ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อยตอนที่32 ภาพที่วาดไว้

ตอนที่32 ภาพที่วาดไว้

“หน็อยไอ้หมอนั้น ทั้งๆ ที่ฉันพยายามแทบตาย”

เด็กสาวร่างเล็กผมสีเงินสวมชุดคลุมและหมวกสีขาวหิมะกำลังเดินอย่างไม่พอใจไปตามทางเดินของขบวนรถไฟ

“ทั้งๆ ที่คิดว่าหมอนั้นเปลี่ยนไปแล้วแท้ๆ”

เธอกัดฟันแน่นขณะเดินไปตามทาง แต่ก็อาจจะเป็นเพราะความโกรธ เธอจึงไม่ได้มองทางข้างหน้าให้ดีจนเผลอเดินชนกับใครบางคนที่กำลังเดินสวนมา

“อะ ขะขอโทษคะ ฉะฉันเดินไม่ดูเอง”

เธอรีบกล่าวขอโทษทันทีแม้จะยังมองไม่เห็นหน้าของคนที่เธอชนเข้า

เมื่อเงยขึ้นก็พบกับชายร่างสูงสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว เขาคนนั้นยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะยื่นมือเข้าหาเธอ

“ไม่เป็นไรนะครับ”

แม้ท่าทีของอีกฝ่ายจะดูไม่มีอะไร แต่เพราะความรู้สึกบางอย่างที่แผ่ออกมาจากผู้ชายคนนั้นไดอาน่าจึงปฏิเสธที่จะจับมือและลุกขึ้นด้วยตัวเอง

“ไม่เป็นไร ฉันยืนเองได้”

“งั้นผมขอตัวนะครับ”

เขาคนนั้นมีใบหน้าและน้ำเสียงที่ดูดีเกินกว่าจะคิดว่าเป็นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะไม่มั่นใจ แต่ไดอาน่าก็คิดว่าเขาอาจจะเป็นขุนนางไม่ก็องค์ชายจากประเทศไหนสักแห่ง

แม้เขาคนนั้นจะเดินจากไปแล้ว แต่มันก็ยังทิ้งความรู้สึกประหลาดไว้ที่ไดอาน่า เธอเพียงแค่สบตากับเขาผู้นั้นก็รู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนที่วิ่งอยู่ในท้อง

หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เดินกลับมาถึงห้องพักขอเธอที่อยู่ไม่ไกลจากตู้โบกี้ของทัตสึยะ ตู้ขบวนของพวกเขาทั้งสองถูกกั้นไว้ด้วยตู้เสบียงและตู้นอนอีกหนึ่งตู้เท่านั้น

เมื่อเปิดประตูก็พบเขากับเพื่อนร่วมปาร์ตี้หญิงอีกคนที่มาด้วย

“ไง กลับมาเร็วจังนะ”

เธอกล่าวถามเช่นนั้นอย่างเฉยชา ดูเหมือนไดอาน่าจะเข้ามาในจังหวะที่เธอกำลังนอนอ่านหนังสือบางอย่างอยู่บนเตียง

ภายในห้องนั้นแคบมากหากเทียบกับห้องวีไอพีของทัตสึยะ มันมีขนาดพอแค่ให้คนสองคนนอนเท่านั้น ด้านในก็มีแค่เตียงสองชั้นกับตู้สัมภาระ

“ทะเลาะกับอเลคมาอีกรึไง?”

นักเวทสาวคนนี้มองเธอออกแทบจะในทันทีที่เห็นสีหน้าแบบนั้น เพียงแต่คู่ทะเลาะของเธอนั้นคือทัตสึยะ

“เปล่านี่ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

เธอปิดประตูก่อนจะรีบปีนขึ้นไปบนเตียงชั้นสองและทิ้งตัวลงนอนแทบจะในทันที

“ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าลืมกินข้าวเย็นละกัน เตรียมพร้อมเอาไว้ จะได้มีแรงตอนต่อสู้”

นักเวทสาวไม่ได้ละสายตาไปจากหนังสือที่อ่านขณะที่พูดกับไดอาน่า เช่นกันกับน้ำเสียงสุดเฉยชาที่เหมือนคนง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา

“…”

