“เป็นยังไงบ้างคะ เข้ากับฉันมั้ย”
ฟุยุสึกิยิ้มให้ผมพร้อมกับกางชุดยูกาตะให้ดู
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกลางเดือนตุลาคม
หลังฟุยุสึกิอาการดีขึ้น เธอได้ตัดสินใจย้ายไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลในฮอกไกโด
ในวันก่อนจะย้ายโรงพยาบาล ผมขออนุญาตพาฟุยุสึกิออกมาข้างนอก และเราก็ตัดสินใจจุดดอกไม้ไฟที่ซื้อมาจากสะพานอาซากุสะกันที่มหาลัย
เมื่อผมมาถึงห้องเธอ ฟุยุสึกิได้เปลี่ยนเป็นชุดยูกาตะเรียบร้อยแล้ว
คงจะเป็นคุณแม่ของเธอที่ช่วยแต่งตัวให้ คุณแม่ของฟุยุสึกิยิ้มแย้มแล้วพูดกับผมว่า “น่ารักใช่ไหมล่ะ”
นี่เรียกว่าลวดลายชุดรึเปล่านะ ชุดยูกาตะลายดอกไม้ไฟที่เธอสวมใส่อยู่ ทำจากผ้าสีขาวมีลายดอกไม้ไฟจางๆ รัดด้วยสายคาดลายดอกฮามายู ท้ายทอยที่เผยให้เห็นผิวอันสีขาวนวลนั้นช่างงดงามราวกับกุลสตรีงามชาวญี่ปุ่น
แม้ว่าฟุยุสึกิจะดูดีในชุดเดรสหรือเสื้อเบลาส์แบบตะวันตก แต่ผมก็เพิ่งรู้ว่าเธอเหมาะกับชุดสไตล์ญี่ปุ่นแบบนี้มากเหมือนกัน
ฟุยุสึกิหน้าแดงเล็กน้อย บางทีอาจจะเพราะเธอไม่เห็นปฏิกิริยาของผม เลยรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
“ดูไม่เข้าหรอคะ?”
เธอถามด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยความไม่มั่นใจ
“ถ้ามีการประกวดชุดยูกาตะ ฉันว่าเธอได้รางวัลชนะเลิศแน่ๆ ล่ะ”
“ชมให้ตรงกว่านี้หน่อยสิคะ”
แม้ว่าผมจะชมไปแล้ว แต่ฟุยุสึกิกลับยังทำหน้ามุ่ย
“อืม สวยมากเลยล่ะ”
ฟุยุสึกิ หญิงสาวที่อยู่ในชุดยูกาตะหมุนตัวเบาๆ ด้วยก้าวเดินสั้นๆ ราวกับพึ่งพอใจกับคำชมของผม
ครั้นหมุนตัวจนหยุดอยู่ตรงหน้าผม เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงปนเศร้าเล็กน้อย
“ในที่สุด…ก็ได้ใส่แล้วค่ะ”
เธอคงหมายถึงชุดยูกาตะซึ่งเป็นสิ่งที่อยากใส่มาตั้งแต่ก่อนเข้าโรงพยาบาล
เพราะงั้นเพียงแค่ได้สวมชุด มันก็เป็นเหมือนปาฏิหาริย์สำหรับเธอ
ผมรู้สึกว่า เธอไม่เพียงแต่ช่วยแต่งแต้มชีวิตประจำวันของผม แต่ยังทำให้ผมรู้สึกวิเศษอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนด้วย
“ในที่สุดก็ได้อวดให้คาเครุคุงดูแล้ว อย่าลืมเด็ดขาดเลยนะคะ”
“เรื่องแบบนี้…ฉันไม่มีวันลืมหรอก”
“เย้”
ฟุยุสึกิยิ้ม แล้วผมก็จับมือเธอเอาไว้
เมื่อเรามาถึงสนามหญ้าของมหาลัย นารุมิและฮายาเสะก็เตรียมดอกไม้ไฟเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
“จัดเต็มไปเลยนะะะ!”
นารุมิกับฮายาเสะตะโกนจากขอบสนาม
พวกเขาจุดชนวนดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ชื่อ ไรจิน ซึ่งเราซื้อมาจากร้านขายดอกไม้ไฟในอาซากุสะ
เสียงและแสงจุดดอกไม้ไฟดึงขึ้น จากนั้นแสงสว่างก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ความเงียบเข้าครอบงำชั่วขณะหนึ่ง และต่อมาเสียงดอกไม้ไฟก็ดัง ปัง ปัง ปัง
กลิ่นดินปืนลอยคลุ้งท้องฟ้ายามตรี
สนามหญ้าสว่างไสวด้วยแสงสีแดง น้ำเงิน และเหลืองจากดอกไม้ไฟ
“เสียงดังดีจังเลย!”
ฟุยุสึกิที่อยู่ในชุดยูกาตะกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนานบนสนามหญ้า
เธอมีความสุขมาก จากนั้นก็จับมือผมและพูดว่า “อธิบายหน่อยสิ”
ผมอธิบายถึงสีสันของดอกไม้ไฟที่ส่องประกายแต่งแต้มท้องฟ้าให้เธอฟัง
“…ดีจังเลย”
เมื่อมองไปที่ฟุยุสึกิที่พูดคำนี้ ผมแทบร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
เสียงดอกไม้ไฟดังราวกับเป่าแตร พร้อมแสงสีทองอันสว่างไสว
ครั้นดอกไม้ไฟหมดลง ฮายาเสะกับนารุมิก็เข้ามาพูดกับฟุยุสึกิ
“โคฮารุจัง ไปฮอกไกโดแล้วก็ สู้ๆ นะ”
“พวกเราจะคอยเป็นกำลังใจให้นะ”
ฟุยุสึกิยิ้มและตอบว่า “ฉันจะหายแล้วกลับมาให้ได้ค่ะ”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ฉันจะไม่หายไปจากทุกคนอีกแล้วค่ะ”
เธอกำชายยูกาตะแน่นขณะพูดเช่นนั้น
ดูเหมือนเธอยังคงรู้สึกผิดที่จากไปโดยไม่ได้บอกใคร
ได้ยินเช่นนั้น ฮายาเสะกับนารุมิต่างมองหน้ากัน
“แน่อยู่แล้ว” ฮายาเสะตอบ
“ถ้าคราวหน้าหายไปอีก เดี๋ยวจะติด GPS ไว้เลยนะ”
พวกเราต่างหัวเราะ และนั่นทำให้ฟุยุสึกิดูโล่งใจขึ้นมาจนทำเอาน้ำตาซึม
“เอาล่ะ ยังมีดอกไม้ไฟเหลืออีกนะ จุดต่อเลยๆ “
“โคฮารุจังไหวไหม? จะนั่งพักหน่อยไหม? หนาวหรือเปล่า?”
พวกเรายังคงมองไปยังดอกไม้ไฟที่ถูกจุดต่อไป
ฟุยุสึกิจับมือผมและกระซิบด้วยเสียงที่มีเพียงผมได้ยิน
“ดีจังเลยที่ได้เป็นเพื่อนกับทั้งสองคน”
เธอยิ้มให้ผมพร้อมกับถามว่า “ว่าไหม?”
