ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อยตอนที่33 ความตายล่วงหน้าหนึ่งวินาที

ตอนที่33 ความตายล่วงหน้าหนึ่งวินาที

ภายใต้ความมืดมิดในขบวนเก็บสินค้ามียามถือตะเกียงหน้าตาประหลาดคอยตรวจสอบอยู่ประปราย รูปลักษณ์ภายนอกดูไม่ต่างจากตะเกียงแบบถือธรรมดา เพียงแต่สิ่งที่อยู่ด้านในนั้นไม่ได้แพร่เคลื่อนความร้อนออกมาเลยแม้แต่น้อย

“หลอดไฟงั้นเหรอ? เพิ่งสังเกตเลยแฮะ ตั้งแต่ขึ้นมาบนตู้โดยสารก็ลืมตัวไปเลย”

ถึงจะไม่แน่ใจเรื่องการทำงาน แต่สิ่งที่อยู่ในตะเกียงนั้นมันคล้ายกับหลอดไฟ ทัตสึยะวิเคราะห์สิ่งของที่ยามคนนั้นถือพร้อมกับแอบสะกดรอยตามเงียบๆ

ยามคนนั้นหันซ้ายขวามองกล่องสินค้าที่ว่าอยู่เต็มสองข้างทางอย่างละเอียด

เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งผิดปกติเขาก็เดินตรงไปที่ไหนสักแห่ง

ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจากตะเกียง ชายหนุ่มในชุดยามก็ชำเลืองมองทัตสึยะที่ซ้อนอยู่ในเงาพร้อมรอยยิ้มน่าพิศวงที่กำลังฉีกกว้าง

เด็กหนุ่มดวงตาเบิกโพลง วินาทีเดียวกันมือขวาก็คว้าจับบาร์เกสต์ เมื่อกะพริบตารอยยิ้มนั้นก็หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ทัตสึยะที่กำลังสับสนขยี้ตาของตัวเองพร้อมใช้พรทั้งสองข้อของตัวเองตรวจสอบชายคนนั้นอย่างละเอียด แต่มันก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ ไม่มีขวัญดำปกคลุมร่างเหมือนพวกที่กินเมล็ดแห่งพร ไม่มีการปิดกันเนตรมารเหมือนพวกมังกร

เขาคนนั้นเป็นเพียงชายหนุ่มร่างสูงอายุราวๆ ยี่สิบห้าถึงสามสิบ มีปริมาณพลังเวทในร่างสูงกว่าค่ามาตรฐานของคนปกติเพียงเล็กน้อย ไม่มีพรศักดิ์สิทธิ์หรืออาวุธใดๆ ที่น่าสงสัย

“นี่ฉันตาฝาดไปงั้นเหรอ?”

แต่ก็เพื่อความแน่ใจ ทัตสึยะจึงตัดสินใจสะกดรอยตามไปอีกระยะหนึ่ง จนกระทั่งยามคนนั้นหยุดอยู่ที่หน้าห้องปริศนาที่ยังคงเปิดไฟไว้ด้านใน

“มาช้านะนาย นี่มันก็หมดเวลางานของนายมาระยะหนึ่งแล้วไม่ใช่รึไง”

“ขอโทษครับ พอดีมันมืดก็เลยใช้เวลานานกว่าที่คิด”

มียามอีกคนเดินออกมาจากห้องดั่งกล่าว ดูเหมือนจะเป็นเวลาเปลี่ยนเวรพอดี

“ให้ตายสิ มาทำงานวันแรกสินะ อย่าให้มีคราวหน้าอีกล่ะ”

“ครับ ผมจะปรับปรุงตัว”

ยามคนที่ทัตสึยะแอบตามาก้มหัวขอโทษ ก่อนจะยื่นตะเกียงในมือให้คนที่มาแทนตน จากนั่นทั้งสองก็แยกย้ายไม่ทำงานของตน ยามที่มาใหม่เดินไปอีกทางที่ที่ตรงกันข้ามกับทางที่ทัตสึยะเพิ่งผ่านมา ส่วนยามอีกคนที่ทัตสึยะสะกดรอยนั้นเดินตรงไปตู้โดยสารที่เป็นตู้สำหรับพนักงาน

ทัตสึยะเดินผ่านความมืดไปยังห้องที่คาดว่าจะเป็นของทำงานของพนักงานรักษาความปลอดภัย จากนั้นจึงไม่รอช้าหยิบเอกสารรายละเอียดสินค้าขึ้นขึ้นมา

เขาใช้พร “เข้าใจทุกสรรพสิ่ง” รีบแปลข้อความบนเอกสารและจดจำมันทั้งในทันที

“ตู้สินค้าดูจะไม่มีอะไรผิดปกติสินะ ที่น่าสงสัยน่าจะเป็นตู้ลำเรียงมอนสเตอร์ที่อยู่ท้ายสุดสินะ”

