เพราะเลือกโรงแรมที่อยู่ใกล้ทั้งกิลด์นักผจญภัยและสถานี จึงให้เวลาเดินเท้าไม่นานก็มาถึงจุดหมาย
เมื่อเดินเข้าไปในสถานีทัตสึยะก็ไม่รอช้าที่จะนำตั๋วไปเปลี่ยนสถานีจุดหมาย
เขายื่นตั๋วของตนและสเปียร์ให้กับพนักงานประจำเคาน์เตอร์ จากนั้นจึงบอกจุดหมายและวันเวลาตามลำดับ แม้คุณพนักงานจะแสดงสีหน้าดูลำบากใจเพราะระยะเวลาค่อนข้างกระชั้นชิด แต่เพราะเป็นตั๋ววีไอพีจึงยอมทำตามที่ทัตสึยะขอ สุดท้ายก็ได้เที่ยวรถเป็นอีกหนึ่งขบวนถัดไป
หลังเปลี่ยนตั๋วเสร็จเรียบร้อยตัวเขาก็เดินกลับมาทางสเปียร์ที่กำลังมองบางอย่างอยู่
“เปลี่ยนตั๋วเสร็จแล้วนะ เห็นว่าต้องรอรถไฟถัดไปอีกขบวนน่ะ”
“อะ เอ๊ะ! งะ งั้นเหรอคะ”
“นี่เธอมองอะไรตั้งต่อเมื่อกี้แล้วน่ะ”
พูดจบทัตสึยะก็หันไปตามทิศที่เธอมองอยู่เมื่อครู
มันเหมือนกับร้านค้าเล็กในโลกเดิมของเขา
สิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือนร้านที่ดูทันสมัยนั้นก็คือร้านของฝากประจำสถานี เป็นสิ่งที่มีมาคู่กับทุกสถานี แต่ที่มันดึงความสนใจคงเป็นเพราะขนาดตัวร้านที่ค่อนข้างใหญ่หากเทียบกับที่ดอลเบล เพราะของที่นั่นเรียกว่าร้านยังยาก คงต้องเรียกว่าแผ่งลอยมากกว่า
“ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ จะเดินไปดูหน่อยไหมล่ะ?”
“เอ๊ะ ได้งั้นเหรอคะ”
ถึงจะถามแบบนั้น แต่เขาก็ไม่ได้มีสิทธิ์ไปห้ามเธอแต่แรกแล้ว แถมอีกอย่างถ้าโดนมองด้วยสายตาคาดหวังแบบนั้นคงไม่มีใครกล้าตอบปฏิเสธหรอก
เมื่อเดินเข้าไปในร้านก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่น่าคิดถึง ทั้งการตกแต่งหรือแม้แต่การวางชั้นสินค้า มองยังไงนี่มันก็ร้านสะดวกซื้อชัดๆ แถมยังเป็นร้านสะดวกซื้อต่างโลก
“ส่วนใหญ่มีแต่ของกินสินะ คงจะดีถ้ามีของที่คล้ายกาแฟขายด้วย”
ทัตสึยะที่คิดว่าคงจะดีถ้ามีกาแฟขายเพราะยังไงหลังจากนี้ต้องไปเข้าเรียน ขณะที่ยืนมองเขาก็ใช้พรเข้าใจทุกสรรพสิ่งแยกแยะสินค้าทีละชิ้นอย่างละเอียด แต่พอรู้ตัวและหันกลับไปมองสเปียร์ก็เห็นว่าเธอกำลังหอบสินค้าที่เป็นของกินเอาจนแทบจะล้นออกมา
“นี่เธอเป็นเด็กประถมรึไง”
พอหันไปพูดแบบนั้นเธอก็ทำของที่แบกอยู่ทั้งหมดหล่นลงกองกับพื้น