*
หลังลาฮายาเสะกับนารุมิ ผมก็พาฟุยุสึกิกลับไปโรงพยาบาล
ขณะที่ลงจากรถแท็กซี่แล้วเดินไปส่งเธอถึงห้อง ฟุยุสึกิก็แตะศอกซ้ายของผมเบาๆ แล้วพูดขึ้น
“พรุ่งนี้เราคงไม่ได้เจอกันแล้ว ขออยู่ด้วยกันอีกสักนิดสิ”
เธอไม่ได้พูดตรงๆ ว่าอยากอยู่ด้วยกัน แต่กลับจับแขนของผมแน่นขึ้นแทน
“งั้นไประเบียงกันไหม” ผมพูด
เราจึงมุ่งหน้าไปยังสวนลอยฟ้าของโรงพยาบาล
ระเบียงไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงแค่เราสองคน
“ลมสดชื่นดีจังเลย~”
นี่เป็นครั้งแรกที่เราออกมาที่สวนในตอนกลางคืน
ยามค่ำคืนของโตเกียวช่างสว่างไสว
แต่มันก็ให้ความรู้สึกแปลกในเวลาเดียวกัน
ราวกับมีเยื่อบางๆ กั้นระหว่างความมืดยามราตรีและแสงไฟส่องสว่างของเมือง ซึ่งเยื่อบางๆ นั้นปกคลุมทั้งเมืองเอาไว้ ทำให้รู้สึกได้รับการปกป้อง และหนีไปไหนไม่ได้ในเวลาเดียวกัน
นี่คงเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงรู้สึกกังวลทุกครั้งที่มองท้องฟ้ายามค่ำคืนของโตเกียวอันสว่างไสวนี้รึเปล่านะ
ฟุยุสึกิที่มองไม่เห็นท้องฟ้าจะรู้สึกยังไงกับค่ำคืนนี้กันนะ
ผมเก็บไว้ถามเธอดูครั้งหน้า
แสงไฟจากตึกรามบ้านช่อง และโคมไฟริมถนนส่องขึ้นมาจากด้านล่างของสวนลอยฟ้า
ราวกับว่าสวนแห่งนี้เป็นเวทีที่ถูกจัดไฟจากด้านล่าง
โดยมีดวงจันทร์ที่เป็นเหมือนกับสปอตไลต์อยู่ด้านบน แล้วเราเหมือนกำลังยืนอยู่บนเวทีนั้น
บนเวทีนั้น ฟุยุสึกิที่สวมชุดยูกาตะถูกแสงจันทร์สาดส่อง
ผมมองเธอแล้วรู้สึกอย่างไม่มีทางห้ามได้ว่า ผมชอบคนคนมากจนใบหน้าร้อนผ่าว
“ดอกไม้ไฟที่ซื้อมาได้ใช้แล้ว ดีใจจัง”
“ก็วางกองไว้ในห้องของตลอดนี่นะ”
“ตอนนั้นตัวฉันยังแข็งแรงอยู่เลยนี่เนอะ”
ฟุยุสึกิวางบนหน้าอก
“ถ้าฉันหายดีแล้ว จะไปเดตด้วยกันอีกไหม”
“ไม่รู้สิ”
“ใจร้ายจัง”
เธอทำหน้ามุ่ย ผมจึงรีบพูดขอโทษ
“เดตกันตอนไหนก็ได้ ออกไปเที่ยวกันเมื่อไหร่ก็ได้”
“จะไปที่ไหนกันดีล่ะ”
“ที่ไหนก็ได้ จะภูเขา แม่น้ำ ช้อปปิ้ง หรือสวนสนุกก็ได้”
“ฉันอยากไปบ้านเกิดคาเครุคุงจังเลย”
“ได้สิ มีทะเลที่ฉันมองบ่อยๆ ด้วยนะ”
“ทะเลเหรอ”
ที่บ้านเกิดของผม มีทะเลที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวราวกับจะพัดพาทุกสิ่งไม่ว่าดีหรือร้ายไปจนหมดสิ้น
เมื่อปล่อยให้สิ่งดีหรือร้ายพัดพาไปจนหัวสมองว่างเปล่า ทะเลแห่งนั้นจะทำให้ผมตระหนักว่า สิ่งที่เหลืออยู่กับตัวเรามีเพียงแค่ “ปัจจุบัน”
หรือผมคิดผิด?
บางที การที่รู้สึกว่าเมื่อทุกอย่างไหลผ่านไปแล้วจะเหลือเพียงปัจจุบัน ก็เพราะผมได้พบกับฟุยุสึกิ การพบกับเธอที่ใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันเปลี่ยนผม—ผู้ที่เคยสร้างกำแพงและวางท่าเอาไว้ให้เปลี่ยนไป
ผมอยากไปยังสถานที่แห่งนั้นกับเธอ ผู้ทำให้ผมเปลี่ยนไป
ด้วยความรักและความรู้สึกขอบคุณอย่างลึกซึ้ง ผมจับมือเธอไว้
แม้จะรู้ว่าเธอมองไม่เห็น ผมก็ยังอยากเดินเคียงข้างเธอท่ามกลางลมทะเลใกล้ๆ น้ำ
“น่าสนุกจังเลยนะ ฉันต้องอยู่ให้ถึงตอนนั้นให้ได้”
ฟุยุสึกิพูดพลางมองขึ้นไปบนฟ้า
แม้เธอจะมีดวงตาที่มองไม่เห็น แต่เหมือนเธอมองทะลุผ่านสิ่งที่ดูเหมือนแผ่นฟิล์มโปร่งใสที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนในโตเกียวสร้างขึ้น
ถ้าผมพูดว่าเป็นแผ่นฟิล์มอันน่าขนลุก เธอคงหัวเราะกลบเกลื่อนแน่ๆ
ฟุยุสึกิในตอนนี้ดูเหมือนจะพร้อมวิ่งไปในทุกค่ำคืนแล้ว
“จะว่าไป เรายังมีไฟเย็นเหลืออยู่นะ ที่ไปซื้อมาจากสะพานอาซากุสะบาชิ”
“จุดที่นี่ได้เหรอ?”
“ไม่น่าได้นะ”
“นั่นสินะ” ฟุยุสึกิหัวเราะ
“แต่ก็นะ ถ้าพอจะหลบๆ ได้ล่ะก็ วันนี้ขอสักวันเถอะ”
“นี่จะดึงฉันเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเหรอ?”
“จริงๆ แล้ว ฉันอยากให้เธอเป็นตัวการหลักมากกว่าด้วยซ้ำนะ”
“อีกแล้วนะ พูดอะไรแบบนี้อีกแล้ว” ฟุยุสึกิพูดพลางหัวเราะด้วยความอ่อนใจ
“มาแข่งกันเถอะ ว่าใครจะทำให้ไฟติดนานกว่ากัน มีไฟแช็กหรือเปล่า?”
“นี่”
“นี่เธอเตรียมมาล่วงหน้าเลยนี่นา”
ฟุยุสึกิดึงแขนผมให้ย่อตัวลง
“ถ้าไม่เข้ามาใกล้ๆ ลมจะพัดไปหมดนะ”
“บอกมาตรงๆ เลยก็ได้ว่าอยากให้ฉันเข้าไปใกล้ๆ น่ะ”
“งั้นก็…ขยับเข้ามาสิ”
ฟุยุสึกิเข้ามาใกล้ผมเพื่อบังลม กลิ่นหอมของเธอลอยโชยมาแตะจมูก เป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกสบายใจ
ผมจุดไฟเย็นด้วยไฟแช็ก แสงไฟของไฟเย็นส่องใบหน้าของฟุยุสึกิ
เรานั่งย่องไหล่ชนไหล่มองดูไฟเย็นไปด้วยกัน
เปลวไฟส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ อยู่ในมือ
ผมภาวนาให้เปลวไฟฝั่งฟุยุสึกิส่องแสงอยู่นานกว่าฝั่งของผม
ผมอธิษฐานจากใจจริง ขอให้เธอได้ใช้ชีวิตต่อไปยาวนานกว่าผม แม้เพียงแค่หนึ่งวินาทีก็ตาม
เสียงเปรี๊ยะๆ ดังก้องพร้อมกับเปลวไฟกลมสีแดงที่ค่อยๆ สะท้อนแสงออกมา
ไฟของไฟเย็นแผ่กิ่งก้านบางๆ คล้ายลำต้น ออกดอกเจิดจ้า แล้วดับลงในพริบตา
การเปล่งแสงและหายวับไปนั้นวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็ถูกเผาไหม้จนหมดสิ้น
ผมคิดว่า ถ้าต้องดับลงทันทีหลังจากเปล่งแสงออกมา สู้เปล่งแสงยาวๆ โดยไม่ต้องกระจายเปลวไฟเลยน่าจะดีกว่า
ครั้นผมมองไปที่ฟุยุสึกิーใบหน้าด้านข้างของเธอที่สะท้อนแสงไฟอ่อนๆ ยิ้มอย่างมีความสุข
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น ก็ทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า ‘มันไม่ใช่แบบนั้นเลยสินะ’
การเปล่งแสงและสะท้อนใครสักคนได้ในตอนที่มีชีวิตอยู่ ช่างเป็นสิ่งที่วิเศษจริงๆ
ผมอยากให้เธอเปล่งแสงต่อไปจนกว่าจะพอใจ
ผมนั่งอยู่ข้างๆ คนรักーคนที่คิดอะไรแบบนั้น
จงลุกโชน ลุกโชน
อย่าเพิ่งดับลง อย่าเพิ่งดับลง
ผมภาวนาเล็กๆ แก่ไฟเย็น
แล้วมันก็เกิดขึ้น
เปลวไฟหนึ่งดับลง
เหลือเพียงเปลวไฟฝั่งเดียวที่ยังคงส่องแสง
“ว้า…ของฉันดับก่อนซะแล้ว”
เมื่อผมพูดขึ้น ฟุยุสึกิหัวเราะออกมาเบาๆ
“คาเครุคุง พูดโกหกได้น่ารักจังนะ”
เธอพูดพลางทำท่าทางเหมือนกำลังมองเปลวไฟฝั่งผมที่ยังไม่ดับ
เมื่อถูกจับได้ ผมรู้สึกเก้อเขินขึ้นมา
แล้วผมก็นึกอะไรบางอย่างได้
“ยังมีไฟเย็นเหลืออยู่นะ มาเริ่มใหม่กันเถอะ”
“คราวนี้ห้ามโกหกนะ”
“งั้นก็ ขยับเข้ามาใกล้ๆ อีกสิ”
ผมพูดพลางจุดไฟเย็น
เสียงเปรี๊ยะๆ ดังขึ้น เปลวไฟกลมสีแดงลอยขึ้นมาเกาะตรงปลายเชือก
จากนั้น ผมดึงเปลวไฟฝั่งฟุยุสึกิให้มาใกล้เปลวไฟของผม
เปลวไฟสองดวงรวมกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นเปลวไฟก้อนใหญ่
เปลวไฟที่ใหญ่กว่านั้นกระจายแสงมากยิ่งขึ้น
“คาเครุคุงทำอะไรเหรอ?”
ฟุยุสึกิถามด้วยความสงสัย
“ลองเอาไฟเย็นสองดอกมารวมกันน่ะ เผื่อมันจะส่องแสงนานขึ้นไง”
ฟุยุสึกิหัวเราะออกมา
“แบบนี้มันก็ไม่ใช่แข่งกันแล้วสิ”
“ก็จริง แต่ฉันก็แค่อยากให้มันส่องแสงอยู่นานๆ น่ะ แค่นานขึ้นสักวิเดียวก็พอแล้ว”
เมื่อผมมองฟุยุสึกิจากด้านข้าง ดวงตาเธอเหมือนจะคลอด้วยน้ำตา
เธอเอนหัวมาพิงไหล่ผมก่อนจะพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน
“ถ้าเกิดฉันตายไปก่อน คาเครุคุงจะทำยังไงหรอ?”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ”
“แค่สมมุติเอง”
ชีวิตที่ไม่มีฟุยุสึกิ…ผมไม่อยากแม้แต่จะคิดมันเลย
เพราะเธอฝังลึกอยู่ในจิตใจของผมมากขนาดนั้น
เพราะอย่างนั้น…
“ฉันคงไม่ไหวหรอกนะ…ถ้าเธอตาย ฉันก็ขอตายไปด้วย”
“คิดไว้อยู่แล้วว่าจะตอบแบบนี้”
“หนักหน่วงไปหรอ”
“ก็ไม่หรอก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ดีใจอะนะ ยังไงฉันก็อยากให้คนรักอยู่ไปนานๆ “
บทสนทนาเปลี่ยนไปในทางที่หม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก
ให้ความรู้สึกเหมือนความตายยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวเรา
เพราะงั้น…ผมจึงอยากคุยเรื่องอนาคต
ทันใดนั้น ผมก็นึกถึงที่คั่นหนังสือสีเหลืองที่ปลิวไปตามสายลม ล่องลอยขึ้นฟ้า
“ที่คั่นหนังสือสีเหลือง”
“ที่คั่นหนังสือสีเหลืองของฉันน่ะหรอ”
“นอกจากสิ่งที่เขียนไว้ในที่คั่นหนังสือแล้ว ยังมีอะไรอีกไหมที่อยากทำในอนาคตน่ะ”
เมื่อถามออกไป ฟุยุสึกิหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบปฏิเสธ
“ไม่มีค่ะ”
“น้ำเสียงแบบนั้นแสดงว่ามีแน่ๆ ใช่ไหม”
“ไม่คิดว่ามันหนักไปหรอ?”
“ฉันชอบอะไรหนักๆ อยู่แล้วน่า”
“อย่าหัวเราะนะ”
“ไม่หัวเราะหรอก”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฟุยุสึกิก็เหมือนจะยอมแพ้ จากนั้นก็เริ่มเอ่ยสิ่งที่เก็บซ่อนไว้ในใจทีละข้อ
สิ่งที่เธอเอ่ยออกมา คือความปรารถนาที่เจิดจรัสในใจเธอ
“ถึงจะธรรมดาไปหน่อย แต่ฉันอยากใส่ชุดแต่งงาน”
“อืม”
“อยากไปฮันนีมูนด้วย”
“อยากไปที่ไหนเหรอ?”
“ไปที่ไหนก็ได้ ขอแค่เป็นที่ที่อุ่นแล้วก็เงียบๆ “
“เข้าใจแล้ว”
“แล้วก็ อยากมีลูกสักคน”
“อืม”
“แล้วก็อยากให้ลูกใส่ชุดกิโมโนที่ฉันใส่ตอนงานเทศกาลเด็ก 7 ขวบ”
“อืม”
“ตอนลูกเข้าโรงเรียนประถม ฉันอยากไปงานปฐมนิเทศด้วย แต่ถ้ามองไม่เห็นฉันอาจจะไปไม่ได้”
“เรื่องนั้นปล่อยให้ฉันจัดการเอง”
“อยากไปเที่ยวกับครอบครัวหลายๆ ครั้ง”
“ปล่อยให้ฉันดูแลเอง”
“อยากให้ลูกใส่ชุดฟุริโซเดะในวันบรรลุนิติภาวะ”
“ปล่อยให้ฉันดูแลเอง”
“แต่ดูแลครอบครัวอย่างเดียวไม่พอนะ อยากไปเดทกันสองต่อสองบ้าง”
“เข้าใจแล้ว”
“อยากไปงานแต่งงานลูกด้วย ให้ลูกอ่านจดหมายถึงคุณแม่ในงาน ถึงตอนนั้นเข้า ตัวฉันคงจะร้องไห้หนักมากแน่ๆ เลย”
“ฉันก็คงร้องเหมือนกัน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฟุยุสึกิก็บอก “อายจังเลย~” พร้อมกับเอาหัวชนกับผม
“เยอะเลยนะเนี่ย”
“เยอะมากจริงๆ ด้วย”
ผมรู้สึกโล่งใจ
เมื่อรู้ว่าฟุยุสึกิมีความหวังมากมายขนาดนี้ ตัวผมในตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
“ต้องมีชีวิตต่อไปนะ”
“อืม ฉันจะมีชีวิตยืนยาวค่ะ ขอสัญญาเลย”
เปลวไฟสองดวงที่ใหญ่โตกว่าเดิมยังคงลุกไหม้ ไม่เหมือนเปลวเดียวที่ดับไปนานแล้ว แต่ในใจของเราทั้งสองคน เปลวไฟแห่งความหวังยังคงลุกโชติช่วง
“ดับไปแล้วหรอ?”
“อืม”
“งั้นวันนี้พอกันแค่นี้ไหม?”
ฟุยุสึกิแสดงความอาลัยอาวรณ์
จากนั้น ผมยื่นบางสิ่งให้เธอ
“นี่คืออะไรเหรอ?”
ฟุยุสึกิสัมผัสเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็กในมือ
“ฉันอ่านบันทึกลับของแอนน์ แฟร้งค์ แล้วอัดเสียงไว้ให้หมดเลย”
“ทั้งหมดเลยเหรอ?”
“จนคอแห้งเลยล่ะ”
“เอออออ๋ ทั้งหมดเลยหรอ…”
“ขอบคุณนะ” ฟุยุสึกิหัวเราะแล้วกอดแขนผมไว้
“ฉันจะส่งดอกไม้ไปให้ที่โรงพยาบาลในฮอกไกโดนะ”
“อื้ม”
ฟุยุสึกิหน้าแดงด้วยความดีใจ
“ดอกฮามายู…เธอรู้ความหมายของมันใช่ไหม?”
“หมายถึง ‘ฉันเชื่อในตัวคุณ’ ใช่ไหม?”
“รู้ด้วยหรอ”
“รู้สิคะ ฉันวางดอกไม้ในห้องไว้ตลอด”
“ถ้างั้น เธอรู้ไหมว่ามันมีอีกความหมายหนึ่งน่ะ”
“มีด้วยเหรอ?”
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้วเอ่ยอีกความหมายออกมา
” ‘ไปยังที่อันไกลโพ้น’ “
“ไปยังที่อันไกลโพ้น?”
ฟุยุสึกิถามกลับ ผมจึงจับมือเธอไว้
“ฉันเชื่อในตัวคุณที่ไปยังที่ไกลโพ้น”
คำพูดนั้นส่งไปยังฟุยุสึกิที่ต่อสู้อยู่ไกลจากที่นี่
“รักษาตัวให้หายแล้วกลับมานะ ฉันเชื่อในตัวเธอที่จะไปยังที่ที่อันไกลโพ้น”
“คาเครุคุง”
“ว่าไง?”
“ฉันดีใจจังเลยที่ได้หลงรักคุณ”
ฟุยุสึกิเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะเอนตัวแล้วซบหน้าลงบนไหล่ผม
จากนั้น ริมฝีปากของเราก็ประกบเข้าหากัน
หัวใจผมเต้นแรงขึ้น
ความรู้สึกพลุ่งพล่านราวกับประกายของไฟเย็นที่แตกกระจาย ผมอยากให้ช่วงเวลานี้หลอมรวมเราเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดไป
บางที มันอาจกินเวลาเพียงไม่ถึงสิบวินาที
แต่สำหรับผมแล้ว มันช่างยาวนานเหลือเกิน ยาวนานพอให้รู้สึกถึงความสุขที่เหมือนจะคงอยู่ตลอดไป
ครั้นเราผละริมฝีปากออกจากกัน ฟุยุสึกิก็โอบกอดตัวผมแน่น
“อื้ม ฉันจะพยายามอีกหน่อย”
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
หลังจากนั้น
ฟุยุสึกิก็กลับมาป่วยด้วยโรคมะเร็งอีกครั้ง และลุกขึ้นสู้ทุกครั้ง
แต่ ในท้ายที่สุดแล้ว โรคร้ายก็ได้คร่าชีวิตเธอไป