เมื่อไม่ได้รับคำพูดใดๆ ตอบกลับ เธอจึงปิดหนังสือที่อ่านอยู่ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อคลุมจอมเวทขึ้นมาสวม

“ฉันจะออกไปหาพวกมากัส ถ้าอยากพักก็ไม่เป็นไร”

เธอกล่าวเพียงสั้นๆ ก่อนจะเดินไปที่ประตู

“ขอบคุณนะ…”

เสียงกล่าวเช่นนั้นหยุดคุณนักเวทลาร่าเอาไว้ชั่วขณะ

ใบหน้าที่เฉยชายกยิ้มเล็กๆ จากนั้นเธอจึงตอบกลับอย่างยินดี

“ไม่เป็นไร”

สิ้นเสียงประตูก็ถูกปิด

หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เผลอหลับไป…

รู้สึกตัวอีกทีตะวันบนท้องฟ้าก็หายไปเสียงแล้ว…

หลังตะวันตกดินอากาศก็ยิ่งหนาว เพราะเส้นทางที่ใช้จำเป็นต้องวิ่งขึ้นเหนือเข้าไปอีก เพราะแบบนั้นสภาพอากาศจึงเลวร้ายสำหรับนักเดินทาง

ยามค่ำคืนที่แม้แต่แสงจากดวงจันทร์ยังถูกหมู่เมฆบดบัง

ไดอาน่าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังเดินออกมาจากห้องของเธอ

คงเพราะไม่ได้กินอะไรก่อนนอน จึงทำให้กระเพาะของเธอนั้นว่างเปล่าหลังตื่นนอน

“ไปหาอะไรกินหน่อยดีกว่า”

เดินพยุงร่างที่หิวโซของตนไปที่ตู้เสบียงที่อยู่หากออกไปไม่มาก

เมื่อเดินมาถึงตู้เสบียงเธอก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะตอนนี้มันไม่มีใครอยู่แล้ว คงเพราะดึกเดินไปจนพวกเซฟหรือแม้แต่บาร์เทนเดอร์เองก็เลิกงานไปแล้ว

ไดอาน่าได้แต่ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง ใบหน้าขอเธอนั้นดูหมดแรงในชนิดที่ว่าพยุงร่างให้ยืนยังยาก เมื่อเริ่มหมดแรงเธอจึงหย่อนก้นลงเป็นเก้าอี้ตัวที่ติดกับหน้าต่าง ก่อนจะเหม่อมองออกไปอย่างเลื่อนลอย

มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่มีหน้าต่างบานใหญ่สำหรับดูวิวด้านนอก แม้ภาพที่ได้จะมีเพียงทุ่งหิมะอันหนาวเย็น แต่มันกลับทำให้กระเพาะอันหิวโหยนั้นรู้สึกผ่อนคล้ายอย่างไม่น่าเชื่อ

“ถ้ามีหมอนั้นอยู่ด้วยก็คงทำอาหารอร่อยๆ ให้กินไปแล้วแท้ๆ”

เสียงถอนหายใจดังขึ้นอย่างเงียบๆ

“นี่ฉันพยายามไม่มากพองั้นเหรอ?”

เธอกล่าวถามกับตัวเองในกระจกด้วยสีหน้าดูหม่นหมอง ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือสัมผัสเงาที่สะท้อนอยู่นั้นอย่างแผ่วเบา

“อยากแกว่งเท้าหาเซี้ยนรึไง” ท่ามกลางเสียงของรถจักรไอน้ำและทิวทัศน์ที่เลื่อนผ่านคำพูดของทัตสึยะก็ยังคงวนเวียนไม่จางหาย

เธอส่ายหัว พยายามสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป

“ทำไมฉันต้องมาแคร์คำพูดของหมอนั้นด้วยล่ะ”

เมื่อตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมจะต้องโกรธจนเดินหนีออกมาเพราะคำพูดแบบนั้นด้วย ชั่วอึดใจนั้นก็ราวกับว่าหัวใจกำลังเต้นแรง

“อยากให้เขาใจดีกับฉันให้มากกว่านี้อีกหน่อย…”

ความคิดเช่นนั้นปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน

เมื่อเด็กสาวรับรู้ถึงความรู้สึกข้างในมันก็ทำให้ใบหน้าของเธอนั้นแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเห็นว่าเงาในกระจกนั้นมีสีหน้าเป็นเช่นไรมันก็ยิ่งทำให้เด็กสาวรีบหันกลับแทบจะในทันที

“ไม่จริง ไม่จริง นี่เรา…”

ระหว่างที่กำลังปฏิเสธความรู้สึกนั้น——

แกร็ก…

“!!!?”

เสียงเปิดประตูดังขึ้น มีใครบางคนกำลังเข้ามา ไดอาน่ารีบหันไปมอง

เส้นผมสีดำนัยต์ตาสีแดง สวมผ้าคลุมสีดำยาว แบบเดียวกับที่เธอได้พบกับเขาเป็นครั้งแรก

“นะ นาย!?”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครเธอก็รีบปรับอารมณ์และสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ

ได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากทัตสึยะหลังเห็นว่าใครที่นั่งอยู่ในตู้เสบียงดึกๆ ดื่นๆ

“นี่เธอหิวข้าวกลางดึกรึไง”

เมื่อถูกถามเธอก็เบิกตากว้างที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

แต่เพราะอายเกินกว่าที่จะพูดความจริงเธอจึงเตรียมที่จะปฏิเสธ ทันในนั้นเอง

“จรอก——”

เสียงร้องของบางสิ่งหยุดความคิดของไดอาน่าเอาไว้โดยฉับพลัน

พอรู้ว่าที่มาของเสียงร้องนั้นดังมาจากไหนเธอก็พลันหน้าแดงขึ้นมา

“เลี้ยงมังกรเอาไว้ในท้องรึไง ร้องซะดังเชียว”

“หนวกหู หนวกหู!”

ไดอาน่าส่งเสียงดังขึ้นเพื่อที่จะกลบเกลื่อนเสียงท้องร้องของตัวเอง

“รู้แล้วน่า รู้แล้ว เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กินก็ได้

“จะ จริงเหรอ อะ ไม่สิ ฉันไม่ได้ขอซะหน่อย”

ประโยคครึ่งแรกนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่พอขึ้นประโยคหลังเธอกลับสะบัดหน้าหนีพร้อมกอดอก เอาสะคิดว่านั้นคือท่าประจำตัวของเธอไปเสียแล้ว

ทัตสึยะได้แต่ถอนหายใจยาวขณะที่เดินตรงเข้าครัวไป เขาชำเลืองมองของเหลือที่น่าจะใช้การได้ ระหว่างที่เดินดูวัตถุดิบที่น่าจะใช้การได้เขาก็ไปสะดุดตากลับหม้อแปลกๆ ที่ว่าอยู่กลางห้อง มันเป็นหม้อขนาดไม่ใหญ่มากและเมื่อเปิดดูด้านในมันก็ถึงกับทำให้เด็กหนุ่มหยุดชะงัก

“ข้าว!?”

ความรู้สึกมากมายอัดแน่นในประโยคสั้นๆ นั้น มันช่างเป็นภาพที่งดงาม เม็ดข้าวสีขาวที่ถูกหุงจนสุกวางอยู่ตรงหน้าของเด็กหนุ่มผู้จากบ้านเกิดมาไกลแสนไกล

“เดี๋ยวนะ ของจริงงั้นเหรอ ที่ผ่านมาก็เห็นอยู่หรอก แต่สภาพมันไม่เหมาะกับการเอามาหุงกินนี่สิ”

พอตั้งคำถามคำตอบของมันก็ว่าอยู่ตรงหน้า ขบวนรถไฟที่ถูกสร้างโดยผู้กล้าที่เป็นโอตาคุเกมแฟนตาซี การที่จะข้าวอยู่บนโลกใบนี้มันก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าผู้กล้าคนก่อนนี่น่านับถือเสียจริง

ทัตสึยะกล่าวขอบคุณคนคนนั้นอย่างซาบซึ้งอยู่ภายในใจ

ใช้เวลาระยะหนึ่งในการบูชาสิ่งที่อยู่ตรงนั้น จากนั้นจึงค่อยเริ่มลงมือทำมื้อดึก

“มีข้าวเหลือตอนกลางดึกแบบนี้มันก็มีเมนูเดียวแล้วรึเปล่าที่ต้องทำ”