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเงียบๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีของที่อยากได้เยอะจนล้นมือทัตสึยะจึงยื่นตะกร้าของตนให้ เพราะเท่าที่ดูตัวเขาเองคงไม่ได้ซื้อของเยอะ
“คราวหลังถ้าจะซื้อเยอะก็เดินไปหยิบตะกร้าตรงนั้นมา เข้าใจไหม”
“ค่า~”
สเปียร์ตอบกลับด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่รู้สึกผิด ภาพของทัตสึยะที่สอนสเปียร์ถึงวิธีเข้าร้านสะดวกซื้อมันเหมือนกับคุณแม่ที่ออกมาจ่ายตลาดกับลูกติดไม่มีผิด
เมื่อเดินผ่านโซนของกินออกมาทัตสึยะก็มาสะดุดตาเข้ากับป้ายโฆษณาอันใหญ่ที่วางอยู่หน้าชั้นขายตุ๊กตา
“ตุ๊กตาหมอนคุณสไลม์สุดนุ่มนิ่มลิมิเต็ดสุดพิเศษขายจำกัดจำนวน”
พออ่านป้ายแล้วมันก็ยิ่งทำให้ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
“อะไรน่ะไอ้ป้ายที่มีแต่ตัวอักษรนี่ ทำเอานึกถึงใบปลิวที่แจกกันตามท้องถนนเลย”
พอเริ่มเกิดความสงสัย ทัตสึยะก็ไม่รอช้ายืนอ่านคำอธิบายสินค้าต่อในทันที
“ตุ๊กตาคุณสไลม์ มาสคอตประจำสถานี ขายแบบลิมิเต็ดจำกัดหนึ่งคนต่อหนึ่งชิ้น จะว่าไปตั้งแต่มาที่โลกนี้ก็ไม่เห็นสไลม์เลยสักตัว ตกลงแล้วสไลม์เนี่ยมันมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้รึเปล่า?”
พอจ้องมันดูดีๆ ก็รู้สึกว่าดีไซน์ของมันดูคุ้นๆ อยู่นิดหน่อย เหมือนจะมาจากแฟนไซน์ดราก้อนสักอย่างลงท้ายด้วยเควสต์นี่แหละ
“อันนั้นเป็นสินค้าที่ท่านผู้กล้าเขาออกแบบเอาไว้ตั้งแต่เมื่อสองร้อยปีก่อนน่ะ”
เสียงนั้นดังมาจากใครบางคนที่กำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ
พอทัตสึยะหันกลับไปมองก็เห็นชายวัยกลางคนร่างท้วมที่สวมชุดพนักงานร้านยืนอยู่ตรงนั้น
“เห็นว่าเป็นสัตว์วิเศษจากโลกที่ท่านผู้กล้าจากมาน่ะ อะ ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับ ผมเป็นผู้จัดการประจำสาขาชื่อ ได วอนฟอต ครับผม”
เขาคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
เมื่อเดินมาถึงจุดที่ทัตสึยะยืนอยู่เขาก็หยิบตุ๊กตาคุณสไลม์ขึ้นมาหนึ่งตัวก่อนจะหันกลับมาที่ทัตสึยะ พอถูกจ้องทัตสึยะก็เริ่มต้องท่าพร้อมสู้โดยไม่รู้
“ดูเหมือนว่าคุณลูกค้าจะดูสนอกสนใจเจ้าสินค้าตัวนี้เอามากๆ เลยนะครับ”
หลังพูดแบบนั้นบรรยากาศรอบตัวของคุณลุงคนนั้นก็เปลี่ยนไป มันแผ่แรงกดดันอันน่าพิศวงออกมา ทัตสึยะที่จ้องมองก็ไม่เข้าใจถึงสายตาที่กำลังจับจ้องมาคู่นั้น
“ดูเหมือนคุณลูกค้าจะมีภูมิหลังกับเจ้าตุ๊กตาตัวนี้สินะครับ เดาจากสายตาแล้วคงเป็นความรู้สึกที่ทำให้นึกถึงบ้านเกินที่จากมาสินะครับ”
สิ้นประโยคพูดนั้นของผู้จัดการ ทัตสึยะก็รู้สึกได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา
“ถ้าเป็นตัวนี้ผมแนะนำให้ซื้อเก็บไว้นะครับ เพราะสินค้าตัวนี้จะไม่มีการผลิตซ้ำแล้ว”
ทั้งบรรยากาศจังหวะการพูดและหลายๆ อย่างที่รวมกันนั้นมันให้ทัตสึยะรู้ว่าเขาคนนี้คือสุดยอดนักขายตัวพ่อ ไม่ใช่แค่อันตรายแล้วแบบนี้มันเข้าขั้นภัยพิบัติเลยก็ว่าได้ ในขณะที่กำลังจะยกมือขึ้นเพื่อปฏิเสธ รู้ตัวอีกทีคุณลุงผู้จัดการก็เข้าประชิดตัวของทัตสึยะในชั่วพริบตา
“ดูจากการแต่งตัวของคุณลูกแล้วคงเป็นนักผจญภัยที่เก่งกาจและน่าจะมีชื่อเสียง”
มองเห็นรอยยิ้มชวนสยองของเซลแมนมาจากบุคคลตรงหน้า ขณะที่กำลังจะตั้งใจปฏิเสธออกไปอย่างชัดเจน แต่ก็ถูกคนพูดหนึ่งดึงความสนใจเอาไว้
“กับเงินเพียงเล็กน้อย แลกกับความรู้สึกคิดถึงบ้านเกิด ผมว่ายังไงมันก็คุ้มค่าที่จะจ่ายแล้วนะครับ
ในมือของเขาก็ถือตุ๊กตาคุณสไลม์ลิมิเต็ดไม่มีผลิตซ้ำไปเสียแล้ว…
“ขอบคุณที่อุดหนุนนะครับ”
พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์…
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการขายคุณลุงผู้จัดการก็จึงเดินจากไปพร้อมชนะที่ได้มา
ทัตสึยะที่คอตกจ้องมองเจ้าตุ๊กตาในเมื่อก่อนจะเริ่มมีความคิดที่ว่า “เจ้าผู้กล้าเมื่อสองร้อยปีเป็นพวกโอตาคุแฟนตาซีรึไงกัน?” พอคิดแบบนั้นเขาก็ได้แต่ถอดถอนใจ ก่อนจะเดินกลับไปหาสเปียร์ที่กำลังยัดของกินใส่ตะกร้า จนตอนนี้ตะกร้าที่เธอถืออยู่มันเริ่มบวมขึ้นมานิดๆ แล้ว
“นี่เธอเป็นเด็กประถมจริงๆ สินะ”
เขากระซิบกับตัวเองเช่นนั้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะสังเกตเห็นตัวเขา
“อะ! คุณทัตสึยะกลับมาพอดีเลย ฉันกำลังเลือกระหว่างพุดดิ้งถ้วยใหญ่ที่เก็บไว้ได้นานกับพุดดิ้งถ้วยเล็กแต่ราคาถูกแถมซื้อได้ในจำนวนเยอะๆ อยู่ค่ะ คิดว่าแบบไหนมันคุ้มกว่ากันเหรอคะ?”
ถึงแม้คำถามจะฟังดูประหลาด แต่เธอกลับแสดงสีหน้าที่จริงจังแบบสุดๆ ออกมา
“จะอย่างไหนมันก็พุดดิ้งไม่ใช่รึไง”
“งั้นฉันเอาแบบถ้วยเล็กหลายๆ ถ้วยดีกว่านะคะ”
“ไม่ฟังกันเลยนี่หว่า”
เมื่อเลือกซื้อของกันจนพอใจ ทั้งก็เดินมาที่โซนคิดเงิน และที่น่ากลัวก็คือคนที่ยืนอยู่หลัง เคาน์เตอร์ตรงหน้า เขาเป็นชายวัยกลางคนร่างท้วมสวมเครื่องแบบของพนักงานร้านทั่วไป ใช้แล้ว คุณผู้จัดการร้านคนดีคนเดิม
ทัตสึยะที่เดินผ่านก็ถึงกับเหงื่อตก เขาดูจะลังเลเมื่อต้องเดินไปคิดเงิน แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนจะผ่านมันมาได้
เมื่อเดินออกมาจากร้านก็เหมือนว่าสเปียร์เพิ่งจะเห็นสิ่งที่ทัตสึยะถือมาด้วย
“คุณทัตสึยะซื้ออะไรมาเหรอคะ?”
“อ่อ เจ้านี้น่ะเหรอ อย่าเรียกว่าซื้อเลย เพราะราคาที่ต้องจ่ายมันคือหลักฐานแห่งความพ่ายแพ้ของฉัน”
เขาขยำเจ้าตุ๊กตาหมอนสไลม์ตลอดทางที่เดินผ่าน ขณะที่กำลังเดินไปยังที่นั่งสำหรับรอรถไฟ ทัตสึยะก็สังเกตเห็นป้ายที่เขียนคำอธิบายเหมือนกันทุกสถานี
บนนั้นบอกเล่าที่มาที่ไปของรถไฟรางเวทมนตร์ไว้โดยละเอียด “บริษัทที่เป็นเจ้าของรถไฟนั้นถูกผูกขาดไว้เพียงผู้เดียว นั้นคือบริษัทที่แยกตัวออกมาจากกิลด์นักผจญภัยและกิลด์การค้า มีชื่อว่า “ออร์บ (orb) ” ก่อตั้งขึ้นโดยท่านผู้กล้าเมื่อสองร้อยปีก่อน และมีสถานีหลักตั้งอยู่ระหว่างประตูเชื่อมโลก”
เขามองสลับกันระหว่างเจ้าตุ๊กตาและป้ายอันนั้น ตัวตนของผู้กล้าเมื่อสองร้อยปีก่อนต้องเป็นคนที่มาจากปีที่ไม่ห่างจากทัตสึยะมาก มากสุดก็ประมาณสามสิบถึงสี่สิบปี แต่ระยะเวลาของที่นี่กับผ่านมาแล้วกว่าสองร้อยปี แถมเขาคนนั้นที่อาจจะเป็นแค่พวกคลั่งวรรณกรรมแนวแฟนตาซี แต่พอมองย้อนกลับมาไปถึงสิ่งที่คนคนนั้นทำแล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับตัวเอง
“ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้นก็ยังปรามจอมมารและสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย”
แม้จะเป็นเพียงโอตาคุคลั่งแฟนตาซีแต่กลับวางรากฐานของสิ่งต่างๆ เอาไว้มากมาย นำวัฒนธรรมหลายอย่างมาสู่โลกที่ไม่รู้จัก สร้างสันติสุขยาวนานกว่าสองร้อยปี
“รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้เธอน่ะอ่อนแอแค่ไหน ลำพังพลังแค่นั้นน่ะเป็นผู้กล้าจริงๆ ไม่ได้หรอก”
คำพูดนั้นของแม่มดปริศนา ดังขึ้นในหัวอย่างไร้เหตุผล แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอคนนั้นพยายามจะสื่ออย่างชัดเจน แต่ก็พอเดาได้ว่าหลังจากนี้จะเกิดหายนะที่รุนแรงมากๆ รุนแรงจนถึงขั้นที่โลกใบนี้ต้องอัญเชิญผู้กล้ามา
“ทำไมถึงเป็นฉันกันนะ”
เสียงกระซิบกับตัวเองของทัตสึยะถูกกลบทับด้วยเสียงของขบวนรถไฟที่วิ่งผ่านไปจนแม้แต่ตัวเขาก็ไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง