ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อยตอนที่24 เมืองหลวง

ตอนที่24 เมืองหลวง

เสียงของเครื่องจักรไอน้ำร้องลั่นอย่างเต็มกำลัง มองเห็นวิวทิวทัศน์เลื่อนผ่านและห่างออกไป

“สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์เนี่ยสุดยอดเลยนะคะ”

เด็กสาวหูยาวกล่าวออกมาเช่นนั้นอย่างตื่นเต้น สเปียร์ใช้มือดันกระจกราวกับอยากจะยื่นหัวออกไปด้านนอก เธอจ้องมองภาพของป่าและภูเขาที่เลื่อนผ่านหน้าต่างใสไปโดยไม่ละสายตา

“ฉันเองก็เพิ่งเคยนั่งเหมือนกัน”

ทัตสึยะหันมองเบาะที่นั่งของตัวเอง ก่อนจะเริ่มพูดในสิ่งที่จินตนาการเอาไว้ก่อนหน้าที่จะได้ขึ้นรถไฟขบวนนี้

“ใครจะไปคิดเล่าว่าตั๋วที่ยัยกิลด์มาสเตอร์ให้มามันจะเป็นตั๋วแบบวีไอพีที่เหมาทั้งตู้โดยสาร”

ใช่แล้ว ในตู้โดยสารอันกว้างขวางนี้มีเพียงพวกเขาทั้งสองเท่านั้น

รถจักรไอน้ำที่มองจากภายนอกไม่ต่างจากของที่มีอยู่บนโลกเก่าของทัตสึยะ แต่ความพิเศษของมันนั้นอยู่ที่รางต่างหาก ตามบันทึกและข้อมูลที่ถูกเขียนเอาไว้บนสถานีใหญ่ๆ ระบุเอาไว้ว่าผู้คิดค้นระบบร่างพลังเวทคือผู้กล้าคนก่อน เขาคนนั้นได้วางรากฐานไว้เป็นสายหลักทั้งหมดห้าสาย และทุกสายมันก็จะไปบรรจบกันที่เมืองแกรนโนอาอันเป็นสถานที่ตั้งของสถาบันเวทมนตร์

แต่นั้นแหละที่น่าสงสัย เพราะทั้งต้นสายและปลายสายของเส้นทางหลักมันคือแกรนโนอา แต่เพราะรางรถไฟมันเป็นเส้นเดียวแบบไป-กลับ ไม่ได้วิ่งเป็นวงกลม ทัตสึยะจึงเกิดคำถามขึ้น

“สรุปแล้วไอ้เมืองแห่งการศึกษาแกรนโนอาอะไรนั้นมันตั้งอยู่ทั้งสองด้านของเส้นทางเลยงั้นเหรอ?”

ทัตสึยะกำลังอ่านรายละเอียดเส้นทางที่ถูกเขียนไว้บนแผ่นพับได้กล่าวถามออกมาเช่นนั้น สเปียร์ที่ได้ยินคำถามจึงหันตัวออกจากหน้าต่างแล้วยกนิ้วชี้ไปยังแผนที่รางรถไฟ

“เปล่าหรอกค่ะ เห็นว่าเมืองแกรนโนอาเป็นดินแดนที่ถูกอาณาเขตบางอย่างปกคลุมอยู่เลยทำให้มันปรากฏอยู่สองสถานที่ได้พร้อมกัน…ล่ะมั้งคะ”

“ห้ะ? หมายความว่าไงล่ะนั่น”

“ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ด้วย แต่เห็นว่ามันเป็นเมืองลับแลที่ต้องนั่งรถไฟสายหลักเท่านั้นจึงจะเข้าถึงได้ค่ะ”

“เธอกำลังจะบอกฉันว่าเราสามารถนั่งรถไฟเข้าไปที่นั้นได้จากทางเหนือของทวีป และสามารถออกไปโผล่ได้ที่ใต้สุดของทวีปอะนะ”

“ก็คงประมาณนั้นล่ะมั้งคะ ตัวฉันเองก็ยังไม่เคยไปที่แกรนโนอาด้วย เลยไม่คอยรู้รายละเอียด”

พอได้ยินคำอธิบายสุดเรียบง่ายของสเปียร์ก็ทำเอาทัตสึยะนิ่งไปชั่วขณะ

“อย่างกับเพิ่งได้ยินอะไรที่สุดจะเหลือเชื่อเลยแฮะ”