เพราะปลายทางของเส้นทางคือแกรนโนอา สถาบันเวทมนตร์ที่ใหญ่ที่สุดบนมหาทวีป จึงมีบางครั้งที่เหล่านักวิจัยของโรงเรียนต้องการมอนสเตอร์ที่หาไม่ได้จากบริเวณสถาบัน

“สินค้าเพื่อการวิจัยบางครั้งก็จะถูกลำเรียงไปแบบมีชีวิตสินะ”

ทัตสึยะอ่านรายละเอียดสินค้าประเภทมอนสเตอร์อย่างละเอียดก่อนจะเริ่มถอนหายใจออกมา

หากว่าบาทหลวงคนนั้นพาสัตว์อันตรายอย่างมังกรมาด้วย ตัวเลือกที่ว่าเขาอาจลงจากรถเพื่อเปลี่ยนขบวนคงถูกตัดทิ้ง เพราะยังไงตัวเฟอร์เมียนคงไม่คิดจะใช้ไพ่ใบสุดท้ายเพื่อหลอกกิลด์นักผจญภัย

มันเสี่ยงเกินไป เพราะยังไงกิลด์ก็ต้องกระจายคนไปที่รถขบวนอื่นด้วยอยู่แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นสู้ใช้เจ้ามังกรนั้นยึดรถไฟแล้วจับคนสำคัญมาเป็นตัวประกันจนกว่าจะถึงปลายทางน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

หากเป็นกรณีที่ถูกปิดประตูตีแมวแบบนี้ ตัวเลือกอย่างหลังดูจะมีความเป็นไปได้มากสุด ถึงกระนั้นการอยู่เงียบๆ โดยไม่ให้ถูกจับได้คงเป็นเป้าหมายของบาทหลวงเฟอร์เมียนมากกว่า

“จำนวนที่ต้องไปตรวจสอบมีไม่น้อยเลยแฮะ คืนเดียวคงไล่ดูไม่หมดแน่”

สอดส่องเอกสารในมือก่อนจะเริ่มถอดถอนใจ

“ไม่มีสินค้าที่เป็นมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ ส่วนขนาดกลางนั้นมีอยู่ห้าตัว”

เป็นมิโนทอร์วัยรุ่นสองตัว แมนติคอร์โตเต็มวัยหนึ่งตัว แล้วก็ค็อกคาทริสวัยเจริญพันธุ์อีกสองตัว

“คงต้องเริ่มจากพวกขนาดกลางสินะ…ค็อกคาทริสงั้นเหรอ ไอ้ตัวที่สาปคนให้กลายเป็นหินได้อะนะ ทำไมถึงมีตนต้องการตัวอันตรายแบบนั้นกันนะ”

ทัตสึยะพูดอย่างเหนื่อยใจหลังได้เห็นรายชื่อของสินค้าเหล่านั้น

“เพราะว่าไข่ของมันเป็นที่ต้องการมากในตลาดยังไงล่ะ”

เสียงของใครบางคนกล่าวกระซิบเช่นนั้น

วินาทีนั้นทัตสึยะดวงตาเบิกโพลง ไร่ซึ่งจิตรสัมผัส ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้า กว่าจะรับรู้ตัวตนก็มีเสียงนั้นดังขึ้นเสียงแล้ว

เด็กหนุ่มทิ้งกระดาษทั้งหมดพร้อมกระโจนออกมาจากจุดนั้น ขณะเดียวกันบาร์เกสต์ก็ถูกชักออกจากฝัก ดวงตาสีแดงของทัตสึยะเบิกกว้าง แต่สิ่งที่เห็นหลังกองเอกสารปลิวลงพื้นคือเงาสีดำแบบเดียวกับที่เคยเห็นมาหลายๆ ครั้ง

“ดวงตานั้นสะดวกดีนะครับ แต่ผมว่าคุณควรเรียนรู้ที่จะใช้พลังของมันให้ละเอียดอ่อนกว่านี้อีกหน่อย เล่นมองคนโน้นคนนี้ไปทั่วเลย คิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้รึไงว่ากำลังถูกตรวจสอบ”

เมื่อมองไม่เห็นด้วยเนตรแห่งความจริง ทัตสึยะจึงกลับมองอีกฝ่ายด้วยมุมมองปกติ

ใบหน้านั้นดูคุ้นเคย สวมชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำขบวนรถ ในมือไม่ได้ถืออาวุธใดๆ มีเพียงออร่าสีดำที่ปกคลุมร่างเท่านั้นที่ต่างออกไปจากครั้งก่อน

“ไม่ได้ตาฝาดจริงๆ ด้วยสินะ”

“คราบๆ จะคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้นก็ได้”