พูดจบทัตสึยะจุดไฟที่เตาด้วยเวทมนตร์จากนั้นก็วางกระทะลงไป รอจนกระทะร้อนจากนั้นก็ใส่เบคอนที่หั่นไว้แล้วลงไป

เมื่อทอดเบคอนไปได้สักระยะน้ำมันจากเบคอนก็ค่อยๆ ซึมออกมา จากนั้นจึงใส่กระเทียมที่สับแล้วลงไป เมื่อกลิ่นของกระเทียมเริ่มได้ที่ทัตสึยะไม่รอช้า เขาใส่ข้าวสวยลงไปผัดทันที

หลังจากเขย่าแขนโชว์สกิลการผัดมาได้ระยะหนึ่งเขาก็ยกกระทะออกนั้น จากนั้นก็หยิบกระทะอีกใบมาวางแทน เมื่อกระทะเริ่มร้อนทัตสึยะจึงเทน้ำมันพืชลงไป รอให้น้ำมันร้อนแล้วจึงตอกให้ลงไปทอด

“เหมือนจะขาดอะไรไปนะ”

เมื่อครุ่นคิดระหว่างรอไข่สุกนั้นเขาก็สังเกตเห็นไส้กรอกเหลือๆ ที่ว่าอยู่บนโต๊ะไม่ไกล ทันทีที่เห็นทัตสึยะไม่ลังเลที่จะหยิบพวกมันลงไปทอดในกระทะด้วย

เมื่อมั่นใจแล้วว่าอาหารสุกได้ทีเขาจึงจัดว่างพวกมันลงบนจานอย่างตั้งใจ

และแล้วก็เสร็จสิ้น

ข้าวผัดที่เหลืองทองประดับด้วยเนื้อเบคอนสับที่ผสมอยู่ในข้าวถูกวางไว้เป็นโดมที่ตรงกลางว่างทับด้วยไข่ดาวเนื้อขาวขอบกรอบและไข่แดงที่นูนออกมาอย่างได้รูป สุดท้ายก็ไส้กรอกกับผักสักอย่างที่ทัตสึยะไม่รู้จักวางอยู่ด้านข้างทั้งสองฝั่ง

“ถึงจะไม่รู้ว่าผักนี่คืออะไร แต่รสชาติมันเหมือนแคร์รอตกับบล็อคโคลี่ก็น่าจะกินได้แหละ”

เมื่อจัดจานเสร็จทัตสึยะก็ยกจานข้าวไปเสิร์ฟให้เด็กสาวผู้หิวโหย

เมื่อวางจานลงตรงหน้าของเธอ สีหน้านั้นกลับดูประหลาดใจ

“นะ นี่มันอะไรอะ”

ไดอาน่าที่แสดงสีหน้าประหลาดหันกลับมาถาม

“ข้าวผัดธรรมดา”

“ข้าวงั้นเหรอ? พืชที่ใช้ทำแป้งขนมปังอะนะ”

“ใช่ หายากนะเออ”

“ฉันจะ จะ จะลองดูละกัน”

สีหน้าของเธอมันเหมือนจะสับสน แต่คงเพราะความหิวจึงทำให้เธอยอมกินเจ้าข้าวผัดธรรมดาจานนี้

เธอหยิบช้อนพร้อมกับตักข้าวคำเล็กๆ เข้าปาก

จังหวะนั้นก็เป็นโลกทั้งใบระเบิดอยู่ในปากของเธอ

“อร่อย——!”

ดวงตานั้นเบิกโพลง ไดอาน่าที่รับรู้แล้วว่านี่คือสุดยอดอาหารเธอจึงไม่รอช้ารีบจัดการเจ้าอาหารแสนอร่อยนี่โดยไม่หันมองทัตสึยะเลยแม้แต่น้อย

“ไม่ต้องรีบหรอก เพราะต้องให้รีบก็ไม่มีให้เติมแล้วล่ะ”

“แฮก แฮก! นี่นายเห็นฉันเป็นคนเห็นแก่กินรึไง”

“จ้าๆ ระหว่างกินข้าวอย่าเพิ่งพูดสิ”

จากนั้นไม่นานข้าวบนจานก็ถูกไดอาน่าผู้หิวโหยกินจนหมดไม่เหลือแม้แต่เม็ดเดียว…

“หมดแล้ว! ขอบคุณสำหรับของอร่อย!”

“ถ้าชอบก็ดีแล้วล่ะ”

ทัตสึยะเก็บจานที่ถูกกินจนสะอาดก่อนจะเดินตรงไปที่ครัวแล้วจึงเริ่มทำความสะอาดสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้

“เอ๊ะ! นี่นายจะล้างเองงั้นเหรอ?”

ไดอาน่าเดินตามหลังทัตสึยะเข้าครัวไป

“ก็ใช่สิ มีปัญหาอะไรรึไง”

“ปะ เปล่า แค่คิดว่าจานนั้นฉันเป็นคนกิน ก็เลยคิดว่านายจะให้ฉันล้างเอง…”

พอได้ยินแบบนั้นก็พอทำให้ทัตสึยะเริ่มเข้าใจแล้วว่าในมุมมองของเธอนั้นตัวเขาเป็นคนยังไง หากว่าเป็นก่อนหน้านี้ก็คงไล่ให้เธอไปล้างเองนั่นแหละ

“ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่งานง่ายๆ น่า”

“…”

ไดอาน่าเงียบมาหลังได้ยินคำตอบนั้น เธอมองใบหน้าของทัตสึยะที่กำลังล้างจานพลางตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เขาไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ เหรอ” ไม่คิดให้เสียเวลาเลย เพราะตัวเธอนั้นรู้ดีอยู่แกใจถึงคำตอบนั้น

“นายเปลี่ยนไปนะ…”

เด็กสาวกระซิบออกมาเช่นนั้นอย่างแผ่วเบา แต่ก็ดูเหมือนว่าทัตสึยะจะยังได้ยินอยู่

“อะไรน่ะ นี่ตลอดมาเธอมองฉันเป็นพี่เลี้ยงใจร้ายรึไง”

เมื่อรู้ว่าทัตสึยะได้ยินเธอเบิกตากว้างพร้อมหัวใจที่เต้นแรง

“อา! เข้าใจแล้ว นายมองว่าฉันเป็นเด็กที่ทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็นสินะ”

“เอ๊ะ! มันไปลงเอยแบบนั้นได้ยังไงล่ะเนี่ย”

“เอามานี่เดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันจะล้างเอง”

ไม่ทันได้ตอบกลับคำพูดนั้น จานในมือของทัตสึยะก็ถูกไดอาน่าแย้งไป

ทัตสึยะยิ้มตอบเล็กๆ หลังได้เห็นเธอดูมีอารมณ์ที่ดีขึ้น แต่ที่มันเป็นแบบนั้นก็เพราะเขาได้ยินมันแล้ว ได้ยินสิ่งที่ไดอาน่าพึมพำกับตัวเองทั้งหมด

“…ขอบใจนะ”

เสียงใสของเด็กสาวผมเงินกล่าวคำขอบคุณดูหวั่นๆ เธอวนนิ้วไปมาขณะที่ใบหน้านั้นค่อยๆ แดงขึ้นทีละนิด

พอได้ยินคำขอบคุณเล็กๆ นั้นมันก็มีความรู้สึกบางอย่างแล่นเข้ามาในอก คงเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจคำพูดของคนอื่น คำว่าขอบคุณจึงดูจะไร้ความหมายสำหรับทัตสึยะ เพียงแต่ครั้งนี้มันต่างออกไป รู้สึกได้ว่าคำนั้นฟังแล้วอบอุ่นผิดจากที่ผ่านมา

ถึงจะรู้สึกดี แต่ดุเหมือนมันจะทำให้เขาลืมตัวมากไปหน่อย เพราะตั้งแต่เมื่อกี้ทัตสึยะก็จ้องไดอาน่าที่พูดขอบคุณจนเธอต้องรีบพูดอะไรสักอย่างเพื่อดึงเขากลับมา

“อะ อะไรเล่า อย่ามามองฉันด้วยสายตาพิลึกแบบนั้นนะ

“โทษที แค่รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย”

“ว่าแต่นายเถอะ แต่งตัวแบบนั้นคิดจะไปไหนดึกๆ ดื่นๆ กันห้ะ”

หลังถูกถามทัตสึยะก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พอคิดว่าจะบอกดีไหมมันก็รู้สึกลังเลขึ้นมา เธอไม่ใช่สเปียร์ที่พร้อมจะทำตามอำเภอใจได้ตลอดเวลา แต่ก็เพราะเรื่องคราวนี้มันก็เกี่ยวกับพรอัดเม็ดและมังกร เมื่อคิดเช่นนั้นก็เห็นภาพของเธอที่พร้อมจะวิ่งเข้าใส่ปัญหาโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง

“ลังเลอะไรของนาย นี่คิดจะปิดบังกันไปถึงไหนห้ะ?”

“…”

“ว่าแล้วเชียว นายนี่มันน่าหงุดหงิดจริงด้วย”

ไดอาน่าเริ่มมองขวางมายังทัตสึยะ พอรู้ว่าอาจจะถูกโกรธอีกทัตสึยะก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาทำได้เพียงถอนหายใจก่อนจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

“งานที่คุณมากัสขอให้ช่วยนะ”

“งาน? หมายถึงเรื่องของบาทหลวงอะนะ?”

“ก็ไม่เชิง รายละเอียดจะถามเอาจากคุณมากัสก็ได้”

“แล้วทำไมจะต้องทำท่าทีเหมือนจะปิดบังกันด้วยล่ะ มีเป้าเดียวกันไม่ใช่รึไง?”

“พอคิดว่าถ้าบอกไปเธออาจจะไม่ยอมฟังแล้วก็ไปสร้างปัญหาให้พวกคุณมากัสน่ะสิ”

คิ้วของไดอาน่ากระตุกเล็กๆ หลังได้ฟังคำสารภาพของทัตสึยะอย่างตรงไปตรงมา

“นี่นายเห็นฉันเป็นเด็กจริงๆ สินะ”

“เอ๊ะ? ฉันยังไม่ได้พูดแบบนั้นเลยนะ”

“ก็ไอ้ที่เพิ่งพูดมาเมื่อกี้ไง!”

“เอ๊ะ”

“อย่างน้อยฉันก็เข้าใจงานของตัวเอง แล้วก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงมอบหน้าที่นั้นให้นาย ฉันน่ะรู้จุดยืนตัวเองดีย่ะ”

เธอยกนิ้วชี้ขึ้นก่อนจะใช้มันไล่ต้อนทัตสึยะพร้อมคำพูดนั้นจนเขาเผลอถอยหลังไปครึ่งก้าว

บรรยากาศชวนอึดอัดปริวหายไปพร้อมลมหายใจออกของทัตสึยะ ถึงจะดูน่าอายที่ตัวเองคิดเองเออเองมากไปหน่อย แต่พอได้ยินแบบนั้นอย่างตรงไปตรงมามันก็ทำเอาเผลอยิ้มออกมาเล็กๆ โดยไม่รู้ตัว

“อะไร ฉันพูดอะไรที่มันน่าขำไปด้วยรึไง?”

“เปล่าๆ แค่รู้สึกเหมือนเธอตัวสูงขึ้นมานิดหน่อยนะเมื่อกี้”

“มะ มันแน่อยู่แล้วย่ะ ร่างกายฉันมันยังไม่หมดช่วงการเจริญเติบโตหรอกนะ”

พอได้ยินคำพูดเย้ายอของทัตสึยะ เธอก็รีบตอบกลับอย่างแข็งขัน

ทัตสึยะเดินออกมาส่งไดอาน่าที่หน้าประตูห้องของเธอ ไม่ได้มีการพูดคุยเพิ่มเติมหลังจากนั้น

เด็กสาวเอื้อมมือไปแตะลูกบิดประตูอย่างลังเล ก่อนจะหันกลับมาหาทัตสึยะพร้อมคำพูดบางอย่างที่ยังคงอยู่ในลำคอ

“อะไรนะ เมื่อกี้ฉันฟังไม่ชัด”

เธอเริ่มพับปากและใช้นิ้วหัวแม่มือถูไปมากับลูกบิดประตู

“หลังจบภารกิจครั้งนี้ ฉะ ฉัน…”

มองเห็นใบหูเล็กๆ ที่ซ้อนอยู่ใต้เลือนผมสีขาวเงินนั้นค่อยๆ แดงทีละนิด

เธอปล่อยมือข้างที่จับลูกบิดประตูก่อนจะว่างมันไว้บนอกราวกับต้องการจะสื่อบางอย่าง

“ฉะ ฉัน มะ มีเรื่องอยากขอร้อง”

พอเริ่มรู้ตัวแล้วว่าฝ่ายนั้นอาจจะต้องการบางสิ่งที่ต้องทำให้เขาลำบากใจ ทัตสึยะก็เผลอยิ้มอย่างหนักใจออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ไอ้สีหน้าชวนให้หนักใจแบบนั้นมันหมายความว่าไง นี่นายไม่อยากเห็นหน้าฉันขนาดนั้นเลยรึไง”

ไดอาน่าที่กำลังเขินอายผลัดเปลี่ยนสายตาเป็นจ้องเขม็งเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น

เธอขมวดคิ้วแน่นและเปลี่ยนคำพูดที่เรียบเรียงเอาไว้ในหัวทันที แต่ก่อนที่จะได้ทันพูดอะไร ทัตสึยะก็กล่าวขัดเอาไว้ได้เสียก่อน

“เปล่านะ ฉันก็ไม่ได้มีปัญหาถ้าเธอจะบางสิ่งหลังจบภารกิจ แต่อย่างน้อยก็อยากขอให้มันอยู่ในขอบเขตที่ฉันพอทำได้อะนะ หลังจากนี้ก็ยุ่งๆ ด้วย ถ้ามันไม่ใช่คำขอที่ลำบากใจฉันพร้อมจะรับฟัง”

“อะไรน่ะ ไอ้ความอคตินั้น ฉันแค่จะพูดว่าหลังจบงานนี้ขอร่วมปาร์ตี้ได้รึเปล่า? ก็แค่นั่นแหละ!”

พูดจบเธอก็ส่งเสียงดูไม่พอใจก่อนจะเปิดประตูออกอย่างแรงและรีบเดินเข้าไปโดยไม่รอฟังคำตอบจากทัตสึยะ

“เอ๊ะ แล้วไม่คิดจะฟังคำตอบของฉันเลยรึไง”

หลังพูดแบบนั้นแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายปิดประตูใส่แบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอดถอนใจ

“เอาเถอะ ยังไงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนี่เนอะ”

เขาก็สวมฮูทอีกครั้งก่อนจะเดินตรงไปที่ตู้โดยสารต่อไป ถึงจะมีหลายความรู้สึกปะปนกันในอก แต่อย่างน้อยวันนี้แต่วันเดียวเขาก็ได้ทำความเข้าใจถึงมุมมองของคนอื่นที่มีต่อตัวเขามากขึ้น

 

 

 

ข้อความจากนักเขียน

สวัสดีครับผมmamuraนักเขียนเองครับ

พอดีว่ามีเรื่องต้องแจ้งให้ทางนักอ่านทราบอยู่น่ะครับ

ช่วงนี้ผมประสบปัญหาด้านการทำงานนิดหน่อย พักหลังมาผมเริ่มรู้สึกหมดไฟในหลายๆ อย่าง รวมถึงต้องจัดการเนื้อหาส่วนที่จะตีพิมพ์เป็นรูปเล่มอีก พอต้องทำหลายๆ อย่างพร้อมกันเลยรู้สึกว่าตัวเองเขียนงานได้ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไหร่ ถึงอยากจะแจ้งให้ทราบว่าหนังจากตอนนี้เป็นผมจะขอหยุดการลงรายตอนไว้ก่อนนะครับ

ส่วนจะกลับมาลงตอนไหนอันนี้ก็ตอบยาก แต่จะกลับมาลงแน่นอนครับ อาจจะกลับมาพร้อมปกใหม่

ยังไงก็ต้องขอโทษคนที่ซื้อแบบอ่านล่วงหน้าด้วยนะครับ ผมมีความสุขมากเลยเวลาเห็นว่ามีคนกดซื้อแบบอ่านล่วงหน้า ยังไงต้องขอบคุณจริงๆ นะครับ

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset