“หน็อยไอ้หมอนั้น ทั้งๆ ที่ฉันพยายามแทบตาย”
เด็กสาวร่างเล็กผมสีเงินสวมชุดคลุมและหมวกสีขาวหิมะกำลังเดินอย่างไม่พอใจไปตามทางเดินของขบวนรถไฟ
“ทั้งๆ ที่คิดว่าหมอนั้นเปลี่ยนไปแล้วแท้ๆ”
เธอกัดฟันแน่นขณะเดินไปตามทาง แต่ก็อาจจะเป็นเพราะความโกรธ เธอจึงไม่ได้มองทางข้างหน้าให้ดีจนเผลอเดินชนกับใครบางคนที่กำลังเดินสวนมา
“อะ ขะขอโทษคะ ฉะฉันเดินไม่ดูเอง”
เธอรีบกล่าวขอโทษทันทีแม้จะยังมองไม่เห็นหน้าของคนที่เธอชนเข้า
เมื่อเงยขึ้นก็พบกับชายร่างสูงสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว เขาคนนั้นยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะยื่นมือเข้าหาเธอ
“ไม่เป็นไรนะครับ”
แม้ท่าทีของอีกฝ่ายจะดูไม่มีอะไร แต่เพราะความรู้สึกบางอย่างที่แผ่ออกมาจากผู้ชายคนนั้นไดอาน่าจึงปฏิเสธที่จะจับมือและลุกขึ้นด้วยตัวเอง
“ไม่เป็นไร ฉันยืนเองได้”
“งั้นผมขอตัวนะครับ”
เขาคนนั้นมีใบหน้าและน้ำเสียงที่ดูดีเกินกว่าจะคิดว่าเป็นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะไม่มั่นใจ แต่ไดอาน่าก็คิดว่าเขาอาจจะเป็นขุนนางไม่ก็องค์ชายจากประเทศไหนสักแห่ง
แม้เขาคนนั้นจะเดินจากไปแล้ว แต่มันก็ยังทิ้งความรู้สึกประหลาดไว้ที่ไดอาน่า เธอเพียงแค่สบตากับเขาผู้นั้นก็รู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนที่วิ่งอยู่ในท้อง
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เดินกลับมาถึงห้องพักขอเธอที่อยู่ไม่ไกลจากตู้โบกี้ของทัตสึยะ ตู้ขบวนของพวกเขาทั้งสองถูกกั้นไว้ด้วยตู้เสบียงและตู้นอนอีกหนึ่งตู้เท่านั้น
เมื่อเปิดประตูก็พบเขากับเพื่อนร่วมปาร์ตี้หญิงอีกคนที่มาด้วย
“ไง กลับมาเร็วจังนะ”
เธอกล่าวถามเช่นนั้นอย่างเฉยชา ดูเหมือนไดอาน่าจะเข้ามาในจังหวะที่เธอกำลังนอนอ่านหนังสือบางอย่างอยู่บนเตียง
ภายในห้องนั้นแคบมากหากเทียบกับห้องวีไอพีของทัตสึยะ มันมีขนาดพอแค่ให้คนสองคนนอนเท่านั้น ด้านในก็มีแค่เตียงสองชั้นกับตู้สัมภาระ
“ทะเลาะกับอเลคมาอีกรึไง?”
นักเวทสาวคนนี้มองเธอออกแทบจะในทันทีที่เห็นสีหน้าแบบนั้น เพียงแต่คู่ทะเลาะของเธอนั้นคือทัตสึยะ
“เปล่านี่ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”
เธอปิดประตูก่อนจะรีบปีนขึ้นไปบนเตียงชั้นสองและทิ้งตัวลงนอนแทบจะในทันที
“ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าลืมกินข้าวเย็นละกัน เตรียมพร้อมเอาไว้ จะได้มีแรงตอนต่อสู้”
นักเวทสาวไม่ได้ละสายตาไปจากหนังสือที่อ่านขณะที่พูดกับไดอาน่า เช่นกันกับน้ำเสียงสุดเฉยชาที่เหมือนคนง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา
“…”
เมื่อไม่ได้รับคำพูดใดๆ ตอบกลับ เธอจึงปิดหนังสือที่อ่านอยู่ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อคลุมจอมเวทขึ้นมาสวม
“ฉันจะออกไปหาพวกมากัส ถ้าอยากพักก็ไม่เป็นไร”
เธอกล่าวเพียงสั้นๆ ก่อนจะเดินไปที่ประตู
“ขอบคุณนะ…”
เสียงกล่าวเช่นนั้นหยุดคุณนักเวทลาร่าเอาไว้ชั่วขณะ
ใบหน้าที่เฉยชายกยิ้มเล็กๆ จากนั้นเธอจึงตอบกลับอย่างยินดี
“ไม่เป็นไร”
สิ้นเสียงประตูก็ถูกปิด
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เผลอหลับไป…
รู้สึกตัวอีกทีตะวันบนท้องฟ้าก็หายไปเสียงแล้ว…
หลังตะวันตกดินอากาศก็ยิ่งหนาว เพราะเส้นทางที่ใช้จำเป็นต้องวิ่งขึ้นเหนือเข้าไปอีก เพราะแบบนั้นสภาพอากาศจึงเลวร้ายสำหรับนักเดินทาง
ยามค่ำคืนที่แม้แต่แสงจากดวงจันทร์ยังถูกหมู่เมฆบดบัง
ไดอาน่าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังเดินออกมาจากห้องของเธอ
คงเพราะไม่ได้กินอะไรก่อนนอน จึงทำให้กระเพาะของเธอนั้นว่างเปล่าหลังตื่นนอน
“ไปหาอะไรกินหน่อยดีกว่า”
เดินพยุงร่างที่หิวโซของตนไปที่ตู้เสบียงที่อยู่หากออกไปไม่มาก
เมื่อเดินมาถึงตู้เสบียงเธอก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะตอนนี้มันไม่มีใครอยู่แล้ว คงเพราะดึกเดินไปจนพวกเซฟหรือแม้แต่บาร์เทนเดอร์เองก็เลิกงานไปแล้ว
ไดอาน่าได้แต่ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง ใบหน้าขอเธอนั้นดูหมดแรงในชนิดที่ว่าพยุงร่างให้ยืนยังยาก เมื่อเริ่มหมดแรงเธอจึงหย่อนก้นลงเป็นเก้าอี้ตัวที่ติดกับหน้าต่าง ก่อนจะเหม่อมองออกไปอย่างเลื่อนลอย
มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่มีหน้าต่างบานใหญ่สำหรับดูวิวด้านนอก แม้ภาพที่ได้จะมีเพียงทุ่งหิมะอันหนาวเย็น แต่มันกลับทำให้กระเพาะอันหิวโหยนั้นรู้สึกผ่อนคล้ายอย่างไม่น่าเชื่อ
“ถ้ามีหมอนั้นอยู่ด้วยก็คงทำอาหารอร่อยๆ ให้กินไปแล้วแท้ๆ”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นอย่างเงียบๆ
“นี่ฉันพยายามไม่มากพองั้นเหรอ?”
เธอกล่าวถามกับตัวเองในกระจกด้วยสีหน้าดูหม่นหมอง ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือสัมผัสเงาที่สะท้อนอยู่นั้นอย่างแผ่วเบา
“อยากแกว่งเท้าหาเซี้ยนรึไง” ท่ามกลางเสียงของรถจักรไอน้ำและทิวทัศน์ที่เลื่อนผ่านคำพูดของทัตสึยะก็ยังคงวนเวียนไม่จางหาย
เธอส่ายหัว พยายามสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป
“ทำไมฉันต้องมาแคร์คำพูดของหมอนั้นด้วยล่ะ”
เมื่อตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมจะต้องโกรธจนเดินหนีออกมาเพราะคำพูดแบบนั้นด้วย ชั่วอึดใจนั้นก็ราวกับว่าหัวใจกำลังเต้นแรง
“อยากให้เขาใจดีกับฉันให้มากกว่านี้อีกหน่อย…”
ความคิดเช่นนั้นปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน
เมื่อเด็กสาวรับรู้ถึงความรู้สึกข้างในมันก็ทำให้ใบหน้าของเธอนั้นแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเห็นว่าเงาในกระจกนั้นมีสีหน้าเป็นเช่นไรมันก็ยิ่งทำให้เด็กสาวรีบหันกลับแทบจะในทันที
“ไม่จริง ไม่จริง นี่เรา…”
ระหว่างที่กำลังปฏิเสธความรู้สึกนั้น——
แกร็ก…
“!!!?”
เสียงเปิดประตูดังขึ้น มีใครบางคนกำลังเข้ามา ไดอาน่ารีบหันไปมอง
เส้นผมสีดำนัยต์ตาสีแดง สวมผ้าคลุมสีดำยาว แบบเดียวกับที่เธอได้พบกับเขาเป็นครั้งแรก
“นะ นาย!?”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครเธอก็รีบปรับอารมณ์และสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ
ได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากทัตสึยะหลังเห็นว่าใครที่นั่งอยู่ในตู้เสบียงดึกๆ ดื่นๆ
“นี่เธอหิวข้าวกลางดึกรึไง”
เมื่อถูกถามเธอก็เบิกตากว้างที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
แต่เพราะอายเกินกว่าที่จะพูดความจริงเธอจึงเตรียมที่จะปฏิเสธ ทันในนั้นเอง
“จรอก——”
เสียงร้องของบางสิ่งหยุดความคิดของไดอาน่าเอาไว้โดยฉับพลัน
พอรู้ว่าที่มาของเสียงร้องนั้นดังมาจากไหนเธอก็พลันหน้าแดงขึ้นมา
“เลี้ยงมังกรเอาไว้ในท้องรึไง ร้องซะดังเชียว”
“หนวกหู หนวกหู!”
ไดอาน่าส่งเสียงดังขึ้นเพื่อที่จะกลบเกลื่อนเสียงท้องร้องของตัวเอง
“รู้แล้วน่า รู้แล้ว เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กินก็ได้
“จะ จริงเหรอ อะ ไม่สิ ฉันไม่ได้ขอซะหน่อย”
ประโยคครึ่งแรกนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่พอขึ้นประโยคหลังเธอกลับสะบัดหน้าหนีพร้อมกอดอก เอาสะคิดว่านั้นคือท่าประจำตัวของเธอไปเสียแล้ว
ทัตสึยะได้แต่ถอนหายใจยาวขณะที่เดินตรงเข้าครัวไป เขาชำเลืองมองของเหลือที่น่าจะใช้การได้ ระหว่างที่เดินดูวัตถุดิบที่น่าจะใช้การได้เขาก็ไปสะดุดตากลับหม้อแปลกๆ ที่ว่าอยู่กลางห้อง มันเป็นหม้อขนาดไม่ใหญ่มากและเมื่อเปิดดูด้านในมันก็ถึงกับทำให้เด็กหนุ่มหยุดชะงัก
“ข้าว!?”
ความรู้สึกมากมายอัดแน่นในประโยคสั้นๆ นั้น มันช่างเป็นภาพที่งดงาม เม็ดข้าวสีขาวที่ถูกหุงจนสุกวางอยู่ตรงหน้าของเด็กหนุ่มผู้จากบ้านเกิดมาไกลแสนไกล
“เดี๋ยวนะ ของจริงงั้นเหรอ ที่ผ่านมาก็เห็นอยู่หรอก แต่สภาพมันไม่เหมาะกับการเอามาหุงกินนี่สิ”
พอตั้งคำถามคำตอบของมันก็ว่าอยู่ตรงหน้า ขบวนรถไฟที่ถูกสร้างโดยผู้กล้าที่เป็นโอตาคุเกมแฟนตาซี การที่จะข้าวอยู่บนโลกใบนี้มันก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าผู้กล้าคนก่อนนี่น่านับถือเสียจริง
ทัตสึยะกล่าวขอบคุณคนคนนั้นอย่างซาบซึ้งอยู่ภายในใจ
ใช้เวลาระยะหนึ่งในการบูชาสิ่งที่อยู่ตรงนั้น จากนั้นจึงค่อยเริ่มลงมือทำมื้อดึก
“มีข้าวเหลือตอนกลางดึกแบบนี้มันก็มีเมนูเดียวแล้วรึเปล่าที่ต้องทำ”
พูดจบทัตสึยะจุดไฟที่เตาด้วยเวทมนตร์จากนั้นก็วางกระทะลงไป รอจนกระทะร้อนจากนั้นก็ใส่เบคอนที่หั่นไว้แล้วลงไป
เมื่อทอดเบคอนไปได้สักระยะน้ำมันจากเบคอนก็ค่อยๆ ซึมออกมา จากนั้นจึงใส่กระเทียมที่สับแล้วลงไป เมื่อกลิ่นของกระเทียมเริ่มได้ที่ทัตสึยะไม่รอช้า เขาใส่ข้าวสวยลงไปผัดทันที
หลังจากเขย่าแขนโชว์สกิลการผัดมาได้ระยะหนึ่งเขาก็ยกกระทะออกนั้น จากนั้นก็หยิบกระทะอีกใบมาวางแทน เมื่อกระทะเริ่มร้อนทัตสึยะจึงเทน้ำมันพืชลงไป รอให้น้ำมันร้อนแล้วจึงตอกให้ลงไปทอด
“เหมือนจะขาดอะไรไปนะ”
เมื่อครุ่นคิดระหว่างรอไข่สุกนั้นเขาก็สังเกตเห็นไส้กรอกเหลือๆ ที่ว่าอยู่บนโต๊ะไม่ไกล ทันทีที่เห็นทัตสึยะไม่ลังเลที่จะหยิบพวกมันลงไปทอดในกระทะด้วย
เมื่อมั่นใจแล้วว่าอาหารสุกได้ทีเขาจึงจัดว่างพวกมันลงบนจานอย่างตั้งใจ
และแล้วก็เสร็จสิ้น
ข้าวผัดที่เหลืองทองประดับด้วยเนื้อเบคอนสับที่ผสมอยู่ในข้าวถูกวางไว้เป็นโดมที่ตรงกลางว่างทับด้วยไข่ดาวเนื้อขาวขอบกรอบและไข่แดงที่นูนออกมาอย่างได้รูป สุดท้ายก็ไส้กรอกกับผักสักอย่างที่ทัตสึยะไม่รู้จักวางอยู่ด้านข้างทั้งสองฝั่ง
“ถึงจะไม่รู้ว่าผักนี่คืออะไร แต่รสชาติมันเหมือนแคร์รอตกับบล็อคโคลี่ก็น่าจะกินได้แหละ”
เมื่อจัดจานเสร็จทัตสึยะก็ยกจานข้าวไปเสิร์ฟให้เด็กสาวผู้หิวโหย
เมื่อวางจานลงตรงหน้าของเธอ สีหน้านั้นกลับดูประหลาดใจ
“นะ นี่มันอะไรอะ”
ไดอาน่าที่แสดงสีหน้าประหลาดหันกลับมาถาม
“ข้าวผัดธรรมดา”
“ข้าวงั้นเหรอ? พืชที่ใช้ทำแป้งขนมปังอะนะ”
“ใช่ หายากนะเออ”
“ฉันจะ จะ จะลองดูละกัน”
สีหน้าของเธอมันเหมือนจะสับสน แต่คงเพราะความหิวจึงทำให้เธอยอมกินเจ้าข้าวผัดธรรมดาจานนี้
เธอหยิบช้อนพร้อมกับตักข้าวคำเล็กๆ เข้าปาก
จังหวะนั้นก็เป็นโลกทั้งใบระเบิดอยู่ในปากของเธอ
“อร่อย——!”
ดวงตานั้นเบิกโพลง ไดอาน่าที่รับรู้แล้วว่านี่คือสุดยอดอาหารเธอจึงไม่รอช้ารีบจัดการเจ้าอาหารแสนอร่อยนี่โดยไม่หันมองทัตสึยะเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องรีบหรอก เพราะต้องให้รีบก็ไม่มีให้เติมแล้วล่ะ”
“แฮก แฮก! นี่นายเห็นฉันเป็นคนเห็นแก่กินรึไง”
“จ้าๆ ระหว่างกินข้าวอย่าเพิ่งพูดสิ”
จากนั้นไม่นานข้าวบนจานก็ถูกไดอาน่าผู้หิวโหยกินจนหมดไม่เหลือแม้แต่เม็ดเดียว…
“หมดแล้ว! ขอบคุณสำหรับของอร่อย!”
“ถ้าชอบก็ดีแล้วล่ะ”
ทัตสึยะเก็บจานที่ถูกกินจนสะอาดก่อนจะเดินตรงไปที่ครัวแล้วจึงเริ่มทำความสะอาดสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้
“เอ๊ะ! นี่นายจะล้างเองงั้นเหรอ?”
ไดอาน่าเดินตามหลังทัตสึยะเข้าครัวไป
“ก็ใช่สิ มีปัญหาอะไรรึไง”
“ปะ เปล่า แค่คิดว่าจานนั้นฉันเป็นคนกิน ก็เลยคิดว่านายจะให้ฉันล้างเอง…”
พอได้ยินแบบนั้นก็พอทำให้ทัตสึยะเริ่มเข้าใจแล้วว่าในมุมมองของเธอนั้นตัวเขาเป็นคนยังไง หากว่าเป็นก่อนหน้านี้ก็คงไล่ให้เธอไปล้างเองนั่นแหละ
“ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่งานง่ายๆ น่า”
“…”
ไดอาน่าเงียบมาหลังได้ยินคำตอบนั้น เธอมองใบหน้าของทัตสึยะที่กำลังล้างจานพลางตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เขาไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ เหรอ” ไม่คิดให้เสียเวลาเลย เพราะตัวเธอนั้นรู้ดีอยู่แกใจถึงคำตอบนั้น
“นายเปลี่ยนไปนะ…”
เด็กสาวกระซิบออกมาเช่นนั้นอย่างแผ่วเบา แต่ก็ดูเหมือนว่าทัตสึยะจะยังได้ยินอยู่
“อะไรน่ะ นี่ตลอดมาเธอมองฉันเป็นพี่เลี้ยงใจร้ายรึไง”
เมื่อรู้ว่าทัตสึยะได้ยินเธอเบิกตากว้างพร้อมหัวใจที่เต้นแรง
“อา! เข้าใจแล้ว นายมองว่าฉันเป็นเด็กที่ทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็นสินะ”
“เอ๊ะ! มันไปลงเอยแบบนั้นได้ยังไงล่ะเนี่ย”
“เอามานี่เดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันจะล้างเอง”
ไม่ทันได้ตอบกลับคำพูดนั้น จานในมือของทัตสึยะก็ถูกไดอาน่าแย้งไป
ทัตสึยะยิ้มตอบเล็กๆ หลังได้เห็นเธอดูมีอารมณ์ที่ดีขึ้น แต่ที่มันเป็นแบบนั้นก็เพราะเขาได้ยินมันแล้ว ได้ยินสิ่งที่ไดอาน่าพึมพำกับตัวเองทั้งหมด
…
“…ขอบใจนะ”
เสียงใสของเด็กสาวผมเงินกล่าวคำขอบคุณดูหวั่นๆ เธอวนนิ้วไปมาขณะที่ใบหน้านั้นค่อยๆ แดงขึ้นทีละนิด
พอได้ยินคำขอบคุณเล็กๆ นั้นมันก็มีความรู้สึกบางอย่างแล่นเข้ามาในอก คงเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจคำพูดของคนอื่น คำว่าขอบคุณจึงดูจะไร้ความหมายสำหรับทัตสึยะ เพียงแต่ครั้งนี้มันต่างออกไป รู้สึกได้ว่าคำนั้นฟังแล้วอบอุ่นผิดจากที่ผ่านมา
ถึงจะรู้สึกดี แต่ดุเหมือนมันจะทำให้เขาลืมตัวมากไปหน่อย เพราะตั้งแต่เมื่อกี้ทัตสึยะก็จ้องไดอาน่าที่พูดขอบคุณจนเธอต้องรีบพูดอะไรสักอย่างเพื่อดึงเขากลับมา
“อะ อะไรเล่า อย่ามามองฉันด้วยสายตาพิลึกแบบนั้นนะ
“โทษที แค่รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย”
“ว่าแต่นายเถอะ แต่งตัวแบบนั้นคิดจะไปไหนดึกๆ ดื่นๆ กันห้ะ”
หลังถูกถามทัตสึยะก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พอคิดว่าจะบอกดีไหมมันก็รู้สึกลังเลขึ้นมา เธอไม่ใช่สเปียร์ที่พร้อมจะทำตามอำเภอใจได้ตลอดเวลา แต่ก็เพราะเรื่องคราวนี้มันก็เกี่ยวกับพรอัดเม็ดและมังกร เมื่อคิดเช่นนั้นก็เห็นภาพของเธอที่พร้อมจะวิ่งเข้าใส่ปัญหาโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
“ลังเลอะไรของนาย นี่คิดจะปิดบังกันไปถึงไหนห้ะ?”
“…”
“ว่าแล้วเชียว นายนี่มันน่าหงุดหงิดจริงด้วย”
ไดอาน่าเริ่มมองขวางมายังทัตสึยะ พอรู้ว่าอาจจะถูกโกรธอีกทัตสึยะก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาทำได้เพียงถอนหายใจก่อนจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“งานที่คุณมากัสขอให้ช่วยนะ”
“งาน? หมายถึงเรื่องของบาทหลวงอะนะ?”
“ก็ไม่เชิง รายละเอียดจะถามเอาจากคุณมากัสก็ได้”
“แล้วทำไมจะต้องทำท่าทีเหมือนจะปิดบังกันด้วยล่ะ มีเป้าเดียวกันไม่ใช่รึไง?”
“พอคิดว่าถ้าบอกไปเธออาจจะไม่ยอมฟังแล้วก็ไปสร้างปัญหาให้พวกคุณมากัสน่ะสิ”
คิ้วของไดอาน่ากระตุกเล็กๆ หลังได้ฟังคำสารภาพของทัตสึยะอย่างตรงไปตรงมา
“นี่นายเห็นฉันเป็นเด็กจริงๆ สินะ”
“เอ๊ะ? ฉันยังไม่ได้พูดแบบนั้นเลยนะ”
“ก็ไอ้ที่เพิ่งพูดมาเมื่อกี้ไง!”
“เอ๊ะ”
“อย่างน้อยฉันก็เข้าใจงานของตัวเอง แล้วก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงมอบหน้าที่นั้นให้นาย ฉันน่ะรู้จุดยืนตัวเองดีย่ะ”
เธอยกนิ้วชี้ขึ้นก่อนจะใช้มันไล่ต้อนทัตสึยะพร้อมคำพูดนั้นจนเขาเผลอถอยหลังไปครึ่งก้าว
บรรยากาศชวนอึดอัดปริวหายไปพร้อมลมหายใจออกของทัตสึยะ ถึงจะดูน่าอายที่ตัวเองคิดเองเออเองมากไปหน่อย แต่พอได้ยินแบบนั้นอย่างตรงไปตรงมามันก็ทำเอาเผลอยิ้มออกมาเล็กๆ โดยไม่รู้ตัว
“อะไร ฉันพูดอะไรที่มันน่าขำไปด้วยรึไง?”
“เปล่าๆ แค่รู้สึกเหมือนเธอตัวสูงขึ้นมานิดหน่อยนะเมื่อกี้”
“มะ มันแน่อยู่แล้วย่ะ ร่างกายฉันมันยังไม่หมดช่วงการเจริญเติบโตหรอกนะ”
พอได้ยินคำพูดเย้ายอของทัตสึยะ เธอก็รีบตอบกลับอย่างแข็งขัน
ทัตสึยะเดินออกมาส่งไดอาน่าที่หน้าประตูห้องของเธอ ไม่ได้มีการพูดคุยเพิ่มเติมหลังจากนั้น
เด็กสาวเอื้อมมือไปแตะลูกบิดประตูอย่างลังเล ก่อนจะหันกลับมาหาทัตสึยะพร้อมคำพูดบางอย่างที่ยังคงอยู่ในลำคอ
“อะไรนะ เมื่อกี้ฉันฟังไม่ชัด”
เธอเริ่มพับปากและใช้นิ้วหัวแม่มือถูไปมากับลูกบิดประตู
“หลังจบภารกิจครั้งนี้ ฉะ ฉัน…”
มองเห็นใบหูเล็กๆ ที่ซ้อนอยู่ใต้เลือนผมสีขาวเงินนั้นค่อยๆ แดงทีละนิด
เธอปล่อยมือข้างที่จับลูกบิดประตูก่อนจะว่างมันไว้บนอกราวกับต้องการจะสื่อบางอย่าง
“ฉะ ฉัน มะ มีเรื่องอยากขอร้อง”
พอเริ่มรู้ตัวแล้วว่าฝ่ายนั้นอาจจะต้องการบางสิ่งที่ต้องทำให้เขาลำบากใจ ทัตสึยะก็เผลอยิ้มอย่างหนักใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ไอ้สีหน้าชวนให้หนักใจแบบนั้นมันหมายความว่าไง นี่นายไม่อยากเห็นหน้าฉันขนาดนั้นเลยรึไง”
ไดอาน่าที่กำลังเขินอายผลัดเปลี่ยนสายตาเป็นจ้องเขม็งเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น
เธอขมวดคิ้วแน่นและเปลี่ยนคำพูดที่เรียบเรียงเอาไว้ในหัวทันที แต่ก่อนที่จะได้ทันพูดอะไร ทัตสึยะก็กล่าวขัดเอาไว้ได้เสียก่อน
“เปล่านะ ฉันก็ไม่ได้มีปัญหาถ้าเธอจะบางสิ่งหลังจบภารกิจ แต่อย่างน้อยก็อยากขอให้มันอยู่ในขอบเขตที่ฉันพอทำได้อะนะ หลังจากนี้ก็ยุ่งๆ ด้วย ถ้ามันไม่ใช่คำขอที่ลำบากใจฉันพร้อมจะรับฟัง”
“อะไรน่ะ ไอ้ความอคตินั้น ฉันแค่จะพูดว่าหลังจบงานนี้ขอร่วมปาร์ตี้ได้รึเปล่า? ก็แค่นั่นแหละ!”
พูดจบเธอก็ส่งเสียงดูไม่พอใจก่อนจะเปิดประตูออกอย่างแรงและรีบเดินเข้าไปโดยไม่รอฟังคำตอบจากทัตสึยะ
“เอ๊ะ แล้วไม่คิดจะฟังคำตอบของฉันเลยรึไง”
หลังพูดแบบนั้นแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายปิดประตูใส่แบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอดถอนใจ
“เอาเถอะ ยังไงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนี่เนอะ”
เขาก็สวมฮูทอีกครั้งก่อนจะเดินตรงไปที่ตู้โดยสารต่อไป ถึงจะมีหลายความรู้สึกปะปนกันในอก แต่อย่างน้อยวันนี้แต่วันเดียวเขาก็ได้ทำความเข้าใจถึงมุมมองของคนอื่นที่มีต่อตัวเขามากขึ้น
ข้อความจากนักเขียน
สวัสดีครับผมmamuraนักเขียนเองครับ
พอดีว่ามีเรื่องต้องแจ้งให้ทางนักอ่านทราบอยู่น่ะครับ
ช่วงนี้ผมประสบปัญหาด้านการทำงานนิดหน่อย พักหลังมาผมเริ่มรู้สึกหมดไฟในหลายๆ อย่าง รวมถึงต้องจัดการเนื้อหาส่วนที่จะตีพิมพ์เป็นรูปเล่มอีก พอต้องทำหลายๆ อย่างพร้อมกันเลยรู้สึกว่าตัวเองเขียนงานได้ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไหร่ ถึงอยากจะแจ้งให้ทราบว่าหนังจากตอนนี้เป็นผมจะขอหยุดการลงรายตอนไว้ก่อนนะครับ
ส่วนจะกลับมาลงตอนไหนอันนี้ก็ตอบยาก แต่จะกลับมาลงแน่นอนครับ อาจจะกลับมาพร้อมปกใหม่
ยังไงก็ต้องขอโทษคนที่ซื้อแบบอ่านล่วงหน้าด้วยนะครับ ผมมีความสุขมากเลยเวลาเห็นว่ามีคนกดซื้อแบบอ่านล่วงหน้า ยังไงต้องขอบคุณจริงๆ นะครับ