ดาบในมือของทัตสึยะถูกกำแน่น เขาสอดส่องสายตาไปรอบห้องเพื่อตรวจสอบ เพราะเป็นเพียงห้องของหน่วยรักษาความปลอดภัยจึงมีทางเข้าออกแค่ทางเดียว และเจ้ายามคนนั้นก็ยืนอยู่ที่หน้าประตูทางออก

ห้องเองก็เล็กเกินกว่าจะแกว่งดาบ หากต้องปะทะกันตรงนี้ยังไงทัตสึยะก็เสียเปรียบ

“อ้าวๆ มองรอบห้องตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะครับ เล่นไม่มองผมเลยแบบนี้มันไม่ประมาทไปหน่อยเหรอ”

“ถ้าถามว่าแกเป็นใครกันแน่ คงไม่ตอบกลับมาว่าเป็นแค่ยามธรรมดาใช่ไหม?”

“มุ——ฮ่าฮ่า”

ชายปริศนาในชุดยามหัวเราะออกมาอย่างจริงจังหลังได้ยินคำถามของทัตสึยะ ใบหน้าของเขาดูๆ ไปก็ไม่ต่างจากคนปกติเพียงแต่

แม้จะหัวอย่างออกรส แต่บรรยากาศรอบตัวกลับไม่ได้เบาลงเลยแม้แต่น้อย

“มันก็ต้องตอบแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ก็ทางนี้ปลอมตัวอยู่นี่นา”

หนุ่มปริศนาหยุดหัวเราะก่อนจะถอดถุงมือสีขาวที่สวมเอาไว้บนมือซ้าย

เมื่อถุงมือสีขาวถูกถึงออก จึงเผยให้เห็นแหวนสีขาวเงินที่ประดับคริสตัลสีขาวเอาไว้ แม้จะไม่รู้ความสามารถเพราะถูกปกปิดไว้จากออมหาศาลของมังกร แต่ก็พอจะเดาได้ว่านั้นคืออุปกรณ์เวทบางอย่างที่ใช้สำหรับปกปิดตัวตน

เพียงแต่มันต่างจากผ้าคลุมของทัตสึยะมีผลแค่ทำให้ไม่มีใครสังเกตถ้าไม่ถูกมองตรงๆ บางทีนั้นอาจจะเป็นแหวนที่ใช้สำหรับปรับเปลี่ยนใบหน้า

“ไม่ต้องทำหน้าตึงขนาดนั้นก็ได้น่า ต่อให้ฉันถอดแหวนโชว์หน้าจริงให้แกรู้ไป ยังไงแกก็ตายอยู่ดี”

วิธีพูดเปลี่ยนไป น้ำเสียงที่เรียบนิ่งดูสงบก็กลายเป็นพายุที่พัดโหม

ขาของชายปริศนาขยับออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ในมือไม่ได้ถืออาวุธแต่กลับมองเห็นแสงสีเงินพุ่งตรงมาที่ลำคอ

วินาทีนั้นทัตสึยะแทบหยุดหายใจ ไม่สิ หยุดหายใจไปแล้วต่างหาก

มองเห็นร่างของตัวเองที่ยืนอยู่ แต่กลับไม่สามารถสั่งการได้

หัวถูกตัดกระเด็น——

“มั่วเหม่ออะไร!”

ราวกับถูกดึงกลับมายังปัจจุบัน——

วินาทีนั้นดวงตาสีแดงก็เบิกโพลง บาร์เกสต์ในมือซ้ายถูกยกขึ้นมาปัดป้องการโจมตีนั้นได้ทัน แม้ฝ่ายนั้นจะเร็วมาก แต่ก็เพราะเวทมนตร์ไลน์นิ่งบูสที่ถูกร่ายไว้บนปลอกแขนทำให้ทัตสึยะสามารถขยับร่างกายได้เร็วกว่าที่คิด

แรงปะทะของสิ่งที่โจมตีนั้นรุนแรงและหนักราวกับดาบของสเปียร์ แต่ความเร็วนั้นคนละระดับเลย

“ไม่เลวเลยนี่”

พอตั้งใจดูเจ้าสิ่งที่เข้าจู่โจมมันกลับไม่ใช่แม้แต่อาวุธเสียด้วยซ้ำ

“กรงเล็บ?”

มือซ้ายที่ถอดถุงมือออกกลายเป็นกรงเล็บของสัตว์ร้าย เกล็ดสีดำเงาสะท้อนแสงจากหลอดไปสีส้มนั้นดูเงางาม พอเห็นแบบนั้นมันก็ราวกับมีบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว รู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก

ทัตสึยะกัดฟันแน่นก็จะร่ายเวทลมแบบหยาบๆ ลงที่เท้าของตัวเอง

ทันใดนั้นสายลมก็พัดส่งเป็นแรงผลักให้เจ้ายามน่าสงสัยนั้นกระเด็นถอยไปสามก้าว สร้างเป็นจังหวะให้ทัตสึยะได้พักหายใจ มือขวาของทัตสึยะถูกยกขึ้นมาจับคอของตัวเองเพื่อตรวจสอบว่ามันยังไม่ขาดออกจากบ่า

เมื่อครู่ภาพที่เขาเห็นนั้นเป็นเพียงรูปแบบอนาคตที่อาจเกิดขึ้นในหนึ่งวินาทีถัดไป แต่เพราะไม่สามารถใช้ความสามารถนี้กับอีกฝ่ายได้ ทัตสึยะจึงใช้มันเพื่อมองอนาคตของตัวเอง

“ความสามารถของเราในตอนนี้ทำแบบเมื่อกี้ได้มากสุดแค่หนึ่งวินาที ถ้าต้องสู้แบบยืดเยื้อได้คอขาดจริงๆ แน่”

ขณะที่คิดเช่นนั้นพร้อมมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ เหงื่อเย็นมันก็ไหล่ลงมาจากหน้าผาก เตือนสติทัตสึยะให้ใจเย็นกว่านี้

“โอ้ว วิธีใช้เวทแบบนั้น อ่อ แบบนี้เองสินะ แกน่ะ คงจะเป็นเจ้าตัวปัญหานั้นสินะ”

“ตัวปัญหางั้นเหรอ ไม่ชอบวิธีเรียกแบบนั้นเลยแฮะ”

พูดจบทัตสึยะก็ปรับลมหายใจก่อนจะจับไปที่ด้ามอีกฝั่งของบาร์เกสต์ ได้ยินเสียง “กึก” บนตัวดาบ จากนั้นทัตสึยะก็ดึงมันแยกออกเป็นสองส่วน

บาร์เกสต์โหมดมีดคู่พร้อมออกศึก!

“เห่ลูกเล่นเจ๋งชะมัด งั้นเจ้านั้นก็คืออาวุธของดวอร์ฟสินะ”

พอได้ยินแบบนั้นทัตสึยะก็ถึงกับชะงัก ตัวเขาไม่เคยบอกใครถึงเรื่องนี้ คนที่รู้ว่าบาร์เกสต์คืออาวุธที่ถูกตีขึ้นโดยมหาศาลวอร์ฟน่าจะมีแค่เขาและผู้สร้างของมันเท่านั้น

“นี่แกรู้ข้อมูลของฉันมากแค่ไหนกัน”

ทัตสึยะขมวดคิ้วและเริ่มปั้นหน้าตึงเครียดหลังได้ยินที่ฝ่ายนั้นพูด มือทั้งสองที่จับบาร์เกสต์อยู่เองก็กำแน่นจนผิดสังเกต

“อุ้ยตาย ดูเหมือนฉันจะหลุดพูดอะไรที่ไม่ควรออกไปสินะ”

เมื่อเห็นว่าทัตสึยะเริ่มเอาจริง ชายปริศนาคนนั้นจึงเริ่มตั้งท่าเช่นกัน เขากางขาออกพร้อมมือซ้ายที่เป็นกรงเล็บ

“ถึงจะถูกสั่งห้ามไม่ให้ฆ่าแกตอนนี้ แต่ถ้าทำแค่เกือบตายคงได้”

พูดจบดวงตาคู่นั้นก็เปลี่ยนไปราวสัตว์ร้าย ขาทั้งสองพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว แรงที่เกิดขึ้นทำเอากองเอกสารมากมายปลิวว่อนไปทั่วห้อง

แม้ศัตรูจะเร็วกว่าเมื่อครู่ แต่ทัตสึยะที่ทำจิตใจให้เย็นลงแล้วก็มองเห็น ไม่ใช่ตัวเจ้านั้น แต่เป็นทิศทาง เพราะแรงส่งมหาศาลจึงก่อให้เกิดความเสียหายทุกครั้งที่ขยับตัว ห้องนี้สร้างขึ้นจากไม้เป็นส่วนใหญ่จึงเกิดร่องรอยความเสียหาย

“ตรงนั้น”

ตึง!——

เสียงของแข็งตกกระทบกันอย่างรุนแรง สะเก็ตไฟสีแดงส้มสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ

นัยน์ตาสีแดงของทัตสึยะจับจ้องอีกฝ่ายด้วยอารมณ์มากมายที่พร้อมพรั่งพลูออกมา ใบดาบสีดำแกมม่วงของบาร์เกสต์ถูกห่อหุ้มด้วยพลังเวทของทัตสึยะ คมดาบที่ปัดป้องการโจมตีแรกได้นั้นไม่หยุดอยู่แค่นั้น

ฉึบ!

มีดสั่นทั้งสองตัดผ่านสายลมอย่างง่ายดาย ในวินาทีที่แสนยาวนานนี้มันไม่เพียงแต่รับการโจมตีจากกรงเล็บ แต่ยังเฉือนผ่านเกล็ดสีดำเงาบนแขนข้างนั้นด้วย

เมื่อรู้ตัวว่าตนเองได้รับบาดเจ็บ เจ้าคนในชุดยามจึงกระโจนถอยห่างออกไป

กองเลือดบนพื้นไหล่ออกมาจากแผลบนแขนซ้าย เนื้องจากการฉูบฉีดเลือดในร่างค่อนข้างเร็วจึงมีปริมาณเลือดไม่น้อยเลยที่ไหล่ออกมาก่อนที่แผลจะปิด

“ไม่เลวเลยสำหรับการอุ่นเครื่อง”

ใบหน้าของเจ้าชุดยามไม่หลงเหลือความสงบและท่าทีดูเล่นสนุกเองก็หายไป ภายในแววตาบนใบหน้าปลอมๆ มีเพียงภาพสะท้อนของทัตสึยะ

แขนซ้ายที่ชุ่มเลือดกำลังไหล่นั้นถูกเกร็งจนกล้ามเนื้อเหล่านั้นขยายตัว ไม่นานเลือดก็หยุดไหล่เพราะบาดแผลถูกปิด

“คราวนี้จะมาไม้ไหนอีกล่ะ”

ทัตสึยะตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับภาพตรงหน้า แต่วินาทีนั้น

ภาพของกรงเล็บปรากฏตรงหน้า

สิ่งที่ได้เห็นมีเพียงเลือดสีแดงที่ย้อมไปทั่วห้อง และร่างของตัวเองที่ล้มลง——

ทัตสึยะดึงสติกลับมาหลังได้เห็นภาพนั้นในหัว เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายจะโจมตีเข้ามาจากด้านหน้าบาร์เกสต์ในมือจึงถูกยกขึ้นมาป้องกัน แต่เมื่อมองดูให้ดีแล้วสิ่งที่เห็นกลับไม่ใช่ศัตรูที่พุ่งเข้ามา แต่เป็นพื้นอันว่างเปล่า

“อ่อ แบบนี้เองสินะ”

เสียงนั้นดังก้องมาจากด้านหลัง

ที่บนผนังตรงมุมห้องพอดี ปรากฏเป็นร่างของบุคคลที่สวมชุดหน่วยรักษาความปลอดภัยกำลังใช้มือจิกผนังกำแพงไว้แน่น

ทัตสึยะที่รู้แล้วว่าพลาดทำได้เพียงเร่งการจ่ายพลังเวทไปที่เกราะขาเพื่อทำให้ตัวเองขยับร่างกายได้เร็วขึ้นแต่มันก็ดูจะสายเกินไป

พื้นผนังเกินรอยแตกร้าว

สิ่งที่เห็นอยู่ภายในดวงตาสีแดงคือใบหน้าและกรงเล็บของสัตว์ร้ายที่พุ่งเข้าใส่ราวกับผู้ล่าที่กำลังจะได้เขมือบเหยื่อที่เผลอหันหลังให้

“อย่าแม้แต่จะคิดนะเว้ย”

สิ้นเสียงพูดนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น

ตูม——

เจ้าชุดยามโดนแรงระเบิดนั้นเข้าอย่างจัง จนตอนนี้ชุดที่สวมขาดรุ่งริง

“หน่อย! ใครกัน!”

เมื่อขาทั้งสองเหยียบลงเป็นพื้นก็ได้ยินเสียงสบถฟังดูไม่พอใจดังขึ้นทันที

ทัตสึยะที่รอดตายอย่างหวุดหวิดรีบถอยร่นออกมาจากตรงนั้นพร้อมใช้สายตาสอดส่องไปยังร่างของใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง

เมื่อฝุ่นควันจากแรงระเบิดจางลงจึงปรากฏให้เห็นถึงใบหน้าที่อยู่หลังม่านควัน

เส้มผมสีขาวเงินสวมสุดคลุมสีขาวที่ดูจะใหญ่กว่าตัวเล็กน้อย บนหัวสวมหมวกใบเล็กสีเดียวกับหิมะ ในมือนั้นถือหน้าไม้เหล็กแบบสองสายอยู่ในมือ

“เธอ!”

“อย่าเพิ่งตกใจสิ มันมาแล้ว!”

สายตาของทัตสึยะรีบหันกลับไม่มองศัตรูทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น เจ้าชุดยามกระโจนออกมาจากฝุ่นควันที่ลอยฟุ้งพร้อมใบหน้าที่โกรธจัด

ไดอาน่าที่เห็นแบบนั้นจึงไม่รอช้าที่จะเหนี่ยวไกศรดอกที่สองเข้าใส่แทบจะในทันที

เจ้านั้นหลับศรของไดอาน่าได้อย่างง่ายดาย แต่เพียงเท่านั้นก็มากพอจะเปิดโอกาสให้ทัตสึยะได้โต้กลับ

บาร์เกตส์พุ่งผ่านสายลมเข้าจู่โจมเป้าหมายที่อยู่เบื้องหน้า ถึงกระนั้นเจ้ากรงเล็บก็ยังรับการโจมตีได้

“คู่ต่อสู้ของแกคือฉัน”

สิ้นเสียงกล่าวบาร์เกสต์อีกเล่มในมือขวาก็พุ่งตรงเข้าอีกฝ่าย เมื่อรู้ตัวว่าเสียเปรียบเจ้านั้นถึงกระโจนถอยออกไป แต่ก็ช้าไปหนึ่งก้าว เพราะที่กลางอกนั้นได้ปรากฏรอยแผลคมกริบขึ้นหนึ่งรอย

“…”

“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ละ ไม่ใช่ว่าเข้านอนไปแล้วรึไง”

“อะไร คิดจะเทศนากันรึไง นี่ฉันเพิ่งช่วยนายไว้นะ”

ระหว่างที่กำลังพูดไดอาน่าก็รีบบรรจุศร พร้อมกับใช้พลังของเธอสร้างหินเวทก้อนเล็กขึ้นมาจากความวางเปล่า หินสีประหลาดที่ปรากฏถูกยัดไว้บนปลายศรก่อนที่หน้าไม้นั้นจะหันเข้าใส่ชายปริศนาตรงหน้า

“พลังนั้นมัน…”

สีหน้าที่อัดแน่นไปด้วยความเดือดดาลเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นสิ่งที่ไดอาน่าทำระหว่างบรรจุศรของหน้าไม้

เห็นได้ชัดเลยว่าไหล่ของเขานั้นผ่อนลง เส้นเลือดที่ปรากฏบนแขนเองก็จางหายไป ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน

“อะไรน่ะ นี่เธอรู้จักหมอนั้นด้วยงั้นเหรอ?”

ทัตสึยะที่เห็นปฏิกิริยานั้นหันไปกระซิบกับไดอาน่า

“ฉันจะไปรู้จังคนที่เหมือนสัตว์ประหลาดแบบนั้นได้ไงกันเหล่า”

เธอรีบตอบกลับทันทีที่ถูกถาม

“หึ หึหึ แบบนี้เองสินะ โชคชะตามันถูกกำหนดมาแล้วสินะ”

เสียงหัวเราะชวนสยองดังขึ้น จากนั้นจึงตามมาด้วยคำพูดเข้าใจยาก ท่าทีแบบสัตว์นั้นค่อยๆ หายไป เขากลับมายืนหลังตรงก่อนจะยกยิ้มดูน่าหงุดหงิด

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่พวกเราควรพบกัน”

มือซ้ายที่เป็นกรงเล็บจับไปที่ผนังของห้อง และเมื่อออกแรงผนังก็ถูกทำลาย เผยให้เห็นทิวทัศน์ด้านนอกที่กำลังขยับ

“คิดจะหนีเรอะ!”

ไม่รอให้ทัตสึยะพูดจบประโยค เจ้าคนในชุดยามก็กระโจนออกไปทางรูที่ตนเพิ่งสร้าง ทัตสึยะรีบพุ่งตัวออกไปเพื่อมองหาอีกฝ่าย แต่เมื่อยื่นหน้าออกไปกลับไม่พบแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต

“โถ้วเว้ย มันหนีไปแล้ว”

“จะโมโหไปก็เท่านั้นแหละ ลำพังนายคนเดียวยังเอาตัวแทบไม่รอดเลย ต่อให้สู้กันต่อยังไงฝ่ายที่แพ้ก็คือฝั่งนี้”

ทัตสึยะได้แต่สบถอยู่ในใจก่อนจะชักสีหน้ากลับมาเป็นปกติ

“ไม่ได้คิดจะสู้จนชนะสักหน่อย”

“?”

“ฉันอยากได้ข้อมูลต่างหาก เจ้านั้นรู้ในสิ่งที่มีแค่ฉันที่รู้ แถบตอนที่สู้กันมันก็ไม่หลุดปากพูดสิ่งที่ฉันอยากรู้ออกมาเลย”

“หมายถึงเรื่องที่นายเป็นผู้กล้าเหรอ?”

“เปล่า ฉันหมายถึงเรื่องของผู้สร้างดาบเล่มนี้ต่างหาก”

ทัตสึยะประกบบาร์เกสต์เข้าไว้ด้วยกันจากนั้นถึงเก็บมันลงฝัก

“ลุงดวอร์ฟน่ะเหรอ”

สายตาของทัตสึยะรีบหันกับมายังไดอาน่าทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น

“นี่เธออ่านความทรงจำของฉันไปถึงขนาดไหนกันห้ะ”

เขาใช้มือขวาบีบแก้มของไดอาน่า ในสายตาเองก็กำลังมีแต่คำถามมากมายที่พร้อมปะทุออกมา

“ก็เห็นทั้งหมดตั้งแต่มาที่โลกนี้นั่นแหละ ปล่อยได้แล้ว!”

เธอดึงมือของทัตสึยะออก ก่อนจะใช้มือของตัวเองลูบแก้มที่แดงจากการถูกบีบ

“เธอเห็นทั้งหมดนั้นจากการสัมผัสฉันแค่ครั้งเดียวอะนะ”

“ก็ใช้ แล้วมันจะทำไม”

ทัตสึยะกุมหน้าผากก่อนจะถอนหายใจออกมา เขาดูจะอึ้งกับขอบเขตความสามารถของพรอ่านความทรงจำนั้น พอคิดว่าทำได้ยังไงกัน รับข้อมูลขนาดนั้นได้ในไม่ไม่ถึงหนึ่งวินาที แต่สุดท้ายต่อให้ถามออกไปเจ้าตัวก็คงตอบไม่ได้เหมือนกัน เขาจึงเลิกคิดหาเหตุผล

“ช่างเรื่องความทรงจำฉันเถอะ แล้วนี่เธอมาอยู่นี่ได้ไง?”

“กะ ก็ฉันนอนไม่หลับเลยเดินออกมาห้อง ละ แล้วก็บังเอิญเดินมาทิศเดียวกับที่นายไปตรวจสอบ จากนั้นก็ได้ยินแปลกเลยรีบวิ่งมา”

ดวงตาของทัตสึยะมันจ้องเขม็งมาที่ไดอาน่าอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้มันเต็มไปด้วยความเอือมระอา

“เธอแค่อยากแอบตามฉันมานี่หว่า ก็ไหนเธอพูดว่า อย่างน้อยฉันก็เข้าใจงานของตัวเอง แล้วก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงมอบหน้าที่นั้นให้นาย ฉันน่ะรู้จุดยืนตัวเองดี แบบนี้มันไม่เห็นเหมือนที่เธอพูดไว้เลยนี่”

ไดอาน่าที่เถียงไม่ได้ทำได้เพียงพูดอย่างตะกุกตะกัก

“ตะ แต่ที่ฉันช่วยนายไว้นั้นก็เป็นเรื่องจริงนะ!”

เรื่องที่พูดมามันก็จริง หาไม่ได้เธอที่แอบตามมา ตัวเขาอาจจะตายไปแล้วจริงๆ ไหล่ของทัตสึยะมันผ่อนลงเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยินเสียงพ้นลมหายใจเบาๆ

“พูดอะไรน่ะ เจ้านั้นมันไม่ฆ่าฉันหรอก ถึงจะไม่รู้เหตุผล แต่ดูเหมือนจะมีบางคนที่เป็นหัวหน้าเจ้านั้นสั่งมาอีกที”

“แต่ในดวงตาของเจ้านั้นมันไม่เหลือคำว่าออมมืออยู่แล้วนะ”

ทัตสึยะวางมือไปที่หมวกของไดอาน่าหลังได้จากที่เธอพูดจบ

“เรื่องนั้นมันก็ส่วนของเรื่องนั้น เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกัน”

จากนั้นก็ใช้หมวกใบเล็กสีขาวนั้นขยี้หัวของเธอ

“ยะ หยุดนะ คิดจะทำอะไร”

ทัตสึยะหยุดมือ แต่ยังไม่ทันที่ไดอาน่าจะบ่นกลับ เธอก็ได้เห็น บนใบหน้าของทัตสึยะมันปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ

“หลังจากนี้ก็เข้านอนซะ ฉันจะไปรายงานให้คุณมากัสรู้เรื่องที่เกิดขึ้น แล้วตอนเช้าพวกเราค่อยมาประชุมแผนกันใหม่”

ห้องมากัสนั้นอยู่ตู้โดยสารเดียวกับของไดอาน่า หากรีบเดินจากตู้สินค้าที่อยู่เกือบหลังขบวนก็ใช้เวลาพอสมควร

หลังจากเคาะประตูก็ได้ยินเสียงตอบรับ มากัสเดินออกมาเปิดประตูให้จากนั้นทัตสึยะก็เริ่มเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในทันที

“ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่ได้มีไพ่ตายแค่มังกร แต่ยังมีสัตว์ประหลาดสวมหนังมนุษย์อีก”

ทัตสึยะอธิบายสิ่งที่เห็นด้วยใบหน้าดูกังวล

“งั้นเหรอ ถ้าเข้าปะทะกันแบบนั้น ฝ่ายของเฟอร์เมียนก็น่าจะรู้ตัวแล้ว”

“คงไม่มีทางเลือกเหลือแล้วสินะ”

ลาร่าเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องของฝั่งผู้ชายหลังจากที่ไดอาน่าเดินไปปลุกเธอที่ห้อง

“นั้นสินะ”

มากัสพยักหน้ารับ

“เดี๋ยวที่เหลือพวกเราจะรับช่วงต่อเอง”

“มีแผนสำรองเหรอครับ?”

ทัตสึยะที่เห็นปฏิกิริยาของปาร์ตี้เคี้ยวสีเงินก็เกิดคำถามขึ้น

“ถ้าอีกฝ่ายรู้ตัวแล้วมันก็ช่วยไม่ได้ พวกเราจะไปขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของขบวนรถ ก็ไม่ค่อยอยากให้มันลงเอยที่ความวุ่นวายเหรอ แต่มาถึงขั้นนี้มันก็ช่วยไม่ได้”

ถึงกระนั้นบนใบหน้าของคนที่เป็นหัวหน้าปาร์ตี้อย่างมากัสก็ยังคงมีรอยยิ้มดูมั่นใจ แม้จะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแต่คนเป็นหัวหน้าก็ต้องไม่แสดงด้านที่อ่อนแอออกมา ทัตสึยะนับถือในจุดนั้น

“เธอไปพักเถอะ พวกเรามารบกวนเธอมากแล้ว”

มากัสวางมือบนไหล่ของทัตสึยะพร้อมกล่าวเช่นนั้น ดูเหมือนเขาเองก็คงลำบากใจที่ต้องให้คนนอกแบบทัตสึยะมาช่วย แถมตัวทัตสึยะเองก็เพิ่งเฉียดตายมาหมาดๆ

พอได้ยินคำพูดแบบนั้น ทัตสึยะก็ทำได้เพียงถอนหายใจเงียบๆ เขาปล่อยให้ไหล่ของตัวเองลงอย่างวางง่าย

“นั้นสินะครับ งั้นผมขอทำตามที่พูดนั้นเลยก็แล้วกัน”

เด็กลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทีที่ไม่ได้ผิดหวังอะไร ก่อนออกมาเขาได้หันไปสบตากับไดอาน่าที่ยืนอยู่ สายตาของอีกฝ่ายดูจะผิดหวังอยู่หน่อยๆ แต่คงเพราะได้เห็นใบหน้าที่ดูจะไม่ได้เป็นหวังอะไรเธอจึงยิ้มตอบอย่างเงียบๆ

“พอรู้สึกว่าทำงานเสร็จแล้วอยู่ๆ ร่างกายมันก็ดูจะหนักขึ้นยังไงก็ไม่รู้สิ เราเองก็คงจะเหนื่อยพอตัวเลยสินะ”

เสียงพึมพำเบาๆ ดังขึ้นตลอดทางเดินของตู้โดยสาร ระยะห่างของตู้ที่พวกปาร์ตี้เคี้ยวสีเงินพักกับตู้วีไอพีของทัตสึยะนั้นไม่ห่างกันมาก เขาจึงให้เวลาเดินมาไม่นานก็มาถึงห้องของตัวเอง

ถึงจมาขนาดนี้แล้วก็ยังประมาทไม่ได้ ทัตสึยะค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปโดยพยายามไม่ให้เกิดเสียง เมื่อเข้ามาแล้วก็ไม่พบถึงสิ่งผิดปกติ

เขาปิดประตูเบาๆ จากนั้นจึงถอนอุปกรณ์สวมใส่และเดินไปที่เตียงของตน แต่พอเดินมาถึงก็พบกับสิ่งผิดปกติ

“ตุ๊กตาสไลม์นั้นมันตัวใหญ่ขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?”

ผ้าห่มที่เขาใช้คลุมเจ้าตุ๊กตาสไลม์มันมีรูปร่างที่ต่างออกไปจากก่อนหน้านี้

และก็เป็นอย่างที่คิด พอเปิดผ้าดูเจ้าสิ่งผิดปกติมันก็กำลังนอนอยู่ตรงนั้น

ทัตสึยะขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า

แม่เอลฟ์สาวกำลังนอนกอดเจ้าตุ๊กตาสไลม์อยู่บนเตียงของทัตสึยะ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ และไม่รู้ด้วยทำไม แต่ที่รู้แน่ๆ คือเป้าหมายของนางไม่ใช่เจ้าตุ๊กตานั้น

“นี่ฉันยังขอเปลี่ยนเพื่อนร่วมทางทันไหมนะ”

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset