“ท่านผู้โดยสารที่มีตั๋วของรถไฟขบวนต่อไปรบกวนตรวจสอบสัมภาระก่อนขึ้นรถไฟด้วยนะคะ”
เสียงประกาศเช่นนั้นดังมาตามท่อเหล็กที่มีอยู่ทั่วไปของสถานี
และก็ไม่นานหลังเสียงประกาศนั้นจบลงรถไฟขบวนถัดไปก็มาถึงสถานี
“จำไว้ด้วยล่ะว่าอย่าทำตัวเด่น เพราะถึงจะไม่มีการประกาศตัวตนออกไป แต่อย่าน้อยก็คงมีพวกขุนนางบางคนที่อยู่ในวังตอนนั้นจำพวกเราได้บ้างแหละ”
“ค่ะ รับทราบแล้วค่ะ”
สเปียร์ตอบกลับทันทีหลังจากที่ทัตสึยะพูดจบ และในมือก็ยังถือถ้วยพุดดิ่งที่ซื้อมาจากร้านค้าของสถานี เธอรีบตักส่วนที่เหลือเข้าปากอย่างรีบร้อนขณะที่รถไฟขบวนต่อไปเข้าเทียบชานชาลา
พอได้เห็นเอลฟ์สาวผู้ทรงเสน่ห์กำลังแก้มป่องเพราะกินพุดดิ่งมากไปแบบนั้นมันก็ยิ่งทำให้ทัตสึยะเป็นห่วงหลักกว่าเดิม
“เห้อ~อย่าพูดตอนกำลังกินสิ”
สภาพของทัตสึยะในตอนนี้มันไม่เหมือนเพื่อนร่วมทาง แต่กลับออกแนวพี่ชายต้องดูแลน้องสาวเสียมากกว่า
หลังเดินขึ้นขบวนรถไฟ พวกทัตสึยะก็ได้ยื่นตั๋ววีไอพีให้กับนายสถานี และเมื่อได้รับการตรวจสอบจนแน่ใจ เขาจึงมอบหมายให้พนักงานบนรถพาทัตสึยะและสเปียร์ไปยังโบกี้ที่ว่างอยู่ แม้จะเสียเวลาไปนิดหน่อยแต่ก็มาถึงตู้โบกี้ส่วนตัวที่จะไม่มีการรบกวนจากผู้โดยสารคนอื่น
“ดูต่างออกไปจากรถไฟขบวนก่อนอยู่นิดหน่อยนะคะ”
สเปียร์ที่นั่งลงเป็นเตียงส่วนตัวกล่าวหลังได้มองดูของที่อยู่ในห้อง
การตกแต่งด้านเองก็ดูหรูหราและกว้างขวาง มีทั้งเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย มองแบบเผินๆ ก็เห็นเป็นห้องของโรงแรมห้าดาวเลยก็ว่าได้ แต่กระนั้นกลับไม่มีห้องแยก ถึงจะมีเตียงสองเตียง แต่ก็ไม่ได้มีแผงกั้น มีเพียงลิ้นชักเล็กๆ เท่านั้นที่คั่นระหว่างเตียงทั้งสอง
“เห็นว่าเป็นรถไฟสายหลักน่ะ ก็เลยมีขนาดโบกี้ที่ใหญ่กว่าครั้งที่แล้ว”
ทัตสึยะเก็บสัมภาระพร้อมหยิบสมุดเล่มเล็กปกสีน้ำตาลขึ้นมาให้สเปียร์ดู
“อันนั้นที่คุณทัตสึยะซื้อตอนเข้าร้านค้าของสถานีนี่ค่ะ?”
“ตอนอยู่ที่ดอลเบลเองก็เห็นมันว่างขายเหมือนกัน แต่ตอนนั้นคิดว่ารู้จักรถไฟดีก็เลยไม่ได้ซื้อเอาไว้ แต่พอได้ลองนั่งแล้วดูเส้นทางก็เลยรู้ว่ามันต่างออกไปจากที่เข้าใจ”
สเปียร์หยิบหนังสือเล่มนั้นก่อนจะมองดูอักษรที่เขียนเอาไว้บนหน้าปก
“ความรู้พื้นฐานรถไฟรางเวทมนตร์?”
“ครั้งที่แล้วไม่ได้ซื้อเพราะนั่งแค่ครึ่งวัน แต่คราวนี้ค่อนข้างนานก็เลยซื้อติดมาด้วย”
พอเปิดอ่านก็พบข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เขียนเอาไว้ มีตั้งแต่มารยาทในการอยู่รวมกับผู้โดยสารคนอื่นไปจนถึงรายละเอียดของเส้นทางทั้งหมด
บริษัทผู้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีรถไฟรางเวทมนตร์คือ บริษัทออร์บ ก่อตั้งเมื่อสองร้อยปีก่อน โดยมีผู้กล้าในยุคนั้นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง โดยเส้นทางของรถไฟรางเวทมนตร์จะแบ่งเป็นสองประเภท คือเส้นทางสายหลัก และเส้นทางสายรอง
เส้นทางสายหลักคือเส้นทางที่จะวิ่งผ่านประตูเสื่อมโลก และมีจุดหมายบรรจบกันที่แกรนโนอา จุดสังเกตคือจะเป็นรถไฟขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องใช้รางถึงสองรางเพื่อให้สามารถลองรับขนาดของตัวรถไฟได้
เส้นทางสายรองคือเส้นทางระยะสั้นที่ส่วนใหญ่จะวิ่งอยู่แค่ในประเทศ และตัวขนาดที่ไม่ใหญ่มากจึงไม่จำเป็นต้องใช้สองราง
แม้ข้อมูลส่วนหนึ่งจะได้รับมาจากสเปียร์แล้วในครั้งที่แล้ว แต่พอได้อ่านทำความเข้าใจมันเข้าจริงๆ ก็รู้สึกว่ามีหลายอย่างที่สุดยอดมากกว่าที่เธอเล่าออกมา
สเปียร์อ่านข้อควรปฏิบัตินั้นคร่าวๆ ก่อนที่ทัตสึยะจะพูดแทรกขึ้นมา
“จากที่นี่ก็ใช้เวลาประมาณสี่วันเลยสินะ รู้สึกเหมือนจะมีเวลาว่างขึ้นมาเลยแฮะ”
สีหน้าของทัตสึยะหลังพูดออกมาแบบนั้นมันก็คล้ายกับพวกนักเรียนที่ไม่อยากไปทัศนศึกษาไกลๆ เพราะเบื่อการนั่งรถ
“ไม่ชอบเดินทางไกลๆ งั้นเหรอคะ?”
ไม่รู้ว่าเพราะแสดงสีหน้าที่ชัดๆ ไปหรือว่าเธอเก่งเรื่องการอ่านอารมณ์คน คำพูดที่เธอกล่าวออกมานั้นจึงถูกต้องราวอ่านใจ ทัตสึยะที่ถูกถามไม่ได้ตอบกลับไป เขาทำเพียงทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ไม่นานหลังจากนั้นเสียงของเครื่องจักรก็ดังขึ้น แรงสั่งเบาๆ ทำให้รู้ตัวแล้วว่ารถไฟเริ่มขยับ
“ท่านผู้โดยสารทุกท่านโปรดนั่งลงและอยู่ในความสงบ ขณะนี้รถไฟกำลังจากเคลื่อนขบวน”
เสียงประกาศดังขึ้นเหมือนก่อนหน้า
ทัตสึยะไม่ได้ตอบคำถามของสเปียร์ เขาเอาแต่แสดงสีหน้าที่อธิบายยาก
เมื่อรถไฟเริ่มออกตัว ภาพทิวทัศน์ของเมืองหลวงก็เริ่มเลื่อนผ่าน มองเห็นบ้านเรือนที่มีหลังคาเป็นสีขาวด้วยหิมะ ภาพบรรยากาศอันสงบสุขภายในเมืองทำเอาแทบไม่อยากเชื่อว่าอาณาจักรแห่งนี้กำลังอยู่ในสภาวะสงคราม
สเปียร์เองก็เริ่มเอะใจเล็กๆ หลังเห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนไปของทัตสึยะในชั่วขณะ แต่ต่อให้ถามออกไป เธอก็คงรู้ดีว่าเขาคงไม่ตอบ สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้คือการรอจนกว่าเขาจะไว้ใจและยอมพูดมันออกมาเอง
เอลฟ์สาวพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปจ้องมองทิวทัศน์ที่เลื่อนผ่านอย่างตั้งใจ แม้จะออกมาจากตัวเมืองแล้ว แต่เธอก็ยังคงจับจ้องภาพอันพิศวงนั้นผ่านหน้าต่างโดยไม่ละสายตา
จนเวลาผ่านไปจนตอนนี้ขบวนรถออกห่างจากเมืองหลวงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
ทัตสึยะที่นอนอยู่บนเตียงนั้นก็ยังคงแสดงสีหน้าดูอึดอัด เขาเอาแต่จ้องเพดานห้องด้วยสีหน้าที่ราวกับมีบางอย่างติดอยู่ในหัว
แต่แล้ว…
ได้ยินเสียงสูดหายใจดังขึ้นก่อนที่ทัตสึยะจะเริ่มพูดบางอย่างกับสเปียร์
“นี่ สำหรับเธอแล้วผู้กล้าเนี่ย คืออะไรงั้นเหรอ?”
เสียงของทัตสึยะกล่าวถามออกไปเช่นนั้นอย่างเลื่อนลอย
“เอ๊ะ ทำไมอยู่ๆ ถึงถามแบบนั้นล่ะค่ะ?”
สเปียร์ละสายตาจากหน้าต่าง ก่อนจะหันมองทัตสึยะที่นอนอยู่บนเตียง
“…”
“มีเรื่องกังวลอยู่สินะคะ”
“ไม่รู้สิ พอนึกเรื่องที่ต้องทำหลังไปถึงแกรนโนอาแล้วคำพูดของยัยนั้นก็แล่นเข้ามาในหัว”
“หมายถึงจอมเวทชุดดำคนนั้นเหรอคะ?”
“ช่วยตอบมาหน่อยสิ ว่าในสายตาของเธอ คนที่ถูกเรียกว่าผู้กล้าต้องเป็นคนยังไง?”
ทัตสึยะลุกขึ้นก่อนจะหันไปสบตากับสเปียร์โดยตรง
เอลฟ์สาวที่ถูกจ้องตาแบบนั้นก็รู้ตัวทันทีว่ากำลังถูกสายตาคู่นั้นค่อยจับคำโกหกอยู่
“ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน จะบอกว่าไม่รู้เหมือนกันก็คงได้มั่งคะ”
ทัตสึยะที่กำลังใช้เนตรแห่งความจริงนั้นรับรู้ได้ว่าเธอไม่ได้โกหก แต่ถึงจะได้คำตอบแบบนั้นมามันก็ไม่ทำให้ความกังวลที่มีอยู่ในใจนั้นจากลงเลยแม้แต่น้อย
“อย่างน้อยก็เอาความรู้สึกที่เธอมีต่อผู้กล้าคนก่อนหน้าฉันก็ได้”
สเปียร์เอียงพร้อมใช้นิ้วแตะที่ปลายคางของตัวเองราวกับกำลังค้นหาข้อมูลในความทรงจำ
“เท่าที่เคยได้ยินก็มีแค่เรื่องเล่าจากคนอื่น เห็นว่าเขาคนนั้นเดินทางไปรอบโลกก่อนจะล้มจอมมารในอีกสิบปีให้หลัง แต่ตัวตนในตำนานแบบนั้นกลับแต่ต่างออกไปในเผ่าเอลฟ์ สำหรับมนุษย์ที่อายุขัยสั้นเรื่องพวกนั้นมันกลายเป็นเพียงสิ่งที่ถูกจดบันทึกไว้ในกระดาษ แต่สำหรับเอลฟ์เรื่องราวของเขาคนนั้นมันก็เหมือนว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน”
สเปียร์ยกยิ้มเล็กๆ ก่อนจะเริ่มเล่าสิ่งที่ตนได้ยินมาให้ทัตสึยะได้ฟัง
“คุณแม่เคยบอกว่าเขาคนนั้นเคยมาช่วยเก็บเสบียงในฤดูหนาว หลายคนในหมู่บ้านก็บอกว่าเคยถูกช่วยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ด้วย สำหรับฉันก็คงต้องบอกว่าเป็นคนที่น่านับถือ”
“คนที่น่านับถืองั้นเหรอ…”
เสียงหายใจเบาๆ ของทัตสึยะดังผ่านออกมา เขาผสานมือของตนไว้บนตัก ก่อนจะแสดงสีหน้ายากจะอธิบาย
“รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้เธอน่ะอ่อนแอแค่ไหน ลำพังพลังแค่นั้นน่ะเป็นผู้กล้าจริงๆ ไม่ได้หรอก”
“ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ โชคชะตาของเธอมันก็ถูกเขียนไว้ก่อนแล้ว”
คำพูดเหล่านั้นของแม่มดในชุดดำยังคงน่าสงสัย มีหลายอย่างที่กวนใจ
“คงผิดหวังสินะ ที่รู้ว่าฉันเป็นผู้กล้า”
น้ำเสียงนั้นดูหวั่นเล็กน้อย บนใบหน้าเองก็ปราศจากความมั่นใจ ทัตสึยะรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ตัวเขาอ่านมาหมดแล้วประวัติศาสตร์ของผู้กล้าตลอดหนึ่งพันปีที่มีการบันทึก และเมื่อเทียบกัน สิ่งที่เขาทำตลอดสี่เดือนที่ผ่านมามันช่างเล็กจ้อย
“ไม่ค่ะ”
เธอตอบกลับมาอย่างฉับไว ราวกับไม่จำเป็นต้องคิดหาคำตอบ สายตาเองก็ไม่ได้โกหก ทำปฏิเสธนั้นทำให้ดวงตาของทัตสึยะกระตุกขึ้นเล็กน้อย
“ฉันไม่ได้แข็งแกร่งถึงขันตัดแบ่งทวีป ไม่ได้เก่งจนทำให้มนุษย์กับปีศาจหยุดทำสงคราม”
เสียงที่ดูกังวลกล่าวออกมาเช่นนั้น มองเห็นสายตาที่เริ่มมองต่ำ ตลอดหลายวันมานี่สเปียร์ก็พอรู้ว่าทัตสึยะกำลังเก็บเรื่องที่กังวลเอาไว้คนเดียว เธอเองก็ไม่อยากทำให้ทัตสึยะคิดว่าตนน่ารำคาญเพราะงั้นจึงรอจนกว่าเขาจะยอมพูดมันออกมาเอง และในที่สุดความอดทนของเธอมันก็ส่งผล
“แล้วเป้าหมายในการเดินทางของคุณคืออะไรเหรอคะ?”
“ก็แค่อยากจะกลับไปที่โลกเดิม กลับไปใช้ชีวิตที่แสนเรียบง่ายและธรรมดา”
คำตอบนั้นดูตรงไปตรงมา หากว่าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงไม่ยอมพูดแม้จะถูกถาม อาจจะเพราะเริ่มไว้ใจจึงยอมพูดสิ่งที่ติดอยู่ในหัวออกมาแบบนั้น
“แค่นั้นก็พอแล้วนี่คะ อย่างน้อยการมีเป้าหมายในการเดินทางก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้วนี่คะ”
สเปียร์ลุกขึ้น ก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ เขาแทน
เธอกุมมือของเขาอย่างอ่อนโยน พร้อมยิ้มอย่างอบอุ่น
“มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันระหว่างผู้กล้าคนก่อนกับตัวคุณ”
เธอผสานมือกับทัตสึยะ ก่อนจะเอ๋ยคำพูดที่หนึ่งออกมาจากใจจริงโดยไร้สิ่งเจือปน
“ความน่านับถือ การที่คุณผ่าทวีปหรือหยุดสงครามไม่ได้ สิ่งเหล่านั้นมันไม่ทำให้ความนับถือที่ฉันมีต่อคุณมันลดน้อยลงไปเลย”
เสียงของทัตสึยะเงียบไป เขาที่ใช้เนตรเนตรแห่งความจริงอยู่นั้นรู้ดีว่าคำพูดที่ตนได้ยินไม่ใช่คำโกหก
“แล้วเหตุผลล่ะ”
“เพราะเห็นมาแล้วไงคะ ตัวคุณที่ยอมยื่นมือช่วยคนอื่นเมื่อถูกร้องขอ ถึงจะบ่นนู่นบ่นนี้ แต่สุดท้ายคุณก็ยอมทำจริงไหมล่ะค่ะ”
“ตัวฉันน่ะเหรอ? ตัวฉันที่เอาแต่หนีเรื่องวุ่นวายเคยทำอะไรแบบนั้นด้วยงั้นเหรอ?”
“แต่ถ้าถูกขอร้องคุณก็จะยอมช่วยจริงไหมล่ะค่ะ”
“ไม่ถึงขั้นนั้นสักหน่อย ที่ทำไปก็เพราะอยากเล่นเป็นผู้กล้า…”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ต่อให้ที่ทำมาทั้งหมดเป็นแค่การแสดง ยังไงหลังจากนี้ค่อยทำจริงๆ ก็ได้”
พอได้ฟังคำพูดเธอแล้วก็แอบรู้สึกผิด เพราะเหตุผลที่ทัตสึยะยอมให้เธอตามมาด้วยนั้นเป็นเพียงการไถ่โทษที่ตนพูดไม่ดีใส่แต่เธอก็ยังย้อนกลับมาช่วย ถึงสถานการณ์จะพาไป แม้ตอนนั้นจะเป็นแค่คำโกหกที่พูดออกไปเพื่อให้เธอหนีไป แต่ก็พูดออกไปแล้ว “จะต้องขอโทษ”
ทัตสึยะที่กุมมือของเธอ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ในใจเองก็รู้สึกผ่อนคลาย
สีหน้าของเขาเริ่มกลับมามีความมั่นใจ หลายคำพูดในหัวเริ่มถูกจัดระเบียบ
“มีเรื่องที่ไม่อยากให้เธอเข้าใจผิดอยู่”
เสียงกล่าวกระซิบเล็ดลอดผ่านออกมา ถึงแม้เสียงนั้นจะเบาแค่ไหน แต่มันก็ส่งไปถึงสเปียร์
“เรื่องอะไรงั้นเหรอคะ?”
แม้จะดูลังเลที่ถูกถาม แต่สุดท้ายก็ยอมบอกออกไปตามตรง
“ก่อนหน้านี้ ที่พูดไม่ดีใส่ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ หรอก”
“เรื่องนั้นเองเหรอคะ ฉันไม่คิดมากหรอกค่ะ”
สเปียร์ยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน มองไม่เห็นถึงคำโกหกใดๆ จากเธอ ไม่ใช่เพราะว่าทัตสึยะเพิ่งใช้เนตรแห่งความจริงกับเธอ แต่เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยโกหกเขาเลยต่างหาก
รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏบนใบหน้าของทัตสึยะอีกครั้ง เขาขอถอนความคิดที่แอบดูถูกผู้กล้าคนก่อน แม้จะไม่สามารถทัดเทียมเขาคนนั้นได้ แต่ทั้งสองก็เป็นคนละคนกัน มีทั้งเรื่องที่ทำได้และไม่ได้ เพราะงั้นจึงแทนกันไม่ได้ ทัตสึยะสลัดความคิดเปรียบเทียบนั้นทิ้งไปก่อนจะตั้งมั่นว่าหลังจากนี้จะจริงจังกับการเดินทางให้มากขึ้น
“…”
ถึงจะเพียงเล็กน้อย แต่ก็เห็นว่าสเปียร์ขยับเข้ามาประชิดมากขึ้น พอตัดสินใจหันกลับไปมองก็พบกับดวงตาสีเขียวมรกตที่กำลังจับจ้อง ทั้งสองไม่ได้พูดอะไร มีก็แต่สายตาเท่านั้นที่กำลังสื่อสารกับอีกฝ่าย
ขณะที่เสียงลมหายใจค่อยๆ ดังขึ้น ก็มีเพียงทิวทัศน์ด้านนอกเท่านั้น ที่บ่งบอกว่าเวลาไม่ได้หยุดนิ่ง
“…”
“…”
แม้ว่าบรรยากาศจะกำลังดี และทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มใจ แต่มันก็จะต้องมีบางอย่างเข้ามาเพื่อขัดจังหวะ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสามครั้ง
เมื่อได้ยินทัตสึยะก็ตัวสะดุดโหยง เขาดึงสติของตัวเองกลับมาก่อนจะรีบลุกไปเปิดประตูด้วยใบหน้าที่แดงไปจนถึงใบหู
เขาแอบขอบคุณเสียงเคาะประตูอยู่ในใจ เพราะถ้าไม่มีอะไรมาขัดเขาอาจจะลงมือกระทำบางสิ่งที่ไม่ควรลงไปแล้ว
“เริ่มจะอยากแก้ไอ้นิสัยที่โดนบรรยากาศไปง่ายๆ นี้ชะมัด”
ทันทีที่เปิดประตูเขาก็ต้องตกใจกับจำนวนคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง
ชายร่างสูงสวมชุดแบบผู้ดีทั่วไปสองคน และเด็กสาวร่างเล็กอีกหนึ่งคนที่ด้านหลัง
“ขอโทษที่มารบกวนนะครับ พอดีว่ามีเรื่องอยากถามหน่อย”
ผู้ชายที่คุยกับทัตสึยะดูจะมีอายุมากกว่าอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ บนใบหน้าเองก็เริ่มปรากฏริ้วรอยตามวัย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความน่าเกรงขามลดลงเลยแม้แต่น้อย อาจจะเพราะรูปร่างทั้งส่วนสูงและความกว้างของไหล่
เขาคนนั้นหยิบบางอย่างออกมาจากเสื้อนอกสีดำที่สวมอยู่ มันเป็นแผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีภาพของใครบางคน
“ภาพถ่าย?”
“คุณเคยเห็นคนในภาพนี้รึเปล่า?”
ในภาพถ่ายที่ทัตสึยะเห็นมันเป็นภาพของชายแก่ที่สวมชุดเครื่องแบบของนักบวชชั้นสูง สวมแว่นกลมและมีเส้นผมสีขาวซี้ด
ทัตสึยะจ้องมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมองชายตรงหน้าอีกครั้ง แต่ก็ต้องสะดุดเมื่อมองเห็นใครบางคนที่อยู่ด้านหลังเขาอีกที
“ไดอาน่า?”
พอถูกเรียกฝ่ายนั้นก็มีปฏิกิริยา เธอรีบหันมองใบหน้าของคนที่เรียกชื่อของตัวเองทันทีหลังได้ยิน
“ทัตสึยะ…เหรอ?”