แสงปริศนาพุ่งผ่านอากาศตัดผ่านต้นไม้หนาและหยุดลงเมื่อโดนเป้าหมาย
ร่างของกระต่ายขนสีขาวล้มลงก่อนกองเลือดสีแดงข้นจะไหลนอง แม้จะภายนอกเมื่อมองดูแล้วจะคล้ายกับกระต่าย แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็จะพบว่ามันไม่ใช่ ขนาดตัวของมันนั้นใหญ่พอๆ กับสุนัขโตเต็มวัย และบนหัวบริเวณหน้าผากก็มีเขาเล็กๆ ที่งอกยาวออกมา
ชายในชุดเกราะที่สวมผ้าคลุมสีดำทับไว้อีกทีเดินเข้าไปที่ร่างไร้วิญญาณของเจ้ากระต่าย ในมือของเขาถือธนูรูปทรงแปลกตามันไม่มีทั้งสายหรือลูกศร และเจ้าแสงที่คาดว่าถูกยิงออกมาก็หายไปเมื่อโดนเป้าหมาย
และหากมองเข้าไปใต้ฮูดที่คลุมหัวก็พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย อาซากิริ ทัตสึยะ ท่านผู้กล้าจากต่างโลก
“สุดยอดเลยแฮะเจ้านี่ ไม่มีเสียงไม่ทิ้งร่องรอยหรือแม้แต่กลิ่นอาย แบบนี้ต่อให้เป็นเผ่าสัตว์ป่าที่ไวต่อกลิ่นก็หลบไม่พ้น”
ดูจากต้นไม้สูงบริเวณโดยรอบ ก็คงพอเดาได้ว่าเป็นเขตป่านอกตัวเมือง
ทัตสึยะจ้องมองอาวุธที่อยู่ในมือก่อนจะกล่าวชมความยอดเยี่ยมของมัน เมื่อมองและตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่บริเวณนั้นทัตสึยะจึงเก็บเจ้าอาวุธสุดแปลกลงฝัก ทันทีที่ความคิดนั้นแล่นไปยังเจ้าอาวุธ ส่วนโค้งของคันธนูก็เปลี่ยนไป มันหดสั้นลงจนสามารถอยู่ใต้ผ้าคลุมได้โดยไม่น่าสงสัย
“เอาล่ะรีบจัดการกับเจ้านี่ดีกว่า
สิ้นสุดคำพูดทัตสึยะก็ใช้เชือกที่เตรียมมามัดร่างของเจ้ากระต่ายผู้น่าสงสารก่อนจะเริ่มลงมือทำบางสิ่ง
…
“กลับมาแล้ว”
เสียงเปิดประตูไม้ดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าเรียบนิ่งที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของชายชราเผ่าดวอร์ฟ เขายืนรออยู่ที่หน้าทางเข้าราวกับรู้อยู่แล้วว่าทัตสึยะจะมา
“ไง วันนี้กลับมาช้านะ ไปเดินหลงอยู่ในป่ารึไง”
“เปล่าๆ แค่ไปเตรียมบางอย่างเผื่อเอาไว้น่ะ”
“แล้วเป็นไง โอเคกับเจ้านั่นรึยัง”
ดวอร์ฟจ้องไปยังอาวุธที่ทัตสึยะใช้ก่อนหน้า
“อื้ม คิดว่าคงพร้อมแล้วล่ะ”
“เห้อ~วันนี้แล้วสินะ ตามข้ามานี่สิ”
คุณลุงดวอร์ฟหันหลังก่อนจะเดินนำไปที่หลังร้าน ภายในนั้นเต็มไปด้วยเครื่องมือและอาวุธมากมาย และด้านในสุดก็คือเตาเผาขนาดกลางที่ยังไม่ถูกใช้งาน
“ถึงจะไม่ได้หรูหราอะไร แต่ก็เป็นหนึ่งในชุดที่ดีที่สุดเท้าที่ข้าหาได้”
ชายชราเดินมาหยุดที่หุ่นโชว์ตัวหนึ่ง และที่บนหุ่นโชว์นั้นก็คือเสื้อคลุมยาวสีดำที่ไม่ได้ดูหรูหราแต่กลับเรียบง่ายและมีเสน่ห์
ไม่ทันสิ้นเสียงพูดดวอรฟ์ได้หยิบดาบที่วางอยู่ข้างๆ และเหวี่ยงจนสุดแรงไปที่หุ่นลองเสื้อ เสียงคมดาบที่ตัดผ่านอากาศส่งแรงลมให้ปลิว
“หากเป็นการโจมตีทั่วไปก็ทำอันตรายกับมันไม่ได้ แถมด้ายที่ทอขึ้น ก็ทำ มาจากหินเวทชนิดพิเศษ ทนทานต่อการโจมตีด้วยเวทมนตร์ระดับหนึ่ง——”
ยังไม่ทันที่ดวอร์ฟจะสิ้นสุดคำพูด แสงไฟสีส้มแดงเหนือปลายนิ้วของทัตสึยะก็ดึงดูดความสนใจไปจนหมดสิ้น
“ไฟร์บอล”
พอได้ยินว่ามันป้องกันเวทมนตร์ได้ทัตสึยะไม่รอช้ายิงเวทไฟขนาดเล็กใช่มันทันที
“เจ้าคิดจะ——”
“ไฟร์บอล ไฟร์บอล ไฟร์บอล ลูกไฟบรรลัยกัลป์!”
หลังจากเห็นว่าเวทไฟลูกแรกไม่แม้จะสร้างรอยไหม้ให้ชุดได้ ทัตสึยะจึงบรรจงยิงเวทไฟอีกนับสิบใส่ชุดนั้น
“เห้ยๆๆ หยุดเลย เจ้าคิดจะเผาร้านข้ารึไง”
“ก็เห็นบอกว่ามันกันเวทไม่ใช่เหรอ? แค่นี้จะกลัวอะไร”
“มันกันได้ แต่ไม่ได้กันได้มากขนาดนั้น!”
ดวอฟ์เกาหัวยุบยิบก่อนจะกดอารมณ์เอาไว้และเริ่มพูดต่อ
“แล้วก็ใต้เสื้อมีฉนวนความร้อนอยู่ ถ้าดึงเชือกเส้นเล็กๆ ตรงนี้ชุดก็จะอุ่นขึ้น”
“อะไรกัน ไม่เห็นจะต้องลำบากทำขนาดนั้นเลยก็ได้นี่”
“หลังจากนี้จะไปอาณาทางเหนือไม่ใช่รึไง ที่นั้นน่ะหนาวจะตาย อย่างน้อยชุดนี่ก็น่าจะช่วยอะไรเจ้าได้”
เมื่อพูดจบดวอร์ฟได้โยนบางสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ให้กับทัตสึยะ
“อะไรน่ะ ปลอกแขนเหรอ?”
มันเป็นปลอกแขนสีเงินแวววา และด้านบนถูกประดับด้วยหินสีแดง ใสดูคุ้นตา
“ข้าทำอย่างที่เจ้าบอกไปแล้ว บันทึกคัมภีร์เวท ‘ไลท์นิ่งบูส’ ลงไปในหินนั้น แล้วก็ทำช่องเล็กๆ ไว้เก็บของด้านใต้”
“งั้นเหรอ ยังงานเนียบเหมือนเดิมเลย”
“อย่ามาพูดยกยอข้าหน่อยเลย”
“ไม่เอานา จนตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจเลยทำไมคนที่สุดยอดระดับลุงถึงมาอุดอู้อยู่ในประเทศนี้”
“เห้อ~ข้าเองก็มีเหตุผลของข้าอยู่ ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก็เถอะ”
แม้จะไม่ได้พูดออกมาแต่ทัตสึยะก็รับรู้ถึงความรู้สึกที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น
“ช่างเรื่องของข้าเถอะ มาดูเจ้านี่ดีกว่า”
ดวอร์ฟยกนิ้วโป้งผ่านไหล่เพื่อดึงดูดสายตาของทัตสึยะ ที่ตรงนั้นคือโต๊ะไม้ตัวเดียวกับก่อนหน้านี้
คุณลุงดวอร์ฟวางดาบในมือก่อนจะหันไปหยิบค้อนที่วางอยู่บนนั้นขึ้นมา บนโต๊ะไม้นอกจากชุดเกราะฝังหินสีแดงที่ทัตสึยะสั่งทำแล้วนั้น ยังมีเกราะส่วนลำตัวสีเงินดูสะดุดตาวางอยู่
“จะทำอะไร?”
“ดูอยู่เฉยๆ เถอะนา”
ดวอร์ฟขยับแขนที่ถือค้อนไปมาก่อนจะตั้งท่าง้างแขนขึ้นสูง เขาหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรวบรวมกำลังแขนทั้งหมดที่มี ออร่าประหลาดบางๆ ห่อหุ้มค้อนในมือ กล้ามเนื้อบนแขนนูนออกมา จากเสื้อผ้าที่ใส่จนเห็นเด่นชัด
“ฮ่า!”
ดวอร์ฟฟาดอย่างเต็มแรงไปที่เจ้าชุดเกราะสีเงินแวววาที่วางอยู่ แรงกระแทกที่เกิดขึ้นดังสนั่นไปถึงนอกร้าน เศษฝุ่นและแรงลมที่พัดออกมาทำเอาทัตสึยะยกมือขึ้นมาบังสายตาโดยไม่รู้ตัว
แม้จะทุบแรงขนาดนั้นแต่เจ้าชุดเกราะกลับไร้รอยขีดข่วน ความแข็งแกร่งของมันสะกดความคิดในหัวให้หยุดนิ่ง สิ่งเดียวที่รับรู้มีแค่รสชาติของน้ำลายที่เพิ่งกลืนลงคอ
“อะไรเนี่ย”
ทัตสึยะมองต่ำไปที่โต๊ะไม้ และความสงสัยก็พุ่งขึ้นมาในหัว ทั้งที่มั่นใจว่าดวอร์ฟทุบจนสุดแรง แต่โต๊ะไม้กลับไม่มีแม้แต่รอยร้าว
ดวอร์ฟวางค้อนก่อนจะใช่มือลูบเบาๆ บนเกราะสีเงินแวววา
“เจ้านี่แหละผลงานชิ้นเอกของข้าเลย ทำมาจากแร่หายากหลายชนิด ทนต่อความร้อนสูง และเหนือสิ่งอื่นใด มันสามารถดูดซับแรงกระแทกได้จนน่าตกใจ ชนิดที่ว่าต่อให้เจ้าโดนยิงด้วยกระสุนปืนใหญ่ในระยะเผาขนก็ไม่เป็นไร ตอนที่ตีมันก็ลำบากเอาเรื่องเลย”
“เห~สุดยอดเลยนี่ แต่ผมคงไม่มีเงินมากพอจะจ่ายให้เจ้านั้นหรอกนะ”
“ข้าไม่เก็บเงิน”
“ห้ะ? เมื่อกี้ลุงพูดว่าไงนะ”
“ข้าบอกว่าจะไม่เก็บเงิน”
ดวอร์ฟกล่าวย้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่หนักกว่าเดิม
“จะดีเหรอ ฟังจากที่พูดมันน่าจะแพงสุดในร้านเลยนะไอ้นั่น”
“ก็จริง ถ้าขายก็คงได้หลายร้อยเหรียญทองเลย แต่ข้าก็ตัดสินใจไปแล้ว”
ดวอร์ฟวางค้อนในมือก่อนจะหันไปสบตากับทัตสึยะซึ่งหน้า ดวงตาของชายชราที่จ้องมานั้นยังคงลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงแห่งจิตวิญญาณ
“สัญญากับข้าสิว่าเจ้าจะยังเป็นเจ้าที่ข้ารู้จัก”
“หมายความว่าไง?”
“เกือบร้อยปีที่ข้าใช้แรงกายและจิตวิญญาณของช่างตีเหล็กสร้างอาวุธมากมาย เหล่าผู้คนที่ได้ครอบครองล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดนักรบ แต่เพราะมั่นใจในอาวุธที่ถือครองมากเกินไป สุดท้ายก็เอาชีวิตไปทิ้งอย่างไร้ความหมาย ครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตของข้าเคยมีผู้คนขนานนามอาวุธเหล่านั้นว่าเป็นอาวุธต้องสาปที่กัดกินผู้ถือครอง แต่กลับกัน เป็นผู้ถือครองต่างหากที่เอาชีวิตไปฝากไว้กับอาวุธจนหลงลืมว่าตัวเองเป็นใคร”
“มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“เพราะแบบนั้นแหละ ให้สัญญากับข้าสิว่าเจ้าจะไม่จบชีวิตตัวเองแบบผู้คนเหล่านั้น”
ดวงตาคู่นั้นที่จับจ้องทัตสึยะเต็มไปด้วยความหนักแน่นและแรงกดดัน เมื่อรับรู้ถึงความตั้งใจที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นทัตสึยะก็พร้อมจะตอบรับ
ถึงเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ก็มั่นใจว่าดวอร์ฟใส่ใจมากแค่ไหน ทั้ง ดาบที่วางอยู่หน้าร้าน หรือจะเจ้าชุดเกราะที่วางอยู่ตรงนั่น ล้วนแล้วแต่มีจิตวิญญาณที่สถิตอยู่ ทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ผู้สร้างอยากบอกใครก็ตามที่ได้ถือครองพวกมัน
“ผมจะไม่ทำให้ความคาดหวังของลุงต้องสูญเปล่า จะไม่กวัดแกว่งดาบอย่างเลินเล่อ แต่จะฟาดฟันโดยคำนึงถึงชีวิตของตัวเองและคนข้างหลัง”
ทัตสึยะยกเจ้าอาวุธประหลาดมาไว้หน้าสายตา ก่อนจะให้คำมั่นสัญญากับผู้สร้างตรงหน้า
“หึ งั้นก็ตั้งชื่อให้มันซะสิ”
“จะดีเหรอ”
“จากนี้ข้าคงไม่มีโอกาสเห็นมันเป็นครั้งที่สองแล้ว เพราะงั้นเป็นเจ้าที่มอบชื่อให้นั่นแหละดีแล้ว”
“งั้นเอาเป็น…ไร้เสียง…ไร้กลิ่น…อื้ม…บาร์เกสต์”
“อะไรน่ะ ฟังดูไม่เหมือนชื่อของดาบที่จะออกเดินทางพร้อมท่านผู้กล้าเลย”
“เป็นชื่อของปีศาจของโลกที่จากมาน่ะ ปีศาจที่เข้าจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว”
ใบดาบสีดำที่ไม่เคยสะท้อนแม้แต่เงาของผู้ใช้ดูจะจางลงหลังได้รับชื่อมา ราวกำลังจะบอกว่าถูกใจชื่อที่ทัตสึยะเป็นคนมอบให้
[บาร์เกสต์ ตำนานปีศาจสุนัขล่าเนื้อแถยยุโรป ไล่ล่าศัตรูด้วยร่างอันใหญ่โตแต่กลับไร้ซึ่งเสียงฝีเท้า บ้างก็บอกว่ามันล่องหนได้ บ้างก็พูดว่ามันรวดเร็วเสียจนไม่เกิดเสียง และจะสร้างบาดแผลที่ไม่มีวันรักษาให้หายแก่เหยื่อที่หนีไป]
“ก็ฟังดูน่าเกรงขามดีอยู่หรอก แต่เอาชื่ออัปมงคลแบบนั้นมาตั้ง มันจะไม่แย่เอาเหรอ”
“ไม่เป็นไร จะได้ย้ำเตือนตัวเองถึงความน่ากลัวของมันไปด้วย”
ดวอร์ฟจ้องมองทัตสึยะที่กำลังตรวจสอบอุปกรณ์เหล่านั้นอย่างถี่ถ้วนพลางรำรึกถึงวันแรกที่เจ้าได้พบกับเด็กหนุ่มตรงหน้า
“ไม่เปลี่ยนไปเลย ตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นเจ้าข้าก็รู้ว่ามีบางสิ่งที่เจ้าต่างออกไปจากคนอื่น…”
วันแรกที่ประตูไม้ถูกเปิดออก เด็กหนุ่มผมสีดำได้เดินเข้ามาในร้าน ใช้ดวงตาสีแดงที่ดูส่องประกายมองอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ว่าอยู่ในร้าน ก่อนจะหันไปถามกับเจ้าของร้านที่นั่งมองอย่างตั้งใจ
“นี่ทำไมถึงไม่เอาดาบพวกนี้ไปวางที่สูงๆ ล่ะ แบบนั้นน่าจะดีกว่านะลุง”
“พูดอะไร ดาบพวกนั้นฆ่าได้แค่มอนสเตอร์ชั้นต่ำเท่านั้นแหละ”
“อย่ามาพูดอะไรชวนให้ขำหน่อยเลย ถึงจะดูเก่าแต่ดาบพวกนี้อย่างน้อยก็ดีกว่าดาบทุกเล่มที่ขายอยู่ร้านฝั่งโน้นอีกนะ”
เจ้าของร้านเผ่าดวอร์ฟดูตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด
“เจ้าหรือว่า ไม่…คงไม่ใช่”
“หึ อะไรกัน ต่างคนก็ต่างดูออกเหรอเนี่ย”
ดวอร์ฟเผยรอยยิ้มเล็กๆ เมื่อหวนลำลึกความหลังที่ผ่านไป
“ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอก็ไม่เปลี่ยนไปเลย เจ้าเด็กอวดดีที่เอาแต่พูดจากวนประสาท แต่กลับไม่เคยเผยคำโกหกออกมาแม้แต่คำเดียว”
ทัตสึยะเดินออกจากหลังร้านพร้อมชุดแบบเต็มยศ ชุดคลุมสีดำที่ถูกสวมทับด้วยเกราะเบาสีเงิน และผ้าคลุมเวทมนตร์ที่ปกปิดอุปกรณ์ทั้งหมดของชุด
“ขอทวนแผนอีกทีสิ เจ้าบอกว่าจะออกไปยังไงนะ”
“หาทางดึงดูดความสนใจที่ประตูทิศเหนือ ก่อนจะแอบย่องออกไปที่ประตูทิศใต้ที่เดิมทีก็หละหลวมอยู่แล้ว จากนั้นก็แอบขึ้นขบวนส่งสินค้าของเมืองถัดไปเพื่อข้ามไปยังอาณาจักรอีเดน ตามหาบันทึกที่ถูกซื้อไปและตรวจสอบข้อมูลทั้งหมด”
“ปลายทางของเจ้าข้าไม่สนใจหรอก แต่ช่วยบอกข้ามาหน่อยว่าเจ้าจะผ่านสายตาของอาณาจักรยังไง ลำพังแค่ม้าเร็วก็ส่งข่าวของเจ้าไปที่ชายแดนได้ภายในสองวันแล้ว”
“ตรงนั้นแหละแผน ตลอดหลายวันตั้งแต่ประตูเมืองถูกปิดผมก็สร้างตัวตายตัวแทนไว้แล้วน่าจะพอถ่วงเวลาได้อีกนิดหน่อย”
“เจ้า…แอบไปทำอะไรไว้อีกล่ะ”
ดวอร์ฟที่ได้สบตากับทัตสึยะนั้นรู้ได้ในทันทีว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
“ศพปลอมน่ะ เป็นแผนที่ทำเผื่อเอาไว้”
“ศพปลอม?”
“วิธีทำค่อนข้างยากเลย แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาดี ถ้าไม่ได้มีดวงตาวิเศษ ก็คงมองไม่ออกหรอก…เอ่อ…อีกเดี๋ยวก็คงได้เวลาแล้วมั้ง”
“เวลา? เจ้าหมายถึง…”
ไม่ทันที่ดวอร์ฟจะพูดจนจบเสียงของผู้คนด้านนอกก็ดึงดูดความสนใจไปจนหมดสิ้น
“แย่แล้ว! เมืองหลวงถูกบุกแล้ว!”
เสียงของผู้คนมากมายร้องตะโกนอย่างแตกตื่นเมื่อสิ่งที่อยู่กลางเมืองได้รับความเสียหาย ทัตสึยะและลุงดวอร์ฟสบตากันก่อนรีบออกจากร้านเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทันที
“เจ้าเป็นคนทำสินะ”
“อาหะ”
ทัตสึยะพยักหน้ารับเบาๆ
“มันไม่เอิกเกริกไปหน่อยเหรอ?”
“แบบนั้นแหละดี จะได้ดึงความสนใจได้นานๆ ไง”
เบื้องหน้าที่ทั้งสองกำลังจ้องมองคือปราสาทกลางเมืองที่เกิดระเบิดขึ้นหลายจุดพร้อมๆ กัน ภาพตัวปราสาทขนาดใหญ่ที่กำลังถล่มจากด้านล่างสร้างความตกใจให้ชาวเมืองไม่น้อยเลย ถึงกระนั้นทัตสึยะก็รู้ดีว่าปราสาทที่ใหญ่ขนาดนั้นคงไม่ถล่มลงมาทั้งหมด อย่างน้อยก็คงได้แค่ด้านนอก
“เจ้าทำได้ไง”
“อย่าลืมสิว่าผมเป็นใคร เดี๋ยวอีกสักพักก็คงมีรายงานความวุ่นวายของประตูทางเหนือเข้ามาด้วย”
ทันทีที่พูดจบประโยคสัญญาณควันแจ้งเตือนอันตรายก็ถูกยิงขึ้นจากทางประตูฝั่งเหนือ ทั้งหมดเกิดขึ้นแทบจะในทันทีที่ทัตสึยะพูดจบ ราวกับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมันถูกคำนวณเอาไว้ดิบดี
“อย่าบอกนะว่านั้นก็…”
“ก็แค่เอาซากมอนสเตอร์หลายตัวออกมาซุกไว้ในพุ่มหญ้าแถวหน้าเมือง แล้วก็แอบทำเส้นทางไว้ให้พวกมันด้วย ได้ยินว่าพวกที่ออกหากินตอนกลางคืนจะดุร้ายกว่าพวกหากินกลางวันก็เลยลองทดสอบดู”
“แบบนั้นมันเสี่ยงทำระบบนิเวศพังเลยนะนั้น”
“ตอนแรกก็กลัวว่าจะไม่ได้ผลอยู่หรอก แต่ดูเหมือนจะออกมาดีกว่าที่คิดนะเนี่ย”
“ใช้พวกไดร์อาวูฟสินะ”
“อ่า เห็นว่าพวกมันรักฝูงมาก ถ้าเห็นตัวในฝูงตายก็จะแค้นฝังหุ่นเลยนี่”
“ข้อมูลแบบนั้นพวกทหารคงไม่รู้สินะ พอเห็นว่าเป็นมอนสเตอร์ที่เข้าใกล้กำแพงก็เลยกำจัด”
“บังเอิญเจอมันถูกเขียนไว้ในห้องสมุดน่ะ”
“นี่มันใช้ความรู้ในทางที่ผิดแล้วนะ”
“เมื่อหมาป่าตัวแรกถูกกำจัดทุกอย่างก็จะเริ่ม สัตว์กินซากกับพวกฉวยโอกาสก็จะเข้าร่วม ถึงจะทะลุเข้ามาด้านในกำแพงไม่ได้ แต่ก็น่าจะสร้างความวุ่นวายได้มากพอสมควรเลย”
ทัตสึยะแสยะยิ้มชั่วร้ายขณะจ้องมองสัญญาณควันที่ลอยขึ้นกำแพงเมือง
ดวอร์ฟยิ้มแห้ง พลางคิดในประมาณว่า “ไอ้เด็กนี่มันน่าโดนจับเข้าคุกซะจริง”
“เจ้าเล่ห์นักนะเจ้า ใช้งานสัตว์อสูรระดับสูงแถมยังวางระเบิดวังหลวงอีก”
“คงต้องบอกลากันตรงนี้แล้วล่ะ หลังจากนี้ก็ดูแลสุขภาพด้วยล่ะลุง”
“ไม่ต้องมาพูดเลย คนอย่างข้าน่ะไม่มีวันป่วยตายหรอก”
ทัตสึยะยิ้มตอบก่อนจะหันหลังเตรียมตัวออกเดินทาง
“เอานี่ไปด้วยสิ”
ดวอร์ฟโยนบางสิ่งให้ทัตสึยะที่กำลังเดินจากไป
“อะไรน่ะ”
มันดูคล้ายแท่งเหล็กหรือป้ายชื่อสีเงินเงาประกาย ด้านทั้งสองถูกสลักอักษรบางอย่างเอาไว้
“กิลด์…การค้า”
“สัญลักษณ์ของกิลด์การค้า ถ้ามีเจ้าสิ่งนั่นก็น่าจะช่วยให้ข้ามประเทศง่ายขึ้น ยังไงเก็บไว้ให้ดีล่ะ”
ทัตสึยะที่ได้รับสิ่งของมากมายไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนทั้งหมดได้ไหม สิ่งเดียวที่ทำได้มีแค่การก้มตัวและกล่าวคำขอบคุณจากใจจริงให้แก่ผู้มีพระคุณ ทั้งสองไม่ได้กล่าวลาอะไรให้มากความ คุณลุงดวอร์ฟได้แต่มองแผ่นหลังของทัตสึยะที่ค่อยๆ เดินจากไปจนลับสายตา
“ข้าจะรอฟังตำนานของเจ้าอยู่ที่นี่ และพอถึงวันนั้นร้านของข้าก็คงครึกครื้นน่าดูเลย”
ดวอร์ฟกล่าวคำพูดที่ฟังดูเลื่อนลอยนั้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างยินดี
…
เสียงระเบิดที่ดังขึ้นในปราสาทดึงดูดความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก
“เกิดอะไรขึ้น!”
“ไม่ทราบครับท่าน อยู่ๆ เส้นทางเดินหลักก็ระเบิดพร้อมกันหมดเลย”
“แล้วองค์ฝ่าบาทล่ะ ยังปลอดภัยไหม”
“ไม่ต้องห่วง…”
เสียงกระซิบหนักทุ้มดังขึ้นระหว่างบทสนทนาของพลทหารทั้งสอง เมื่อหันไปมองตามเสียงก็พบกับชายร่างสูงที่สวมชุดเกราะอัศวินแบบเต็มยศ
“ทะ ท่านลอร์ด อากิ”
“ฝ่าบาทปลอดภัยดี…”
เจ้าของคำพูดที่ดูเย็นชานั้นยังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูใจเย็นผ่านหมวกเกราะที่ปิดบังใบหน้า
“ใครกันที่มันเป็นคนทำเรื่องนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับผู้บุกรุกเมื่อหลายวันก่อนแน่ แจ้งทุกหน่วยปิดตายประตูเมืองทันที หาให้เจอไม่ว่ามันจะเป็นใคร!”
“…”
ทันทีที่กล่าวคำสั่งจนจบบางสิ่งเหนือท้องฟ้าก็ดึงดูดความสนใจของคนทั้งสาม
“สะ สัญญาณควันสีแดง?!”
“แย่แล้วครับฝูงมอนสเตอร์ไม่ทราบที่มาเข้าโจมตีประตูฝั่งเหนือครับ”
หทารในชุดเกราะอีกคนวิ่งเข้ามาแจ้งข่าวอย่างรีบร้อน เสียงหอบหายใจของเขาดังเสียจนจินตนาการออกเลยว่าวิ่งมาไกลแค่ไหน
“อึก”
ความสับสนและสีหน้าเป็นกังวลปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดบนใบหน้าของทหารหนุ่ม ถึงกระนั้นเขาก็ใจเย็นลงด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคจากอัศวินสวมเกราะ
“ใช้งานพวกนักผจญภัยเพื่อลดความสูญเสีย ส่วนเรื่องที่นี่เดี๋ยวชั้นจัดการเอง…”
น้ำเสียงที่นิ่งสงบดึงสติของทุกคนให้กลับมา ชายในชุดเกราะเดินจากไปเงียบๆ หลังพูดจบ จากนั้นจึงเป็นเสียงขอบคุณของเหล่าทหารที่ได้ยิน
“ดะ ได้ยินแล้วนี่ ส่งคนไปที่กิลด์เร็ว! เรื่องค่าตอบแทนจะเท่าไหร่ก็ได้”
ทันทีที่ได้รับคำสั่ง เหล่าอัศวินในชุดเกราะล้วนแล้วแต่ใช้มือทุบหน้าอกเสียงดังแทบการตอบรับก่อนจะเริ่มทำตามที่ได้รับมอบหมายโดยเร็ว
“เล่นใหญ่กว่าที่คิดอีกนะ เจ้านั่น…”
อัศวินในชุดเกราะแวววาวกระซิบกล่าวขณะเดินผ่านกำแพงผนังหน้าโถงบัลลังก์ และสิ่งที่อยู่บนนั้นก็คือรูปวาดเหมือนขององค์ราชา แต่ก่อนหน้านี้มันถูกปิดเอาไว้เพราะเกิดความเสียหายบนรูป และสิ่งที่อยู่บนภาพวาดหลังดึงผ้าออกคือสิ่งสุดท้ายที่ทัตสึยะทิ้งเอาไว้
“ชั้นขอลาออก มีผลตั้งแต่วันนี้!”
แม้จะไม่ได้เห็นใบหน้าภายใต้หมวกเกราะ แต่บางสิ่งกลับบอกว่าชายผู้นั้นยิ้มอยู่
“เกมน่ะ มันเริ่มไปแล้ว”
สิ้นเสียงกล่าวกระซิบร่างคนในชุดเกราะก็เดินจากไปพร้อมเพลิงที่ลุกไหม้บนภาพเหมือนขององค์งราชา…