทรไปอีกครั้งแม่ก็รับสาย น้ำเสียงของแม่ยังคงอ่อนโยนเหมือนเดิม

 

“แม่คะ”

“ว่าไงลูก”

 

เพียงแค่ได้ยินเสียงของแม่ ฉันก็รู้สึกเหมือนคำพูดที่เตรียมไว้มันติดอยู่ในลำคอ แต่ถ้าไม่พูดออกไปในวันนี้ ฉันคงไม่มีวันกล้าพูดอีกเลย

 

“ขอโทษนะคะแม่ อาจจะกะทันหันไปหน่อย แต่หนูคิดว่าหนูจะลาออกจากงานแล้ว ค่าเช่ามันแพงหนูกลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิมได้ไหม”

 

ฉันรู้ดีมันเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัวมาก ฉันออกจากบ้านมาเพราะเถียงกับแม่เอง แน่นอนว่าฉันเตรียมโดนบ่นเอาไว้แล้ว

ระหว่างพูด มือของฉันเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

แต่สิ่งที่แม่ตอบกลับมาคือ  

 

“มาเลยลูก คนช่วยงานบ้านกลับมา แม่จะได้สบายขึ้นหน่อย~ นี่ฟังนะ พ่อไม่เคยช่วยอะไรเลย แม่ล่ะเหนื่อยใจจริงๆ”

 

แม่เริ่มบ่นเรื่องพ่อให้ฟัง

ไม่รู้ทำไม บางทีอาจเพราะรู้สึกโล่งใจหรือเพราะในที่สุดก็พูดออกไปจนได้ว่าจะลาออก น้ำตาก็เริ่มเอ่อขึ้นมาที่ขอบตา

 

“ลูกฟังอยู่หรือเปล่า”

 

เสียงแม่ยังคงอ่อนโยน ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้ออกมา ท่ามกลางถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนในคืนงานดอกไม้ไฟ

และในจังหวะนั้นเอง เสียงปังก็ดังขึ้นบนท้องฟ้า ดอกไม้ไฟดอกใหญ่บานสะพรั่งเหนือแม่น้ำสุมิดะ

ปัง ปัง ปัง’ ดอกไม้ไฟดอกแล้วดอกเล่าเปล่งประกาย

ช่วงชีวิตในวัยมัธยม ฉันไม่เคยได้เป็น “ตัวเอง” สักครั้ง

แต่หลังจากที่ได้พับโคฮารุจัง ฉันก็เริ่มกล้าลองทำสิ่งต่างๆ ได้ตามใจต้องการ แต่พอเข้าสู่โลกของการทำงาน ฉันกลับปิดกั้นตัวเองอีกครั้ง

ภาพความทรงจำในชีวิตมหาลัย กิจกรรมอาสาเอย งานคณะกรรมการจัดงานเอย และโครงการดอกไม้ไฟของเด็กๆ ผุดขึ้นมาในหัว ความรู้สึกตื้นตันใจกลับมาสู่หัวใจของฉันอีกครั้ง

 

“แม่คะ ขอโทษนะ เดี๋ยวโทรไปใหม่นะ ดอกไม้ไฟจะเริ่มแล้ว”

 

ฉันวางสายแล้วหันหลังกลับ เดินตามฝูงชนไปยังลานจัดงานดอกไม้ไฟ พร้อมกับความง่วงที่หายไปจนหมดสิ้น

ฉันเริ่มคิดถึงอนาคต งานใหม่ หรือบางทีอาจจะเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองก็ได้

ฉันอยากทำงานที่มีประโยชน์ต่อผู้คนมากกว่านี้

ในขณะที่คิดแบบนั้น ดอกไม้ไฟก็ดังก้องกังวาลลึกเข้าไปในจิตใจของฉัน

ความปรารถนาและความฝันใหม่ๆ ต่างพลันพรั่งพรูออกมา

 

“น่าสนุกจังเลยยยย”

 

ฉันรู้สึกว่าตัวเองได้หัวเราะออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

ดอกไม้ไฟยังคงบานสะพรั่งอย่างงดงามบนฟากฟ้ายามราตรีต่อไปー

 

ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส

ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส

Score 10
Status: Completed
นิยายได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดนิยาย GA Bunko ครั้งที่ 15 เรื่องราวของโซราโนะ คาเครุ นักศึกษาเข้าสังคมไม่เก่ง จําใจที่จะต้องไปงานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ ซึ่งที่นั้นเขาก็ได้พบกับ ฟุยุสึกิ โคฮารุ สาวงามผมสีดํายาวดั่งนางเเบบอย่างไร้ที่ติ เเต่ทว่า...เธอกลับมีดวงตาที่มองไม่เห็น ถึงกระนั้นเธอก็ยังเลือกที่จะใช้ชีวิตมหาลัยทุกวันเหมือนคนทั่วไป หาเพื่อนเอย เข้าชมรมเอย สนใจในชมรมเอย ซึ่งต่างจากตัวเขาอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุนั้น ทําให้คาเครุเริ่มรู้สึกสนใจในตัวเธอ จากนั้นเธอก็ได้เล่าความฝันให้กับคาเครุฟัง [ฉันอยากลองจุดดอกไม้ไฟดูสักครั้ง] แม้เธอจะมองไม่เห็น แต่เธอก็มีความฝัน เพียงเเค่เธอเลือกที่จะเก็บมันไว้เท่านั้นเอง กว่าจะรู้ตัวอีกที ตัวเขาก็ได้เข้าไปคอยช่วยซับพอร์ตเเละอยู่เคียงข้างเธอเสียเเล้ว

Recommended Series

Options

not work with dark mode
Reset