“อะไรล่ะไอ้เรื่องที่จะขอให้ช่วยน่ะ”
ทัตสึยะเปิดปากถามขณะที่กำลังถูกไดอาน่าลากไปที่ไหนสักแห่ง
“เป็นเรื่องใหญ่ แถมใหญ่มาก ๆ ด้วย”
พอได้ยินเช่นนั้นมันก็ยิ่งย้ำเตือนความสงสัยให้มากขึ้น
ขณะที่เดินตามไดอาน่าไปเรื่อย ๆ ทัตสึยะก็เริ่มสังเกตผู้คนที่ออกมาทำกิจวัตรในยามเช้า ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแบบที่ไดอาน่าพูดไว้จริง ๆ นั่นแหละ เพราะทหารที่คอยลาดตระเวนในเมืองมีน้อยจนแทบจะนับด้วยนิ้วมือเดียวได้เลย
“แล้วจะพาฉันไปถึงไหนล่ะ”
“ใกล้แล้วล่ะ”
พอได้ยินว่าใกล้ถึงแล้ว ทัตสึยะก็เลยแหงนหน้ามองระฆังของโบสถ์ที่อยู่กลางเมืองเพื่อคาดเดาสถานที่
“เอ๋— อย่าบอกนะว่า”
แน่นอนว่ามันคงไม่ผิดจากที่คิดไว้ สถานที่นั้นคือด้านหลังของโบสถ์กลางเมือง
“ก็แอบคิดเหมือนกันนะว่าอยากเลี่ยงความวุ่นวาย…นี่ฉันใช้โชคหมดไปแล้วรึไง”
“อะ พี่ไดอาน่ากลับมาแล้ว”
“พี่ไดอาน่า~”
ทันทีที่เดินมายังจุดนัดพบของไดอาน่า เขาก็พบกับเหล่าเด็ก ๆ ที่วิ่งกรูกันออกมาต้อนรับ เท่าที่เห็นน่าจะมีสักห้าคน เป็นเด็กเล็กที่ยังต้องได้รับการดูแลสองคน และมีเด็กโตที่พอจะคุยรู้เรื่องอีกสาม หากเดาจากส่วนสูงที่ใช้ไดอาน่าเป็นมาตรวัดน่าจะอายุไม่เกินสิบสองมั้งนะ
และหนึ่งในเด็กหญิงตัวเล็ก เธอนั้นอุ้มเจ้าแมวส้มมาด้วย เด็กสาวตัวน้อยกอดมันราวกับว่าเป็นตุ๊กตา
“นั่นใครอะ แฟนพี่เหรอ”
“เอ๋ะ! จะเป็นไปได้ไงเล่า ฉันไม่สนใจคนแบบหมอนั้นหรอกนะ”
ไดอาน่ารีบบอกปัดอย่างรีบร้อนแทบจะทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นจากเด็กน้อย
“เฮ้อ~ แล้วตกลงจะลากฉันมาทำไม คงไม่ได้จะใช้ให้เป็นพี่เลี้ยงเด็กใช่ไหม”
“ไม่ใช่ย่ะ!”
“งั้นก็พูดมาสิ เธอรีบอยู่ไม่ใช่เหรอ”
เพราะดันเผลอวางใจไปชั่วขณะเธอจึงลืมเป้าหมายแรกไป แต่พอได้ยินน้ำเสียงที่ดูไม่ใส่ใจแต่กลับแลดูจะเป็นห่วงก็ทำให้ไดอาน่าดึงสติกลับมาได้
“ตอนที่ฉันไม่อยู่ที่นี่มีเด็กหายไปสองคนน่ะ”
“ไม่ใช่ว่าโดนรับเลี้ยงไปแล้วรึไง”
“ฉันไปถามพวกเด็กดูแล้ว พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องการรับเลี้ยง ยิ่งเป็นช่วงเวลาแบบนี้ด้วย โอกาสที่จะโดนรับเลี้ยงเลยยิ่งน้อยเข้าไปอีก”
“ก็ใช่ว่าจะไม่มีนี่ ของแบบนั้นถ้าไม่ไปถามผู้ดูแลโบสถ์ก็ไม่รู้หรอก”
“ก็เพราะแบบนั้นไง!”
เด็กผู้ชายคนหนึ่งตะโกนออกมาเช่นนั้น เมื่อถูกแทรกความสนใจ ทั้งทัตสึยะและไดอาน่าต่างหันมองที่เด็กน้อยคนนั้น
“ก็คุณแม่ชีที่คอยดูแลพวกเราน่ะ ก็หายตัวไปด้วยเหมือนกัน!”
พอได้ยินคำพูดจากปากเด็กแบบนั้นแล้วทัตสึยะลองปะติดปะต่อเรื่องราวในหัวก่อนจะพาไดอาน่าออกมากระซิบกันแค่สองคน
“เพราะแบบนั้นเธอเลยคิดว่าอาจเป็นพวกแก๊งลักพาตัวเด็กใช่ไหม”
“ฉันก็ไม่อยากคิดแบบนั้นหรอกนะ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงขึ้นมา…”
“ถ้าให้พูดจากมุมฉันคุณผู้ดูแลคนนั้นอาจจะถูกปิดปากไปแล้ว แล้วทางโบสถ์ก็อาจจะมีส่วนได้ส่วนเสียด้วยเหมือนกัน”
“ไม่มีทางหรอก! ถึงจะเป็นแค่ข้อสันนิษฐาน แต่ถ้ามาพูดแบบนั้นกับทางโบสถ์ฉันไม่ยกโทษให้แน่”
ถึงจะไม่รู้เหตุผลที่ชัดเจน พอได้ฟังข้อสันนิษฐานนั้นแล้วไดอาน่ากลับแสดงท่าทีที่ไม่สบอารมณ์ออกมา
“อะไรทำให้เธอมั่นใจขนาดนั้นกันล่ะ”
“ก็เจ้าแมวตัวนั้นไง”
“เมี้ยว——”
มันตอบกลับราวกับรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในบทสนทนา
ทัตสึยะที่ได้ยินก็หันมองเจ้าแมวส้มที่เด็กหญิงอุ้มอยู่ ก่อนจะลองตรวจเจ้าแมวตัวนั้น แต่ก็ไม่พบอะไร มันเป็นเพียงแมวส้มธรรมดา
“ทั้ง ๆ ที่มีภาระต้องดูแลเด็ก ๆ แต่คุณลุงกาเบรียลที่เป็นคนดูแลโบสถ์ก็อนุญาตให้พวกเราเลี้ยงเพราะเห็นว่ามันก็ไม่ต่างจากพวกเรา ท่านลุงน่ะพูดตลอดว่าทุกชีวิตมีค่าเท่ากันหมด”
“ก็ใช่ว่าทางโบสถ์จะไม่มีส่วนเกี่ยวจริง ๆ นี่นา”
ทัตสึยะยังคงยืนกรานในความคิดเช่นเดิม หากยังไม่มีการพิสูจน์ ตัวเขาก็จะไม่ตัดความเป็นไปได้นั้นทิ้ง
“ไม่มีทาง ทุกคนในโบสถ์น่ะใจดีกับพวกเด็ก ๆ ไม่มีทางเกี่ยวข้องกับอะไรแบบนั้นหรอก”
ไดอาน่าเองก็เช่นกัน เธอยังคงยึดมั่นในความคิดเช่นนั้น เพราะว่าตัวเธอรู้จักที่นี่ดีกว่าใคร
“แล้วจะมาขอให้ฉันช่วยทำไมล่ะเนี่ย เดิมทีเรื่องนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลยสักนิด”
“พูดอะไรของนายน่ะ นี่ปัญหาใหญ่เลยนะ เป็นผู้กล้าไม่ใช่เหรอ ไม่คิดจะให้ความช่วยเหลือเด็กกำพร้าจากสงครามที่พวกนายเป็นคนก่อเลยรึไง!”
“นี่ฟังนะแม่คนเก่ง ฉันไม่เคยขอให้ใครอัญเชิญฉันมา แล้วก็ไม่เคยคิดจริง ๆ ด้วยว่าตัวเองคือผู้กล้าอะไรนั่น ถ้ามาหวังแค่จะพึ่งพลังคนอื่นแบบนี้ตัวเธอเองก็ไม่ต่างจากไอ้พวกที่อัญเชิญฉันมาหรอกนะ”
แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่ แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นทัตสึยะแสดงอารมณ์ที่รุนแรงออกมาเช่นนี้
“ให้ตายสิ มาทำให้ฉันฝันประหลาด ๆ ไม่พอยังมาพูดจาเอาแต่ใจอีกอย่างกับว่า…”
พอเตรียมที่จะหันหลังกลับทัตสึยะก็ต้องหยุดความคิดนั้น
“พวกเราได้ยินที่พูดเมื่อกี้หมดแล้ว”
“มาพูดแบบนั้นใส่พี่ไดอาน่าพวกเราไม่ยกโทษให้แน่”
“เป็นผู้กล้าใช่ไหมล่ะ แบบนั้นก็ต้องช่วยพวกเราสิ ในหนังสือยังเขียนไว้แบบนั้นเลย”
“ฉันไม่ใช่คนในหนังสือสักหน่อย เพราะงั้นหลีกไป”
ทัตสึยะส่งแรงกดดันผ่านสายตาไปยังเด็กที่ยืนขวาง แต่มันกลับไม่เป็นผล เหล่าเด็กน้อยยืนประจันหน้ากับเขาอย่างกล้าหาญ ภายใต้ดวงตาเล็ก ๆ เหล่านั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แรงกล้า มากเสียจนต่อต้านแรงกดดันนั้นได้
“คิดจะขวางคนที่มีอาวุธงั้นเหรอ?”
“ก็แค่คำขู่เท่านั้นแหละ ใครมันจะไปกลัว”
พอได้ยินแบบนั้นทัตสึยะจึงเปิดผ้าคลุมเผยด้ามจับของบาร์เกสต์ที่ซ้อนอยู่ในฝักดาบ แม้อย่างนั้นความมุ่งมั่นที่มีมันก็ไม่หายไป มองเห็นถึงความหวาดกลัวที่ซ่อนไว้ แต่ก็ไม่หนีไป ทั้งหมดไม่ใช่เพราะอยากรั้งทัตสึยะเอาไว้ แต่เป็นอะไรที่เรียบง่ายกว่านั้น
“ขอโทษพี่ไดอาน่าซะ!”
“พวกเราไม่ยอมให้ใครมาพูดจาไม่ดีใส่พี่ไดอาน่าหรอกนะ”
เหล่าเด็กน้อยไม่ได้เข้าบทสนทนานั้นทั้งหมด พวกเขาเพียงแค่อยากปกป้องพี่สาวที่ตัวเองรักเคารพก็เท่านั้น
พอเห็นภาพตรงหน้าเหตุการณ์ที่ปรากฏในฝันมันก็ชัดเจนขึ้น สิ่งที่ดำเนินอยู่ตอนนี้มันคล้ายกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเขา
“เฮ้อ~ เพราะแบบนี้ไงถึงไม่คอยถูกกับเด็ก”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมคำบ่นพึมพำ ทัตสึยะผ่อนไหล่ลงก่อนจะตัดสินใจเดินย้อนกับไปหาไดอาน่า เธอชำเลืองมองที่เขาก่อนจะยิงคำพูดเชิงจิกกัดเหมือนทุกที
“อะไร คิดจะมาเทศนาฉันอีกรึไง”
เพียงแต่คราวนี้มันดูไร้ชีวิตและหมดแรง
“กลับเข้าไปที่โบสถ์มารึยังเธอน่ะ”
“ยัง แล้วมันทำไม”
คำถามสุดน่าสงสัยนั้นดึงดูดความสนใจให้ไดอาน่าหันมาสบตา
“เข้าไปถามกับผู้ดูแลของที่นั่นสิ ฉันจะคอยดูอยู่ข้าง ๆ แล้วจะช่วยดูให้ ต่อให้โบสถ์จะบริสุทธิ์จริง ก็ใช่ว่าจะไม่มีผู้สมรู้รวมคิดนี่นา มันไม่ยากหรอกที่จะจับผิดคำโกหกของมนุษย์น่ะ”
“ไชโย!”
ได้ยินเสียงแห่งความยินดีจากด้านหลัง ทันทีที่ทัตสึยะพูดจบประโยค ไม่ต้องเดาเลยว่าสีหน้าของเด็กเหล่านั้นเป็นยังไง
“นี่จะดีใจตอนนี้มันยังเร็วไป ฉันจะช่วยเท่าที่ช่วยได้ ถ้าเรื่องมันเกินเลยอย่ามาหวังว่าฉันจะใจดีแบบนี้อีก”
ทัตสึยะรีบหันกลับไปตอบกลับเหล่าเด็กน้อยที่ดีใจกันออกนอกหน้า
…
“นี่นายน่ะ หรือว่าจริง ๆ แล้วเป็นพวกใจอ่อนกับเด็ก”
“เงียบเถอะน่า”
“เอ๊ะ! ฉันพูดถูกเหรอ? ว้าย ๆ ที่แท้ก็เป็นภัยสังคม”
“นี่ ถ้ายังขืนพูดต่อฉันจะกลับจริง ๆ แล้วนะ”
“จ้า ๆ รู้แล้วน่า”
ไดอาน่าตอบรับอย่างไม่เต็มใจ
พอทุกอย่างลงตัว พวกทัตสึยะก็เดินตรงเข้าไปด้านในโบสถ์โดยมีไดอาน่านำหน้า
แม้จะเป็นโบสถ์ที่อยู่ในเมืองเล็ก ๆ แต่มันก็ถือว่าใหญ่พอใช้ได้เลย สิ่งของตกแต่งภายในนั้นไม่ต่างจากด้านนอก หากจะให้พูดคือมันก็เป็นเพียงโบสถ์ธรรมดาทั้งข้างนอกและข้างใน และเพราะเป็นช่วงเช้าผู้คนในโบสถ์จึงมีแค่พวกแม่ชีที่กำลังทำความสะอาด
ทันทีที่เสียงเปิดประตูดังขึ้น สายตาของเหล่าแม่ชีก็จับจ้องมายังต้นเสียงโดยพร้อมเพรียง
เมื่อรู้ตัวแล้วว่าถูกจับจ้องทัตสึยะจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัวเพื่อตบตาอีกฝ่าย เขาใช้พรของตัวเองสอดส่องสายตาอย่างระวังไปที่เก้าอี้แต่ละตัวเพื่อมองหาอะไรก็ตามที่อาจเป็นหลักฐาน เขาเก็บรายละเอียดทุกอย่างที่ดูน่าสงสัยไม่เว้นแม้แต่รอยขูดบนพื้นที่ราวกับมีอะไรหนัก ๆ ถูกลากเข้ามา
“โอ้~ นั่นมันไดอาน่าไม่ใช่เหรอ ตัวสูงขึ้นรึเปล่า”
ได้ยินเสียงฟังดูยินดีดังขึ้นเมื่อเห็นคนหน้าตาคุ้นเคยเดินเข้ามา
“ไม่นะคะ ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ได้สูงขึ้นแล้วค่ะ”
ไดอาน่าตอบกลับคุณลุงสูงอายุท่านหนึ่งที่เดินเข้ามาเพื่อต้อนรับ เขาสวมชุดสีขาวแบบนักบวชทั่วไป เพียงแต่เครื่องประดับบนชุดแลดูจะต่างออกไปจากนักบวชคนอื่นที่ทัตสึยะเคยเห็นอยู่บ้างเล็กน้อย และดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักไดอาน่าดีพอสมควร
“งั้นเหรอ ได้ข่าวว่ารับงานที่ต้องเดินทางไกลมาสินะ แค่กลับมาอย่างปลอดภัยก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีแล้ว”
พอมองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นตามอายุที่กำลังยิ้มแย้มเมื่อได้พูดคุยเรื่องธรรมดา ๆ กับไดอาน่าแล้วมันก็ไม่พบถึงความน่าสงสัยใดๆ มันดูจะสิ่งที่คุณตาใจดีมักจะทำเมื่อได้เห็นหน้าหลาน ๆ เสียด้วยซ้ำ
“แล้วท่านนี้ที่มาด้วยคือ…”
“เพื่อนร่วมปาร์ตี้คนใหม่ของหนูเอง เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน เลยจะขอพามารู้จักกันเผื่อว่าจะได้รับคำคุ้มครองจากท่านน่ะค่ะ”
ไดอาน่าพูดตามบทที่เตรียมไว้อย่างไหลลื่น ไม่มีจุดไหนในคำพูดที่ต้องติเตียน
“ยินดีที่ได้พบครับท่านนักบวช ผมทัตสึยะ เป็นนักผจญภัยหน้าใหม่ที่เพิ่งจะร่วมเดินทางกับคุณไดอาน่า”
ทัตสึยะกล่าวแนะนำตัวอย่างสุภาพ เขาโค้งตัวเล็กน้อยพอเป็นพิธีหลังกล่าวไปเช่นนั้น
“หายากนะเนี่ยที่ไดอาน่าพาผู้ชายมาแนะนำแบบนี้ โอ๊ะ ต้องขออภัยที่ลืมแนะนำตัว กระผมคือหัวหน้านักบวชของที่นี่ จะเรียกแค่ว่ากาเบรียลก็ได้นะครับ”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นทั้งไดอาน่าก็เบิกม่านตาขึ้นเล็กน้อยพร้อมเหงื่อบนใบหน้าที่กำลังก่อตัว ดูเหมือนจะเป็นเธอเสียเองที่ลืมไปว่าตัวเองเคยพูดอะไรไว้
“ปกติเธอเอาแต่พูดว่าพวกผู้ชายในเมืองน่ะน่ารำคาญ ทั้งเมากันตั้งแต่หัววัน แล้วก็ไม่เคยได้เรื่องตอนงานฝีมือ นอกจากฉันที่เป็นคนเลี้ยงดูเธอมา ก็แทบไม่เคยคุยกับผู้ชายคนอื่นเลยที่เธอยอมเปิดปากพูดด้วยน่ะ”
“เอ๊ะ! ฉะ ฉันคะเคยพูดไว้แบบนั้นเหรอ คุณปู่กาเบรียลก็พูดเกินไปรึเปล่าห้าห้าห้า”
ไดอาน่าพยายามกลบเกลื่อนความสงสัยนั้นด้วยเสียงหัวเราะแห้ง ๆ
“จริงสิคุณปู่กาเบรียล ตั้งแต่หนูกลับยังไม่เห็นแม่ชีลูน่าเลย พอจะรู้ไหมว่าเธออยู่ไหน?”
“แม่ชีลูน่าน่ะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วล่ะ เธอบอกว่าได้รับข่าวร้ายจากบ้านเกิด ก็เลยขอกลับไปตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว”
“กลับบ้านเกิดเหรอ….”
“แล้วมาโก้กับฟรีน่าล่ะ เมื่อตอนหนูแวะไปหาเด็ก ๆ ไม่เห็นพวกเขาก็เลยรู้สึกเป็นห่วง”
“เมื่อวานมีเศรษฐีบอกว่าอยากได้คนรับช่วงต่อวงศ์ตระกูล แต่พวกเขาไม่มีลูกเลยมาขอรับเด็กไปดูแลพร้อมกันเลยสองคนน่ะ”
เสียงพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกของไดอาน่าถูกส่งออกมาพร้อมสีหน้าที่ดูผ่อนคลายลงนิดหน่อย แม้จะรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยหลังได้รู้คำตอบจากปากของคุณลุงกาเบรียล แต่มันกลับมีความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมาแทน เพียงแต่ก่อนที่จะได้รับคำตอบและที่มาของความรู้สึกประหลาดนั้น เสียงของทัตสึยะก็ดังแทรกขึ้นมา
“ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณหน่อย ผมคิดว่าทางโบสถ์น่าจะพอมีข้อมูลของสิ่งที่ทางกิลด์ไม่รู้อยู่”
ทัตสึยะกล่าวพร้อมหยิบผ้าผืนเล็กที่ห่อบางสิ่งเอาไว้ขึ้นมาจากกระเป๋าบนเข็มขัด
“นั่นหรือว่า”
พอแกะผ้าที่คลุมอยู่ออกก็พบกับวัตถุปริศนารูปทรงใบไม้สีขาวเงินสะท้อนแสง
คุณลุงกาเบรียลชำเลืองมองพร้อมหรี่ตา
“มันดูคล้าย…เกล็ดเลยนะ”
“มันเป็นเกล็ดของสิ่งมีชีวิตที่พวกผมเจอใกล้ ๆ กับเหมืองเก่าน่ะครับ ผมลองเอาไปให้ทางกิลด์ประเมินแล้วแต่ทางนั้นก็ไม่มีข้อมูลเหมือนกัน แถมมันยังปกคลุมด้วยออร่าประหลาดที่บดปังเวทตรวจสอบ แบบเดียวกับเครื่องประดับบนเสื้อของคุณด้วย คุณพอจะรู้อะไรรึเปล่า”
คำถามที่ยากจะตอบของทัตสึยะถูกยิงใส่คุณลุงกาเบรียลอย่างไม่ทันตั้งตัว สังเกตได้จากปฏิกิริยาที่ไม่เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลังได้ยินคำถามข้อสุกท้าย
“ฉะ ฉันไม่รู้หรอก เครื่องประดับนี่ก็เป็นของที่ถูกส่งต่อมาจากรุ่นก่อนแค่นั้น ตะ แต่ถ้าเธอมีข้อสงสัยฉันก็ตอบให้ไม่ได้เพราะนอกจากเอกสารพิธีรับตำแหน่งที่นี่ก็ไม่มีอย่างอื่นที่เธอคิดว่ามีประโยชน์แล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องลำบากก็ได้ จริงสิ ผมลืมไปเลยว่าวันนี้ถูกทางกิลด์เรียกพบช่วงสาย วันนี้ถือว่ามาแนะนำตัวเฉย ๆ ไว้คราวหน้าค่อยมาทำพิธีรับการคุ้มครองกันนะครับ”
ทัตสึยะโค้งคำนับพร้อมพาไดอาน่าออกจากโบสถ์ ดูเหมือนเมื่อกี้เขาจะจงใจถามคำถามนั้นกับลุงนักบวชเพื่อจับพิรุธบางอย่างที่มีเมื่อได้เห็นเกล็ดสีขาวนั่น
“แหม~ ก็คิดไว้แล้วคงไม่มีอะไร คุณลุงกาเบรียลก็ตอบมาแบบนั้น คงคิดมากเองสินะ”
“เธอคิดงั้นจริงเหรอ”
“อะไรของนาย นายก็ได้ยินแล้วนี่เรื่องเด็กสองคนนั้นกับแม่ชี นี่ถือเป็นเรื่องดีนะที่มีคนมารับเลี้ยงน่ะ”
“ในคำพูดของลุงนั่นมีคำโกหกกับจุดประสงค์แอบแฝงเพียบเลย”
“พูดอะไรน่ะ มันก็ดูปกติดีนี่นา ฉันน่ะอยู่กับเขามานาน เพราะงั้นตอนที่เขาโกหกน่ะฉันย่อมรู้ดีที่สุด”
“ฉันมองเห็นรอยเล็ก ๆ บนพื้นหลังที่นั่งฝั่งขวา มันเป็นรอยถลอกเล็ก ๆ บนพื้น เหมือนกับมีคนขยับมันเมื่อไม่นานมานี้ แล้วฉันลองแอบส่องดูด้วยพรของฉันก็เห็นว่าด้านใต้มีทางลับที่เชื่อมไปที่ไหนสักแห่งอยู่ แต่เพราะมันลึกเกินไปฉันเลยมองไม่ค่อยเห็น”
“พูดอะไรน่ะ ของแบบนั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ใช้เป็นทางหนีในกรณีฉุกเฉินไง”
“แล้วเธอจะอธิบายเรื่องคำโกหกนั่นยังไงล่ะ”
“นายน่ะคิดไปเองแล้ว คุณลุงกาเบรียลน่ะยังไม่ได้โกหกเลยด้วยซ้ำ”
“ถ้าเคยอ่านความทรงจำของฉันไปครั้งหนึ่งก็น่าจะรู้นี่ ดวงตาคู่นี้มันมองทะลุคำโกหกได้”
“ฉันมันผิดเองแหละที่ไปหวังให้นายช่วย ถ้าไม่อยากทำขนาดนั้นก็พูดมันออกมาเลยสิ แต่ถ้ายังขืนว่าร้ายอะไรคุณกาเบรียลฉันไม่ยกโทษให้แน่”
ทันทีที่พูดจบประโยคไดอาน่าก็หันหลังและเดินกลับไปที่โบสถ์อีกครั้ง
“แล้วนั่นจะไปไหน”
“ฉันจะกลับไปสืบเองคนเดียว! นายจะไปไหนก็ไปเลย!”
ไดอาน่าตะโกนกลับเช่นนั้นโดยไม่หันมองเธอรีบเดินจากไปอย่างเสียอารมณ์
“แล้วเรื่องส่วนแบ่งล่ะ…”
แม้จะพูดไปอย่างนั้น แต่ไดอาน่าก็ไม่ได้อยู่ฟังเสียแล้ว
“จะโกรธอะไรขนาดนั้น”
ทัตสึยะเก็บถุงซากมอนสเตอร์ลงกระเป๋าก่อนจะตัดสินใจว่าค่อยกลับไปหาตอนที่เธออารมณ์เย็นลงแล้ว ขณะที่หันหลังทัตสึยะมองเห็นกลุ่มคนน่าสงสัยที่ยืนอยู่ด้านหลังตน
“เฮ้อ~ อุตส่าห์คิดว่าจะไม่หาเรื่องใครก่อนแล้วเชียว”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะมองไม่เห็นและจับสัมผัสไม่ได้ จนกระทั่งปรากฏอยู่ตรงหน้าถึงได้รับรู้ถึงการมีตัวตนของกลุ่มคนเหล่านี้
“ต้องการอะไร คงไม่ใช่แค่โจรกระจอกหรอกใช่ไหม”
ทันทีที่พูดออกมาเช่นนั้นกลุ่มคนที่มาจากไหนไม่รู้ก็ดึงผ้าคลุมออกเผยให้เห็นใบมีดที่ถูกซ่อนไว้ ไม่มีแม้คำพูดตอบกลับ กลุ่มคนปริศนาพุ่งตรงเข้าหาทัตสึยะหมายจะปลิดชีวิต