ภายใต้ความมืดมิดในขบวนเก็บสินค้ามียามถือตะเกียงหน้าตาประหลาดคอยตรวจสอบอยู่ประปราย รูปลักษณ์ภายนอกดูไม่ต่างจากตะเกียงแบบถือธรรมดา เพียงแต่สิ่งที่อยู่ด้านในนั้นไม่ได้แพร่เคลื่อนความร้อนออกมาเลยแม้แต่น้อย
“หลอดไฟงั้นเหรอ? เพิ่งสังเกตเลยแฮะ ตั้งแต่ขึ้นมาบนตู้โดยสารก็ลืมตัวไปเลย”
ถึงจะไม่แน่ใจเรื่องการทำงาน แต่สิ่งที่อยู่ในตะเกียงนั้นมันคล้ายกับหลอดไฟ ทัตสึยะวิเคราะห์สิ่งของที่ยามคนนั้นถือพร้อมกับแอบสะกดรอยตามเงียบๆ
ยามคนนั้นหันซ้ายขวามองกล่องสินค้าที่ว่าอยู่เต็มสองข้างทางอย่างละเอียด
เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งผิดปกติเขาก็เดินตรงไปที่ไหนสักแห่ง
ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจากตะเกียง ชายหนุ่มในชุดยามก็ชำเลืองมองทัตสึยะที่ซ้อนอยู่ในเงาพร้อมรอยยิ้มน่าพิศวงที่กำลังฉีกกว้าง
เด็กหนุ่มดวงตาเบิกโพลง วินาทีเดียวกันมือขวาก็คว้าจับบาร์เกสต์ เมื่อกะพริบตารอยยิ้มนั้นก็หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ทัตสึยะที่กำลังสับสนขยี้ตาของตัวเองพร้อมใช้พรทั้งสองข้อของตัวเองตรวจสอบชายคนนั้นอย่างละเอียด แต่มันก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ ไม่มีขวัญดำปกคลุมร่างเหมือนพวกที่กินเมล็ดแห่งพร ไม่มีการปิดกันเนตรมารเหมือนพวกมังกร
เขาคนนั้นเป็นเพียงชายหนุ่มร่างสูงอายุราวๆ ยี่สิบห้าถึงสามสิบ มีปริมาณพลังเวทในร่างสูงกว่าค่ามาตรฐานของคนปกติเพียงเล็กน้อย ไม่มีพรศักดิ์สิทธิ์หรืออาวุธใดๆ ที่น่าสงสัย
“นี่ฉันตาฝาดไปงั้นเหรอ?”
แต่ก็เพื่อความแน่ใจ ทัตสึยะจึงตัดสินใจสะกดรอยตามไปอีกระยะหนึ่ง จนกระทั่งยามคนนั้นหยุดอยู่ที่หน้าห้องปริศนาที่ยังคงเปิดไฟไว้ด้านใน
“มาช้านะนาย นี่มันก็หมดเวลางานของนายมาระยะหนึ่งแล้วไม่ใช่รึไง”
“ขอโทษครับ พอดีมันมืดก็เลยใช้เวลานานกว่าที่คิด”
มียามอีกคนเดินออกมาจากห้องดั่งกล่าว ดูเหมือนจะเป็นเวลาเปลี่ยนเวรพอดี
“ให้ตายสิ มาทำงานวันแรกสินะ อย่าให้มีคราวหน้าอีกล่ะ”
“ครับ ผมจะปรับปรุงตัว”
ยามคนที่ทัตสึยะแอบตามาก้มหัวขอโทษ ก่อนจะยื่นตะเกียงในมือให้คนที่มาแทนตน จากนั่นทั้งสองก็แยกย้ายไม่ทำงานของตน ยามที่มาใหม่เดินไปอีกทางที่ที่ตรงกันข้ามกับทางที่ทัตสึยะเพิ่งผ่านมา ส่วนยามอีกคนที่ทัตสึยะสะกดรอยนั้นเดินตรงไปตู้โดยสารที่เป็นตู้สำหรับพนักงาน
ทัตสึยะเดินผ่านความมืดไปยังห้องที่คาดว่าจะเป็นของทำงานของพนักงานรักษาความปลอดภัย จากนั้นจึงไม่รอช้าหยิบเอกสารรายละเอียดสินค้าขึ้นขึ้นมา
เขาใช้พร “เข้าใจทุกสรรพสิ่ง” รีบแปลข้อความบนเอกสารและจดจำมันทั้งในทันที
“ตู้สินค้าดูจะไม่มีอะไรผิดปกติสินะ ที่น่าสงสัยน่าจะเป็นตู้ลำเรียงมอนสเตอร์ที่อยู่ท้ายสุดสินะ”
เพราะปลายทางของเส้นทางคือแกรนโนอา สถาบันเวทมนตร์ที่ใหญ่ที่สุดบนมหาทวีป จึงมีบางครั้งที่เหล่านักวิจัยของโรงเรียนต้องการมอนสเตอร์ที่หาไม่ได้จากบริเวณสถาบัน
“สินค้าเพื่อการวิจัยบางครั้งก็จะถูกลำเรียงไปแบบมีชีวิตสินะ”
ทัตสึยะอ่านรายละเอียดสินค้าประเภทมอนสเตอร์อย่างละเอียดก่อนจะเริ่มถอนหายใจออกมา
หากว่าบาทหลวงคนนั้นพาสัตว์อันตรายอย่างมังกรมาด้วย ตัวเลือกที่ว่าเขาอาจลงจากรถเพื่อเปลี่ยนขบวนคงถูกตัดทิ้ง เพราะยังไงตัวเฟอร์เมียนคงไม่คิดจะใช้ไพ่ใบสุดท้ายเพื่อหลอกกิลด์นักผจญภัย
มันเสี่ยงเกินไป เพราะยังไงกิลด์ก็ต้องกระจายคนไปที่รถขบวนอื่นด้วยอยู่แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นสู้ใช้เจ้ามังกรนั้นยึดรถไฟแล้วจับคนสำคัญมาเป็นตัวประกันจนกว่าจะถึงปลายทางน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
หากเป็นกรณีที่ถูกปิดประตูตีแมวแบบนี้ ตัวเลือกอย่างหลังดูจะมีความเป็นไปได้มากสุด ถึงกระนั้นการอยู่เงียบๆ โดยไม่ให้ถูกจับได้คงเป็นเป้าหมายของบาทหลวงเฟอร์เมียนมากกว่า
“จำนวนที่ต้องไปตรวจสอบมีไม่น้อยเลยแฮะ คืนเดียวคงไล่ดูไม่หมดแน่”
สอดส่องเอกสารในมือก่อนจะเริ่มถอดถอนใจ
“ไม่มีสินค้าที่เป็นมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ ส่วนขนาดกลางนั้นมีอยู่ห้าตัว”
เป็นมิโนทอร์วัยรุ่นสองตัว แมนติคอร์โตเต็มวัยหนึ่งตัว แล้วก็ค็อกคาทริสวัยเจริญพันธุ์อีกสองตัว
“คงต้องเริ่มจากพวกขนาดกลางสินะ…ค็อกคาทริสงั้นเหรอ ไอ้ตัวที่สาปคนให้กลายเป็นหินได้อะนะ ทำไมถึงมีตนต้องการตัวอันตรายแบบนั้นกันนะ”
ทัตสึยะพูดอย่างเหนื่อยใจหลังได้เห็นรายชื่อของสินค้าเหล่านั้น
“เพราะว่าไข่ของมันเป็นที่ต้องการมากในตลาดยังไงล่ะ”
เสียงของใครบางคนกล่าวกระซิบเช่นนั้น
วินาทีนั้นทัตสึยะดวงตาเบิกโพลง ไร่ซึ่งจิตรสัมผัส ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้า กว่าจะรับรู้ตัวตนก็มีเสียงนั้นดังขึ้นเสียงแล้ว
เด็กหนุ่มทิ้งกระดาษทั้งหมดพร้อมกระโจนออกมาจากจุดนั้น ขณะเดียวกันบาร์เกสต์ก็ถูกชักออกจากฝัก ดวงตาสีแดงของทัตสึยะเบิกกว้าง แต่สิ่งที่เห็นหลังกองเอกสารปลิวลงพื้นคือเงาสีดำแบบเดียวกับที่เคยเห็นมาหลายๆ ครั้ง
“ดวงตานั้นสะดวกดีนะครับ แต่ผมว่าคุณควรเรียนรู้ที่จะใช้พลังของมันให้ละเอียดอ่อนกว่านี้อีกหน่อย เล่นมองคนโน้นคนนี้ไปทั่วเลย คิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้รึไงว่ากำลังถูกตรวจสอบ”
เมื่อมองไม่เห็นด้วยเนตรแห่งความจริง ทัตสึยะจึงกลับมองอีกฝ่ายด้วยมุมมองปกติ
ใบหน้านั้นดูคุ้นเคย สวมชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำขบวนรถ ในมือไม่ได้ถืออาวุธใดๆ มีเพียงออร่าสีดำที่ปกคลุมร่างเท่านั้นที่ต่างออกไปจากครั้งก่อน
“ไม่ได้ตาฝาดจริงๆ ด้วยสินะ”
“คราบๆ จะคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้นก็ได้”
ดาบในมือของทัตสึยะถูกกำแน่น เขาสอดส่องสายตาไปรอบห้องเพื่อตรวจสอบ เพราะเป็นเพียงห้องของหน่วยรักษาความปลอดภัยจึงมีทางเข้าออกแค่ทางเดียว และเจ้ายามคนนั้นก็ยืนอยู่ที่หน้าประตูทางออก
ห้องเองก็เล็กเกินกว่าจะแกว่งดาบ หากต้องปะทะกันตรงนี้ยังไงทัตสึยะก็เสียเปรียบ
“อ้าวๆ มองรอบห้องตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะครับ เล่นไม่มองผมเลยแบบนี้มันไม่ประมาทไปหน่อยเหรอ”
“ถ้าถามว่าแกเป็นใครกันแน่ คงไม่ตอบกลับมาว่าเป็นแค่ยามธรรมดาใช่ไหม?”
“มุ——ฮ่าฮ่า”
ชายปริศนาในชุดยามหัวเราะออกมาอย่างจริงจังหลังได้ยินคำถามของทัตสึยะ ใบหน้าของเขาดูๆ ไปก็ไม่ต่างจากคนปกติเพียงแต่
แม้จะหัวอย่างออกรส แต่บรรยากาศรอบตัวกลับไม่ได้เบาลงเลยแม้แต่น้อย
“มันก็ต้องตอบแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ก็ทางนี้ปลอมตัวอยู่นี่นา”
หนุ่มปริศนาหยุดหัวเราะก่อนจะถอดถุงมือสีขาวที่สวมเอาไว้บนมือซ้าย
เมื่อถุงมือสีขาวถูกถึงออก จึงเผยให้เห็นแหวนสีขาวเงินที่ประดับคริสตัลสีขาวเอาไว้ แม้จะไม่รู้ความสามารถเพราะถูกปกปิดไว้จากออมหาศาลของมังกร แต่ก็พอจะเดาได้ว่านั้นคืออุปกรณ์เวทบางอย่างที่ใช้สำหรับปกปิดตัวตน
เพียงแต่มันต่างจากผ้าคลุมของทัตสึยะมีผลแค่ทำให้ไม่มีใครสังเกตถ้าไม่ถูกมองตรงๆ บางทีนั้นอาจจะเป็นแหวนที่ใช้สำหรับปรับเปลี่ยนใบหน้า
“ไม่ต้องทำหน้าตึงขนาดนั้นก็ได้น่า ต่อให้ฉันถอดแหวนโชว์หน้าจริงให้แกรู้ไป ยังไงแกก็ตายอยู่ดี”
วิธีพูดเปลี่ยนไป น้ำเสียงที่เรียบนิ่งดูสงบก็กลายเป็นพายุที่พัดโหม
ขาของชายปริศนาขยับออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ในมือไม่ได้ถืออาวุธแต่กลับมองเห็นแสงสีเงินพุ่งตรงมาที่ลำคอ
วินาทีนั้นทัตสึยะแทบหยุดหายใจ ไม่สิ หยุดหายใจไปแล้วต่างหาก
มองเห็นร่างของตัวเองที่ยืนอยู่ แต่กลับไม่สามารถสั่งการได้
หัวถูกตัดกระเด็น——
“มั่วเหม่ออะไร!”
ราวกับถูกดึงกลับมายังปัจจุบัน——
วินาทีนั้นดวงตาสีแดงก็เบิกโพลง บาร์เกสต์ในมือซ้ายถูกยกขึ้นมาปัดป้องการโจมตีนั้นได้ทัน แม้ฝ่ายนั้นจะเร็วมาก แต่ก็เพราะเวทมนตร์ไลน์นิ่งบูสที่ถูกร่ายไว้บนปลอกแขนทำให้ทัตสึยะสามารถขยับร่างกายได้เร็วกว่าที่คิด
แรงปะทะของสิ่งที่โจมตีนั้นรุนแรงและหนักราวกับดาบของสเปียร์ แต่ความเร็วนั้นคนละระดับเลย
“ไม่เลวเลยนี่”
พอตั้งใจดูเจ้าสิ่งที่เข้าจู่โจมมันกลับไม่ใช่แม้แต่อาวุธเสียด้วยซ้ำ
“กรงเล็บ?”
มือซ้ายที่ถอดถุงมือออกกลายเป็นกรงเล็บของสัตว์ร้าย เกล็ดสีดำเงาสะท้อนแสงจากหลอดไปสีส้มนั้นดูเงางาม พอเห็นแบบนั้นมันก็ราวกับมีบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว รู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
ทัตสึยะกัดฟันแน่นก็จะร่ายเวทลมแบบหยาบๆ ลงที่เท้าของตัวเอง
ทันใดนั้นสายลมก็พัดส่งเป็นแรงผลักให้เจ้ายามน่าสงสัยนั้นกระเด็นถอยไปสามก้าว สร้างเป็นจังหวะให้ทัตสึยะได้พักหายใจ มือขวาของทัตสึยะถูกยกขึ้นมาจับคอของตัวเองเพื่อตรวจสอบว่ามันยังไม่ขาดออกจากบ่า
เมื่อครู่ภาพที่เขาเห็นนั้นเป็นเพียงรูปแบบอนาคตที่อาจเกิดขึ้นในหนึ่งวินาทีถัดไป แต่เพราะไม่สามารถใช้ความสามารถนี้กับอีกฝ่ายได้ ทัตสึยะจึงใช้มันเพื่อมองอนาคตของตัวเอง
“ความสามารถของเราในตอนนี้ทำแบบเมื่อกี้ได้มากสุดแค่หนึ่งวินาที ถ้าต้องสู้แบบยืดเยื้อได้คอขาดจริงๆ แน่”
ขณะที่คิดเช่นนั้นพร้อมมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ เหงื่อเย็นมันก็ไหล่ลงมาจากหน้าผาก เตือนสติทัตสึยะให้ใจเย็นกว่านี้
“โอ้ว วิธีใช้เวทแบบนั้น อ่อ แบบนี้เองสินะ แกน่ะ คงจะเป็นเจ้าตัวปัญหานั้นสินะ”
“ตัวปัญหางั้นเหรอ ไม่ชอบวิธีเรียกแบบนั้นเลยแฮะ”
พูดจบทัตสึยะก็ปรับลมหายใจก่อนจะจับไปที่ด้ามอีกฝั่งของบาร์เกสต์ ได้ยินเสียง “กึก” บนตัวดาบ จากนั้นทัตสึยะก็ดึงมันแยกออกเป็นสองส่วน
บาร์เกสต์โหมดมีดคู่พร้อมออกศึก!
“เห่ลูกเล่นเจ๋งชะมัด งั้นเจ้านั้นก็คืออาวุธของดวอร์ฟสินะ”
พอได้ยินแบบนั้นทัตสึยะก็ถึงกับชะงัก ตัวเขาไม่เคยบอกใครถึงเรื่องนี้ คนที่รู้ว่าบาร์เกสต์คืออาวุธที่ถูกตีขึ้นโดยมหาศาลวอร์ฟน่าจะมีแค่เขาและผู้สร้างของมันเท่านั้น
“นี่แกรู้ข้อมูลของฉันมากแค่ไหนกัน”
ทัตสึยะขมวดคิ้วและเริ่มปั้นหน้าตึงเครียดหลังได้ยินที่ฝ่ายนั้นพูด มือทั้งสองที่จับบาร์เกสต์อยู่เองก็กำแน่นจนผิดสังเกต
“อุ้ยตาย ดูเหมือนฉันจะหลุดพูดอะไรที่ไม่ควรออกไปสินะ”
เมื่อเห็นว่าทัตสึยะเริ่มเอาจริง ชายปริศนาคนนั้นจึงเริ่มตั้งท่าเช่นกัน เขากางขาออกพร้อมมือซ้ายที่เป็นกรงเล็บ
“ถึงจะถูกสั่งห้ามไม่ให้ฆ่าแกตอนนี้ แต่ถ้าทำแค่เกือบตายคงได้”
พูดจบดวงตาคู่นั้นก็เปลี่ยนไปราวสัตว์ร้าย ขาทั้งสองพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว แรงที่เกิดขึ้นทำเอากองเอกสารมากมายปลิวว่อนไปทั่วห้อง
แม้ศัตรูจะเร็วกว่าเมื่อครู่ แต่ทัตสึยะที่ทำจิตใจให้เย็นลงแล้วก็มองเห็น ไม่ใช่ตัวเจ้านั้น แต่เป็นทิศทาง เพราะแรงส่งมหาศาลจึงก่อให้เกิดความเสียหายทุกครั้งที่ขยับตัว ห้องนี้สร้างขึ้นจากไม้เป็นส่วนใหญ่จึงเกิดร่องรอยความเสียหาย
“ตรงนั้น”
ตึง!——
เสียงของแข็งตกกระทบกันอย่างรุนแรง สะเก็ตไฟสีแดงส้มสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
นัยน์ตาสีแดงของทัตสึยะจับจ้องอีกฝ่ายด้วยอารมณ์มากมายที่พร้อมพรั่งพลูออกมา ใบดาบสีดำแกมม่วงของบาร์เกสต์ถูกห่อหุ้มด้วยพลังเวทของทัตสึยะ คมดาบที่ปัดป้องการโจมตีแรกได้นั้นไม่หยุดอยู่แค่นั้น
ฉึบ!
มีดสั่นทั้งสองตัดผ่านสายลมอย่างง่ายดาย ในวินาทีที่แสนยาวนานนี้มันไม่เพียงแต่รับการโจมตีจากกรงเล็บ แต่ยังเฉือนผ่านเกล็ดสีดำเงาบนแขนข้างนั้นด้วย
เมื่อรู้ตัวว่าตนเองได้รับบาดเจ็บ เจ้าคนในชุดยามจึงกระโจนถอยห่างออกไป
กองเลือดบนพื้นไหล่ออกมาจากแผลบนแขนซ้าย เนื้องจากการฉูบฉีดเลือดในร่างค่อนข้างเร็วจึงมีปริมาณเลือดไม่น้อยเลยที่ไหล่ออกมาก่อนที่แผลจะปิด
“ไม่เลวเลยสำหรับการอุ่นเครื่อง”
ใบหน้าของเจ้าชุดยามไม่หลงเหลือความสงบและท่าทีดูเล่นสนุกเองก็หายไป ภายในแววตาบนใบหน้าปลอมๆ มีเพียงภาพสะท้อนของทัตสึยะ
แขนซ้ายที่ชุ่มเลือดกำลังไหล่นั้นถูกเกร็งจนกล้ามเนื้อเหล่านั้นขยายตัว ไม่นานเลือดก็หยุดไหล่เพราะบาดแผลถูกปิด
“คราวนี้จะมาไม้ไหนอีกล่ะ”
ทัตสึยะตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับภาพตรงหน้า แต่วินาทีนั้น
ภาพของกรงเล็บปรากฏตรงหน้า
สิ่งที่ได้เห็นมีเพียงเลือดสีแดงที่ย้อมไปทั่วห้อง และร่างของตัวเองที่ล้มลง——
ทัตสึยะดึงสติกลับมาหลังได้เห็นภาพนั้นในหัว เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายจะโจมตีเข้ามาจากด้านหน้าบาร์เกสต์ในมือจึงถูกยกขึ้นมาป้องกัน แต่เมื่อมองดูให้ดีแล้วสิ่งที่เห็นกลับไม่ใช่ศัตรูที่พุ่งเข้ามา แต่เป็นพื้นอันว่างเปล่า
“อ่อ แบบนี้เองสินะ”
เสียงนั้นดังก้องมาจากด้านหลัง
ที่บนผนังตรงมุมห้องพอดี ปรากฏเป็นร่างของบุคคลที่สวมชุดหน่วยรักษาความปลอดภัยกำลังใช้มือจิกผนังกำแพงไว้แน่น
ทัตสึยะที่รู้แล้วว่าพลาดทำได้เพียงเร่งการจ่ายพลังเวทไปที่เกราะขาเพื่อทำให้ตัวเองขยับร่างกายได้เร็วขึ้นแต่มันก็ดูจะสายเกินไป
พื้นผนังเกินรอยแตกร้าว
สิ่งที่เห็นอยู่ภายในดวงตาสีแดงคือใบหน้าและกรงเล็บของสัตว์ร้ายที่พุ่งเข้าใส่ราวกับผู้ล่าที่กำลังจะได้เขมือบเหยื่อที่เผลอหันหลังให้
“อย่าแม้แต่จะคิดนะเว้ย”
สิ้นเสียงพูดนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น
ตูม——
เจ้าชุดยามโดนแรงระเบิดนั้นเข้าอย่างจัง จนตอนนี้ชุดที่สวมขาดรุ่งริง
“หน่อย! ใครกัน!”
เมื่อขาทั้งสองเหยียบลงเป็นพื้นก็ได้ยินเสียงสบถฟังดูไม่พอใจดังขึ้นทันที
ทัตสึยะที่รอดตายอย่างหวุดหวิดรีบถอยร่นออกมาจากตรงนั้นพร้อมใช้สายตาสอดส่องไปยังร่างของใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง
เมื่อฝุ่นควันจากแรงระเบิดจางลงจึงปรากฏให้เห็นถึงใบหน้าที่อยู่หลังม่านควัน
เส้มผมสีขาวเงินสวมสุดคลุมสีขาวที่ดูจะใหญ่กว่าตัวเล็กน้อย บนหัวสวมหมวกใบเล็กสีเดียวกับหิมะ ในมือนั้นถือหน้าไม้เหล็กแบบสองสายอยู่ในมือ
“เธอ!”
“อย่าเพิ่งตกใจสิ มันมาแล้ว!”
สายตาของทัตสึยะรีบหันกลับไม่มองศัตรูทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น เจ้าชุดยามกระโจนออกมาจากฝุ่นควันที่ลอยฟุ้งพร้อมใบหน้าที่โกรธจัด
ไดอาน่าที่เห็นแบบนั้นจึงไม่รอช้าที่จะเหนี่ยวไกศรดอกที่สองเข้าใส่แทบจะในทันที
เจ้านั้นหลับศรของไดอาน่าได้อย่างง่ายดาย แต่เพียงเท่านั้นก็มากพอจะเปิดโอกาสให้ทัตสึยะได้โต้กลับ
บาร์เกตส์พุ่งผ่านสายลมเข้าจู่โจมเป้าหมายที่อยู่เบื้องหน้า ถึงกระนั้นเจ้ากรงเล็บก็ยังรับการโจมตีได้
“คู่ต่อสู้ของแกคือฉัน”
สิ้นเสียงกล่าวบาร์เกสต์อีกเล่มในมือขวาก็พุ่งตรงเข้าอีกฝ่าย เมื่อรู้ตัวว่าเสียเปรียบเจ้านั้นถึงกระโจนถอยออกไป แต่ก็ช้าไปหนึ่งก้าว เพราะที่กลางอกนั้นได้ปรากฏรอยแผลคมกริบขึ้นหนึ่งรอย
“…”
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ละ ไม่ใช่ว่าเข้านอนไปแล้วรึไง”
“อะไร คิดจะเทศนากันรึไง นี่ฉันเพิ่งช่วยนายไว้นะ”
ระหว่างที่กำลังพูดไดอาน่าก็รีบบรรจุศร พร้อมกับใช้พลังของเธอสร้างหินเวทก้อนเล็กขึ้นมาจากความวางเปล่า หินสีประหลาดที่ปรากฏถูกยัดไว้บนปลายศรก่อนที่หน้าไม้นั้นจะหันเข้าใส่ชายปริศนาตรงหน้า
“พลังนั้นมัน…”
สีหน้าที่อัดแน่นไปด้วยความเดือดดาลเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นสิ่งที่ไดอาน่าทำระหว่างบรรจุศรของหน้าไม้
เห็นได้ชัดเลยว่าไหล่ของเขานั้นผ่อนลง เส้นเลือดที่ปรากฏบนแขนเองก็จางหายไป ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน
“อะไรน่ะ นี่เธอรู้จักหมอนั้นด้วยงั้นเหรอ?”
ทัตสึยะที่เห็นปฏิกิริยานั้นหันไปกระซิบกับไดอาน่า
“ฉันจะไปรู้จังคนที่เหมือนสัตว์ประหลาดแบบนั้นได้ไงกันเหล่า”
เธอรีบตอบกลับทันทีที่ถูกถาม
“หึ หึหึ แบบนี้เองสินะ โชคชะตามันถูกกำหนดมาแล้วสินะ”
เสียงหัวเราะชวนสยองดังขึ้น จากนั้นจึงตามมาด้วยคำพูดเข้าใจยาก ท่าทีแบบสัตว์นั้นค่อยๆ หายไป เขากลับมายืนหลังตรงก่อนจะยกยิ้มดูน่าหงุดหงิด
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่พวกเราควรพบกัน”
มือซ้ายที่เป็นกรงเล็บจับไปที่ผนังของห้อง และเมื่อออกแรงผนังก็ถูกทำลาย เผยให้เห็นทิวทัศน์ด้านนอกที่กำลังขยับ
“คิดจะหนีเรอะ!”
ไม่รอให้ทัตสึยะพูดจบประโยค เจ้าคนในชุดยามก็กระโจนออกไปทางรูที่ตนเพิ่งสร้าง ทัตสึยะรีบพุ่งตัวออกไปเพื่อมองหาอีกฝ่าย แต่เมื่อยื่นหน้าออกไปกลับไม่พบแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต
“โถ้วเว้ย มันหนีไปแล้ว”
“จะโมโหไปก็เท่านั้นแหละ ลำพังนายคนเดียวยังเอาตัวแทบไม่รอดเลย ต่อให้สู้กันต่อยังไงฝ่ายที่แพ้ก็คือฝั่งนี้”
ทัตสึยะได้แต่สบถอยู่ในใจก่อนจะชักสีหน้ากลับมาเป็นปกติ
“ไม่ได้คิดจะสู้จนชนะสักหน่อย”
“?”
“ฉันอยากได้ข้อมูลต่างหาก เจ้านั้นรู้ในสิ่งที่มีแค่ฉันที่รู้ แถบตอนที่สู้กันมันก็ไม่หลุดปากพูดสิ่งที่ฉันอยากรู้ออกมาเลย”
“หมายถึงเรื่องที่นายเป็นผู้กล้าเหรอ?”
“เปล่า ฉันหมายถึงเรื่องของผู้สร้างดาบเล่มนี้ต่างหาก”
ทัตสึยะประกบบาร์เกสต์เข้าไว้ด้วยกันจากนั้นถึงเก็บมันลงฝัก
“ลุงดวอร์ฟน่ะเหรอ”
สายตาของทัตสึยะรีบหันกับมายังไดอาน่าทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น
“นี่เธออ่านความทรงจำของฉันไปถึงขนาดไหนกันห้ะ”
เขาใช้มือขวาบีบแก้มของไดอาน่า ในสายตาเองก็กำลังมีแต่คำถามมากมายที่พร้อมปะทุออกมา
“ก็เห็นทั้งหมดตั้งแต่มาที่โลกนี้นั่นแหละ ปล่อยได้แล้ว!”
เธอดึงมือของทัตสึยะออก ก่อนจะใช้มือของตัวเองลูบแก้มที่แดงจากการถูกบีบ
“เธอเห็นทั้งหมดนั้นจากการสัมผัสฉันแค่ครั้งเดียวอะนะ”
“ก็ใช้ แล้วมันจะทำไม”
ทัตสึยะกุมหน้าผากก่อนจะถอนหายใจออกมา เขาดูจะอึ้งกับขอบเขตความสามารถของพรอ่านความทรงจำนั้น พอคิดว่าทำได้ยังไงกัน รับข้อมูลขนาดนั้นได้ในไม่ไม่ถึงหนึ่งวินาที แต่สุดท้ายต่อให้ถามออกไปเจ้าตัวก็คงตอบไม่ได้เหมือนกัน เขาจึงเลิกคิดหาเหตุผล
“ช่างเรื่องความทรงจำฉันเถอะ แล้วนี่เธอมาอยู่นี่ได้ไง?”
“กะ ก็ฉันนอนไม่หลับเลยเดินออกมาห้อง ละ แล้วก็บังเอิญเดินมาทิศเดียวกับที่นายไปตรวจสอบ จากนั้นก็ได้ยินแปลกเลยรีบวิ่งมา”
ดวงตาของทัตสึยะมันจ้องเขม็งมาที่ไดอาน่าอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้มันเต็มไปด้วยความเอือมระอา
“เธอแค่อยากแอบตามฉันมานี่หว่า ก็ไหนเธอพูดว่า อย่างน้อยฉันก็เข้าใจงานของตัวเอง แล้วก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงมอบหน้าที่นั้นให้นาย ฉันน่ะรู้จุดยืนตัวเองดี แบบนี้มันไม่เห็นเหมือนที่เธอพูดไว้เลยนี่”
ไดอาน่าที่เถียงไม่ได้ทำได้เพียงพูดอย่างตะกุกตะกัก
“ตะ แต่ที่ฉันช่วยนายไว้นั้นก็เป็นเรื่องจริงนะ!”
เรื่องที่พูดมามันก็จริง หาไม่ได้เธอที่แอบตามมา ตัวเขาอาจจะตายไปแล้วจริงๆ ไหล่ของทัตสึยะมันผ่อนลงเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยินเสียงพ้นลมหายใจเบาๆ
“พูดอะไรน่ะ เจ้านั้นมันไม่ฆ่าฉันหรอก ถึงจะไม่รู้เหตุผล แต่ดูเหมือนจะมีบางคนที่เป็นหัวหน้าเจ้านั้นสั่งมาอีกที”
“แต่ในดวงตาของเจ้านั้นมันไม่เหลือคำว่าออมมืออยู่แล้วนะ”
ทัตสึยะวางมือไปที่หมวกของไดอาน่าหลังได้จากที่เธอพูดจบ
“เรื่องนั้นมันก็ส่วนของเรื่องนั้น เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกัน”
จากนั้นก็ใช้หมวกใบเล็กสีขาวนั้นขยี้หัวของเธอ
“ยะ หยุดนะ คิดจะทำอะไร”
ทัตสึยะหยุดมือ แต่ยังไม่ทันที่ไดอาน่าจะบ่นกลับ เธอก็ได้เห็น บนใบหน้าของทัตสึยะมันปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ
“หลังจากนี้ก็เข้านอนซะ ฉันจะไปรายงานให้คุณมากัสรู้เรื่องที่เกิดขึ้น แล้วตอนเช้าพวกเราค่อยมาประชุมแผนกันใหม่”
ห้องมากัสนั้นอยู่ตู้โดยสารเดียวกับของไดอาน่า หากรีบเดินจากตู้สินค้าที่อยู่เกือบหลังขบวนก็ใช้เวลาพอสมควร
หลังจากเคาะประตูก็ได้ยินเสียงตอบรับ มากัสเดินออกมาเปิดประตูให้จากนั้นทัตสึยะก็เริ่มเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในทันที
“ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่ได้มีไพ่ตายแค่มังกร แต่ยังมีสัตว์ประหลาดสวมหนังมนุษย์อีก”
ทัตสึยะอธิบายสิ่งที่เห็นด้วยใบหน้าดูกังวล
“งั้นเหรอ ถ้าเข้าปะทะกันแบบนั้น ฝ่ายของเฟอร์เมียนก็น่าจะรู้ตัวแล้ว”
“คงไม่มีทางเลือกเหลือแล้วสินะ”
ลาร่าเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องของฝั่งผู้ชายหลังจากที่ไดอาน่าเดินไปปลุกเธอที่ห้อง
“นั้นสินะ”
มากัสพยักหน้ารับ
“เดี๋ยวที่เหลือพวกเราจะรับช่วงต่อเอง”
“มีแผนสำรองเหรอครับ?”
ทัตสึยะที่เห็นปฏิกิริยาของปาร์ตี้เคี้ยวสีเงินก็เกิดคำถามขึ้น
“ถ้าอีกฝ่ายรู้ตัวแล้วมันก็ช่วยไม่ได้ พวกเราจะไปขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของขบวนรถ ก็ไม่ค่อยอยากให้มันลงเอยที่ความวุ่นวายเหรอ แต่มาถึงขั้นนี้มันก็ช่วยไม่ได้”
ถึงกระนั้นบนใบหน้าของคนที่เป็นหัวหน้าปาร์ตี้อย่างมากัสก็ยังคงมีรอยยิ้มดูมั่นใจ แม้จะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแต่คนเป็นหัวหน้าก็ต้องไม่แสดงด้านที่อ่อนแอออกมา ทัตสึยะนับถือในจุดนั้น
“เธอไปพักเถอะ พวกเรามารบกวนเธอมากแล้ว”
มากัสวางมือบนไหล่ของทัตสึยะพร้อมกล่าวเช่นนั้น ดูเหมือนเขาเองก็คงลำบากใจที่ต้องให้คนนอกแบบทัตสึยะมาช่วย แถมตัวทัตสึยะเองก็เพิ่งเฉียดตายมาหมาดๆ
พอได้ยินคำพูดแบบนั้น ทัตสึยะก็ทำได้เพียงถอนหายใจเงียบๆ เขาปล่อยให้ไหล่ของตัวเองลงอย่างวางง่าย
“นั้นสินะครับ งั้นผมขอทำตามที่พูดนั้นเลยก็แล้วกัน”
เด็กลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทีที่ไม่ได้ผิดหวังอะไร ก่อนออกมาเขาได้หันไปสบตากับไดอาน่าที่ยืนอยู่ สายตาของอีกฝ่ายดูจะผิดหวังอยู่หน่อยๆ แต่คงเพราะได้เห็นใบหน้าที่ดูจะไม่ได้เป็นหวังอะไรเธอจึงยิ้มตอบอย่างเงียบๆ
“พอรู้สึกว่าทำงานเสร็จแล้วอยู่ๆ ร่างกายมันก็ดูจะหนักขึ้นยังไงก็ไม่รู้สิ เราเองก็คงจะเหนื่อยพอตัวเลยสินะ”
เสียงพึมพำเบาๆ ดังขึ้นตลอดทางเดินของตู้โดยสาร ระยะห่างของตู้ที่พวกปาร์ตี้เคี้ยวสีเงินพักกับตู้วีไอพีของทัตสึยะนั้นไม่ห่างกันมาก เขาจึงให้เวลาเดินมาไม่นานก็มาถึงห้องของตัวเอง
ถึงจมาขนาดนี้แล้วก็ยังประมาทไม่ได้ ทัตสึยะค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปโดยพยายามไม่ให้เกิดเสียง เมื่อเข้ามาแล้วก็ไม่พบถึงสิ่งผิดปกติ
เขาปิดประตูเบาๆ จากนั้นจึงถอนอุปกรณ์สวมใส่และเดินไปที่เตียงของตน แต่พอเดินมาถึงก็พบกับสิ่งผิดปกติ
“ตุ๊กตาสไลม์นั้นมันตัวใหญ่ขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?”
ผ้าห่มที่เขาใช้คลุมเจ้าตุ๊กตาสไลม์มันมีรูปร่างที่ต่างออกไปจากก่อนหน้านี้
และก็เป็นอย่างที่คิด พอเปิดผ้าดูเจ้าสิ่งผิดปกติมันก็กำลังนอนอยู่ตรงนั้น
ทัตสึยะขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า
แม่เอลฟ์สาวกำลังนอนกอดเจ้าตุ๊กตาสไลม์อยู่บนเตียงของทัตสึยะ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ และไม่รู้ด้วยทำไม แต่ที่รู้แน่ๆ คือเป้าหมายของนางไม่ใช่เจ้าตุ๊กตานั้น
“นี่ฉันยังขอเปลี่ยนเพื่อนร่วมทางทันไหมนะ”