เขาตัดสินใจเก็บแผ่นพับเส้นทางรถไฟหลังเริ่มรู้สึกว่าสถานีต่อไปเริ่มเข้าใกล้

หากนับเวลาจริงๆ มันก็เป็นเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ทั้งสองใช้เดินทาง

“เริ่มมองเห็นเมืองหลวงของอีเดนแล้วค่ะ”

พอถูกบอกเช่นนั้นทัตสึยะจึงชำเลืองมองตามที่สเปียร์บอก และก็เป็นอย่างนั้น มองเห็นกำแพงเมืองขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล

“เจ้านี่เร็วชะมัด”

คำพูดของทัตสึยะที่กล่าวออกมาลอยๆ นั้นบ่งบอกถึงการที่เขาประเมินเจ้ารถไฟขบวนนี้ต่ำไป ตัวเขาไม่เคยคิดเลยว่าท่ามกลางบรรยากาศโลกกึ่งยุคกลางแบบนี้จะสามารถสร้างเครื่องจักรไอน้ำที่ทำงานได้ทรงประสิทธิภาพเช่นนี้

“ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้รถไฟกำลังจะเทียบชานชาลา รบกวนตรวจสอบสัมภาระก่อนลงจากรถด้วย”

เสียงประกาศดังมาตามท่อเหล็กเพื่อเตือนท่านผู้โดยสารว่ากำลังจะถึงสถานีถัดไปแล้ว

หัวรถจักรพ่นไอน้ำสีขาวหลังจอดสนิท ไม่กี่วินาทีต่อมาประตูขบวนก็ถูกเปิด มีผู้คนมากมายเดินลงจากรถในเวลาอันสั้น ทัตสึยะกับสเปียร์เองก็เช่นกัน

ตัวทัตสึยะที่เพิ่งเคยมาเมืองหลวงของอีเดนเป็นครั้งแรกนั้นดูจะตะลึงกลับภาพที่ได้เห็น ทั้งสิ่งปลูกสร้างหรือแม้แต่ตึกรามบ้านช่อง มันช่างแตกต่างจากที่จินตนาการเอาไว้มาก

“อย่างกับอยู่กันคนละยุคเลยแฮะ”

“หมายถึงอะไรเหรอคะ?”

พอได้ยินเสียงพึมพำของทัตสึยะเข้าไปแล้วสเปียร์จึงได้แต่ถามกลับอย่างสงสัย

“จะว่าไงดีล่ะ มันค่อนข้างต่างจากเมืองหลวงของมิเนเรียอยู่มากน่ะ”

“อย่างนั้นเหรอคะ”

พอมาลองนึกย้อนดู สาเหตุที่เมืองหลวงของประเทศนี้มันเจริญนักก็อาจมาจากเจ้ารถไฟรางเวทนี้ก็ได้

“พวกเรารีบไปที่พระราชวังกันเถอะคะ”

“อะ อื้ม”

ทัตสึยะได้แต่พยักหน้ารับหลังได้ยินเช่นนั้น ตัวเขาดูจะตะลึงกับทิวทัศของเมืองนี้มากไปเสียแล้ว

หลังจากเดินออกมาจากสถานี สเปียร์ก็หยิบแผนฝังเมืองที่ได้มาจากดิโอนาขึ้นมา เธอดูจะมึนงงกับลายมือของดิโอน่าที่เขียนออกมาแบบของไปที พอเห็นว่าสเปียร์ยืนขมวดคิ้วได้สักระยะ ทัตสึยะจึงตัดสินใจหยิบแผนที่นั้นมาดูเอง

“ลายมือห่วยชะมัด”

เขาขมวดคิ้วแทบจะในทันทีที่ได้เห็นแผนที่ลายมือเด็กน้อยอันนั้น แต่ก็ยังโชดดีที่ตัวเขาดันมีพรที่สามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่ดิโอน่าจะสื่อผ่านตัวอักษรได้

“ไม่อยากเชื่อว่าฉันต้องมาใช้พรศักดิ์สิทธิ์กับแค่การดูแผนที่แบบนี้”

เขาอ่านมันอีกครั้งหลังบ่นพึมพำ และคราวนี้ดูเหมือนมันจะได้ผล

“ดูเหมือนยัยนั่นจะเตือนมาว่าระวังหลงด้วยน่ะ”

“หลงทางงั้นเหรอคะ เมืองนี้มันก็ใหญ่จริงๆ แต่ถึงขั้นที่กิลด์มาสเตอร์ต้องเตือนด้วยเหรอคะ?”

“เห็นบอกว่าแต่ก่อนที่นี่เคยเป็นภูเขาน่ะ เพราะงั้นจึงเป็นเมืองที่มีการแบ่งเป็นชั้นทั้งหมดสี่ชั้น ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ชั้นสองของเมืองเป็นเขตอยู่อาศัยปกติ ถ้าลงไปชั้นหนึ่งจะเป็นเขตชนชั้นแรงงาน ถ้าขึ้นไปที่ชั้นสามจะเป็นชั้นขุนนาง และชั้นบนสุดจะเป็นพระราชวัง”

“คล้ายกับป่าเอลฟ์เลยนะคะ”

“คล้ายเหรอ?”

“ค่ะ ป่าเอลฟ์น่ะยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งเป็นอาณาเขตของพวกขุนนาง และจุดที่ลึกที่สุดก็จะเป็นวังขององค์ราชินี”

ทัตสึยะพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะคิดประมาณว่าเพิ่งเคยได้ยินเลยเฮะ

“ยังไงพวกเราก็รีบกันเถอะ ฉันดันมีลางสังหรณ์ว่าการไปพบองค์กษัตริย์ครั้งนี้จะไม่จบลงง่ายๆ”

แม้จะแอบสงสัยในคำพูดของทัตสึยะ แต่สเปียร์ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม เธอตอบรับอย่างเข้าใจพร้อมแบกกระเป๋าสัมภาระของตัวเองตามหลังทัตสึยะไป

ระหว่างทางกำลังเดินไป ทัตสึยะก็ยิ่งรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ทำเอาตัวเขาที่คิดมาตลอดว่าโลกใบนี้ยังอยู่ในยุคกลางรู้สึกผิดจนอยากก้มหัวขอโทษ

ทั้งบ้านเรือนที่เริ่มมีการซ้อนกันหลายชั้นจนคล้ายกับตึก และตามริมถนนก็เต็มไปด้วยแสงสีดูสะดุดตา แม้บนหลังคาจะถูกปกคลุมด้วยหิมะที่เพิ่งตก แต่ก็มิอาจปิดปังรูปทรงกันแปลกตานั้นได้

หลังจากได้เดินไปตามท้องถนนของเมืองแห่งนี้มันก็ยิ่งย้ำเตือนคำถามที่ว่าทำไมมิเนเรียถึงกล้าประกาศสงครามกับประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าขนาดนี้

“มีอะไรรึเปล่าคะ เห็นมองนู่นมองนี่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

คงเพราะตื่นเต้นไปหน่อย จึงเผลอทำตัวกระดี๊กระด๊าเกินไป พอรู้ตัวเขาก็กระแอมหนึ่งครั้งเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่ทำลงไป

“จะว่าไงดี มันดูเจริญหูเจริญตาดีน่ะ”

“งั้นเหรอคะ”

เธอเอียงคอสงสัยพลางทำหน้าฉงน ราวกับว่าในหัวกำลังนำภาพของเมืองอื่นมาเทียบกัน แม้สุดท้ายมันจะล้มเหลวก็ตาม

“ฉันไม่ค่อยมีเซนส์กับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ เพราะงั้นเลยแยกไม่ค่อยออก ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

“ช่างเถอะ อย่าสนใจเลย ตอนนี้ตัวฉันก็คงไม่ต่างจากไอ้พวกบ้านนอกที่เพิ่งเข้าเมืองนั่นแหละ”

ทั้งสองนั่งรถม้าไปจนถึงชั้นสามของเมือง จากนั้นจึงนำจดหมายแนะนำให้กองทหารยามได้ดู หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นเรื่องงาน เพราะนอกจากจะถูกต้อนรับอย่างดีแล้ว ยังได้รับเชิญให้ขึ้นรถม้าสุดหรูแบบพวกขุนนางอีกต่างหาก

“ดูเหมือนฉันจะประเมินประเทศนี้ต่ำไปจริงๆ นั้นแหละ ถ้ารู้แบบนี้ฉันคงโชว์จดหมายแนะนำนี้ตั้งแต่ลงจากรถไฟแล้วล่ะ”

“นั่นสินะคะ พวกทหารเองก็ทำงานกันไวสุดๆ เลย”

พอสเปียร์พูดแบบนั้น ทัตสึยะก็ชำเลืองมองนายทหารที่กำลังควบรถม้าอยู่

เขาสวมเกราะสีเงินอมฟ้าดูทรงพลัง หมวกเกราะปกปิดใบหน้า ผ้าคลุมสีแดงสดทรงสง่า และที่ดูจะเด่นไม่แพ้กันคือผ้าฝืนเล็กๆ ที่คลุมเกราะไหล่อยู่ ดูแล้วคงจะเป็นเครื่องแสดงยศหรืออะไรเทือกนั้น

“ขนาดคนที่มาขับรถม้าให้พวกเรายังเป็นอัศวินชั้นสูงเลยนี่ ไม่แปลกใจเลยถ้าพวกนี้มันจะเดินเข้าไปส่งพวกเราถึงหน้าบัลลังก์”

และก็เป็นไปตามนั้น หลังจากพูดลอยเช่นนั้นพวกทัตสึยะก็มาถึงหน้าของพระราชวังอีเดน และนายอัศวินที่ควบรถม้าก็เดินลงมาเพื่อนำทาง

แม้ตัวเมืองจะบรรยากาศต่างจากยุคกลางนิดหน่อย แต่เมื่อก้าวเข้ามาในวังแห่งนี้มันกลับให้ความรู้สึกแทบไม่ต่างจากปราสาทของมิเนเรียเลยแม้แต่น้อย

“อุตส่าห์คาดหวังไว้เยอะแท้ๆ”

ทัตสึยะแสดงสีหน้าคล้ายผิดหวังหลังได้เดินเข้ามาในปราสาท เพราะทั้งการตกแต่งหรือแม้แต่จากจัดวางต่างๆ มันราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ตั้งแต่ที่สร้างเสร็จ

เขาทั้งสองต่างเดินตามคุณอัศวินผ้าคลุมแดงไปจนถึงด้านในสุดซึ่งเป็นที่ตั้งของประตูไม้ซึ่งถูกแกะสลักอย่างสวยงาม ทันใดนั้นเมื่ออัศวินสองนายที่ยืนอยู่หน้าประตูมองเห็นพวกเขา จึงไม่รอช้ารีบเปิดประตูบานใหญ่นั้นแทบจะในทันที

ห้องด้านหลังประตูคือโถงขนาดใหญ่ พื้นนั้นทำจากหินอ่อนที่ถูดขัดจนเงาวับ และพรมสีแดงเลือดที่ทองยาวตั้งแต่ทางเข้าไปจนถึงด้านในสุด และที่ตรงนั้นก็คือบัลลังก์ทรงสง่าที่แค่มองก็ยังรู้ว่าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคนคนเดียว

ได้ยินเสียงหายใจไม่เป็นจังหวะของสเปียร์ เธอคงประหม่ามาน้อยเมื่อก้าวเข้ามาในห้องนี้ กลับกัน เพราะเป็นผู้กล้ามามากกว่าสามเดือน ทัตสึยะนั้นแทบจะชินชากับการเดินเข้าห้องบัลลังก์แบบนี้ และก็เป็นไปตามคาดเพราะตลอดทางเดินสองฝั่งนั้นเต็มไปด้วยเหล่าทหารในชุดเกราะที่ยืนเรียงกันเป็นระเบียบ

และภายใต้การถูกจับจ้องนั้น มีดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังแผ่แรงกดดันออกมาตั้งแต่ที่ประตูถูกเปิดออก

“เป็นเจ้าเองงั้นรึ”

เจ้าของเสียงพูดอันหนักอึ้งนั้นคือชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เหล็ก ดวงตาที่กำลังจับจ้อง หากเป็นเพียงประชาชนคนธรรมดาก็อาจจะล้มหมดสติตั้งแต่ได้ฟังคำพูดนั้นไปแล้ว แต่เพราะไม่ใช่ ทัตสึยะจึงยืนประจันหน้ากับแรงกดดันนั้นอย่างปกติ

เส้นผมสีทองอ่อนๆ ใบหน้าอ่อนเยาว์ สวมชุดผ้าหรูหราหลายชั้น ดวงตาสีฟ้าครามดูสว่างไสว ร่างกายกำยำและพกดาบประจำตัวไว้ข้างกาย ดูเผินๆ เขาอาจจะดูเป็นชายวัยยี่สิบปลายๆ แต่แท้จริงแล้วตัวเลขอายุเกินหลักสี่ไปนานแล้ว

เมื่อมาถึงที่หน้าบัลลังก์ สเปียร์ก็เตรียมที่จะก้มหัว แต่ก็ถูกทัตสึยะห้ามเอาไว้เสียก่อน

“ไม่ต้องหรอก พวกเราไม่จำเป็นต้องก้มหัว”

พอได้ยินเช่นนั้นก็ทำเอาสเปียร์เบิกตากว้างและหันมองทัตสึยะอย่างฉงน แม้อากาศจะหนาวจนริมฝีปากแห้งแตก แต่กลับมองเห็นเหงื่อหยดเล็กๆ ที่กำลังไหลหยด

“นี่เจ้า——”

คุณอัศวินที่เป็นคนนำทางพวกทัตสึยะมาเกือบจะชักดาบ แต่ก็ถูกห้ามเอาไว้โดยองค์กษัตริย์เอง

“ไม่ต้อง อย่างที่เขาพูด หากนับกันจริงๆ ตัวตนของเขาก็อาจจะอยู่เหนือกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ”

องค์กษัตริย์กล่าวเช่นนั้นอย่างใจเย็น ก่อนจะยกมือผสานกันไว้บนตัก

“ข้าได้รับรู้เรื่องราวของเจ้ามาบ้างแล้ว แต่ยังไงก็ช่วยแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งจะได้หรือไม่?”

พอได้เห็นว่าลูกไม้ของตัวเองนั้นได้ผล ทัตสึยะก็ยกยิ้มอยู่ในใจ

“อาซากิริ ทัตสึยะ ผู้ถูกขนานนามว่าเป็นผู้กล้าของยุคนี้”

เขารู้ดีว่าถ้าก้มหัวลง สถานะของเขาก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ครั้งนี้จึงลองเสี่ยง และก็เป็นไปตามนั้น มองเห็นถึงความกังวลเล็กๆ ที่ปรากฏบนใบของชายผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์

องค์ราชาที่รู้เพียงแค่ว่าทัตสึยะคือผู้กล้าที่ปราบมังกรได้ ไม่สามารถมั่นใจในพลังทั้งหมดที่ทัตสึยะมี และจุดนั้นแหละที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรอง

หลังได้ยินเช่นนั้นองค์ราชาจึงชำเลืองมองสเปียร์ที่กำลังตัวสั่นอยู่ข้างๆ

“แล้วเอลฟ์สาวนางนั้นล่ะ ช่วยเอ่ยนามของเจ้าด้วยจะได้หรือเปล่า”

“สะ สเปียร์ วอเด็น เป็นเพียงนักผจญภัยค่ะ”

เธอกล่าวออกมาเช่นนั้นอย่างหวั่นๆ ดูแล้วคงจะกำลังอดทนกับแรงกดดันรอบข้างอยู่อย่างสุดกำลัง

“วอเด็น…งั้นรึ เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหน…”

“ผมนำหัวของมังกรมาส่งให้ท่านด้วย ถ้าไม่ว่าอะไรจะให้ผมนำมันออกมาเลยไหม?”

พูดจบทัตสึยะก็หยิบทุกเก็บซากมอนสเตอร์ขึ้นมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงซุบซิบเล็กๆ ดังมาจากที่ไหนสักแห่งในห้อง

“โอ้ว~ข้าเองก็อยากเห็นเช่นกัน”

“อะแฮ่ม”

ได้ยินเสียงกะแทกคอดังขึ้นหยุดความคิดนั้นขององค์ราชาเอาไว้

“จะทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน ตอนนี้ท่านยังไม่ได้กล่าวแนะนำตัวกับแขกและนะเพคะ”

หลังได้ยินคำกล่าวนั้นทัตสึยะเองก็เพิ่งจะสังเกตเห็นหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล เธอก้าวออกมาด้านหน้า เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามดุอ่อนเยาว์

เธอคนนั้นสวมชุดเดรสสีขาวเข้ากับผิวที่เรียบเนียน ดวงตาสีน้ำเงินตัดกับสีผมสีขาวบริสุทธิ์ รูปร่างเองก็อยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐาน

“จริงด้วย ต้องขออภัยจริงๆ ที่เกือบเสียมารยาท”

เมื่อได้ยินที่หญิงนางนั้นกล่าว องค์ราชาจึงลุกขึ้นพร้อมกล่าวแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

“ข้าคือองค์กษัตริย์แห่งอาณาจักรอีเดน เฮอเมท ไซเรน เอเลอเฮม”

แม้ตอนที่คุยกับทัตสึยะจะดูเหมือนคนปกติ แต่พอถึงคราวที่ต้องเอ่ยนามของตน เขากับแสดงพลังที่สมกับอำนาจออกมาได้ผ่านเสียงนั้น

“ธุระของข้าที่มีกับเจ้าในวันนี้นั้นมีเพียงอย่างเดียว”

เสียงประกาศกร้าวนั้นดังสนั่นทั่วห้องโถง เขาจ้องมองดวงตาสีแดงของทัตสึยะ ก่อนจะกล่าวสิ่งที่ต้องการจะพูด

“ตัวเจ้า ใช่ศัตรูของข้าหรือไม่”

สายตาที่จับจ้องมา และน้ำเสียงอันทรงพลัง กดดันให้ทัตสึยะพูดความจริง

ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเวทมนตร์ หรือแม้แต่นักบวชของกิลด์มาค่อยจับผิดคำโกหก แต่มันก็ราวกับว่าดวงตาคู่นั้นสามารถมองทะลุไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ

เสียงสุดหายใจของทัตสึยะดึงขึ้นเบาๆ แทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำหลังได้ฟังคำถาม เขาจ้องกับไปและไม่คิดจะหลบตากับชายผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้น

“ผมให้คำตอบไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ”

“โอ้~ขอฟังเหตุได้หรือเปล่า”

“เป้าหมายหลักของผมคือการกลับไปยังสถานที่ที่ผมจากมา และตัดสินใจไปแล้วว่าหลังจากนี้จะสร้างผลกระทบต่อโลกใบนี้ให้น้อยที่สุด หากการตัดสินใจของคุณมันขัดขวางเป้าหมายของผม ทางเลือกที่จะเกิดหลังเจรจาล้มเหลวคือคมดาบที่หันเข้าใส่อาณาจักรแห่งนี้”

ทัตสึยะพูดออกไปด้วยสีหน้าปราศจากซึ่งความลังเล ในแววตานั้นแน่วแน่ไร้สิ่งเจือปน

“เป็นคำตอบที่น่าสนใจดีนี่ ข้าชักจะถูกใจแล้วสิ”

องค์ราชาลุกขึ้นจากบัลลังก์ ก่อนจะเดินลงมาที่เบื้องหน้าของทัตสึยะ

“ข้ามีข้อเสนอ คิดว่ามันน่าจะส่งผลดีกับทั้งสองฝ่าย”

“?”

“ข้าจะมอบยศขุนนางให้กับเจ้า เพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวในอาณาจักรนี้ได้อย่างสะดวก แลกกับการที่พวกเราสามารถใช้ชื่อของเจ้าในการข่มขู่และเริ่มการเจรจาสงบศึกกับมิเนเรียอีกครั้ง”

“แบบนั้นก็ไม่ต่างจากการดึงไปเป็นพวกเลยนี่”

“ไม่ปฏิเสธ แต่สำหรับเจ้าที่ไร้ยศถา ชาติกำเนิดก็ไม่มี การได้ข้อมูลยืนยันตัวเองแบบนี้น่าจะสะดวกกว่าถูกไหม?”

“ที่คุณพูดมามันก็ถูก แต่สิ่งที่ผมอยากได้จากคุณจริงๆ ก็คือแห่งข้อมูลที่คุณซื้อมาจากมิเนเรียต่างหาก”

“โอ้~ไหนว่าต่อสิ”

“ผมรู้นะว่าตอนที่มิเนเรียขายของในวัง ส่วนใหญ่ที่ซื้อไปเป็นคนของคุณใช่ไหมล่ะ”

มองเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าขององค์กษัตริย์

“ก็เป็นอย่างที่เจ้าว่า ของพวกนั้นส่วนใหญ่อยู่กับข้า”

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset