เสียงหอบหายใจของเด็กหนุ่มดังขึ้นเป็นระยะ ลมหายใจสีขาวถูกพ่นออกมาถี่จนดูเหมือนควันที่พวยพุ่งจากกาน้ำร้อน
เกราะแขนซ้ายของสเปียร์สลายไปทันทีที่เธอล้มลง คลื่นละอองสีม่วงใสล่องลอยไปในอากาศ ขณะเดียวกันดวงตาของเธอก็กลับมาเป็นสีเขียวมรกต
“ดูเหมือนจะจบแล้วนะคะ”
ทัตสึยะจ้องมองร่างของสัตว์ร้ายที่ล้มลงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผ่อนไหล่ลงด้วยความสบายใจ เสียงถอนหายใจของทั้งสองสอดประสานอย่างพร้อมเพียง
“ดูเหมือนโพชั่นของฉันจะใกล้หมดแล้วด้วยสิ พวกเรารีบกลับไปที่หมู่——”
ชั่ววินาทีที่คิดว่าโล่งอก แรงกดดันอันหนักอึ้งก็กดทับทั้งสองอย่างไม่ทันตั้งตัว
ตึก——ตึก——
เสียงของโลหะตกกระทบคล้ายกับเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่เบื้องหลัง
สัมผัสแปลกประหลาดสะกดร่างทั้งสองจนแทบหยุดหายใจ ความชื้นจากสายฝนที่เพิ่งหยุดถูกเปลี่ยนเป็นความหนาวเย็นในชั่วพริบตา เสียงสายลมที่พัดใบไม้ก็หยุดลงอย่างกระทันหัน
ทัตสึยะที่เหงื่อตกรู้ดีว่าเคยรู้สึกแบบนี้ที่ไหน
“แหม่ๆ ไม่คิดเลยนะว่าทำได้ดีกว่าที่คิดไว้ซะขนาดนี้ คงต้องมองใหม่แล้วสินะ”
ทั้งสัมผัสประหลาดนั้น และความรู้สึกราวกับถูกจับจ้อง ไหนจะน้ำเสียงที่คาดเดาจุดประสงค์ไม่ได้นั้นอีก
เด็กหนุ่มกำบาร์เกสต์โหมดธนูที่ยังลุกโชนด้วยเพลิงสีม่วงไว้แน่น เขารวบรวมแรงที่เหลืออยู่หันไปยังทิศทางของเสียง
ลอยยิ้มชวนพิศวงพลันปรากฏอยู่บนใบหน้าที่ถูกบดบังด้วยหมวกใบใหญ่
เพราะหมวกทรงสูงใบใหญ่ นอกจากรอยยิ้มบนหน้าส่วนล่างก็มองไม่เห็นแม้แต่ดวงตา
ภายใต้ชุดคลุมสีดำน้อยชิ้นคือผิวสีขาวราวไข่มุก
แม้จะปิดบังจุดสำคัญ แต่ก็ยังโชว์เนื้อหนัง ไม้เท้าที่ใช้เองก็หน้าตาประหลาด
ด้วยรูปร่างนั้นคงสะกดชายหนุ่มที่เห็นให้มองกันตาไม่กระพริบเป็นแน่
แต่ว่าไม่ใช่แค่นั้น ความรู้สึกชวนหลงใหลที่แผ่ออกมาจากสตรีตรงหน้านั้นมากเกินไป มากเสียจนรับรู้ได้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา——เวทมนตร์สเน่ห์
ทัตสึยะกัดริมฝีปากจนเลือดไหลออกมา เขารู้ดีว่าถ้าหากไม่ทำอะไรมีหวังได้ถูกสะกดด้วยมนตร์แน่
“เธอคือคนที่พูดกับฉันในตรอกสินะ”
เด็กหนุ่มที่พยายามคุมสติเอาไว้ถามออกไปเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ฉันเองก็มีเรื่องที่อยากรู้เหมือนกัน คงต้องขอให้อยู่คุยกันก่อนล่ะนะ”
ไม้เท้าสีม่วงที่ส่วนปลายคล้ายดาบนั้นถูกชี้ปลายเข้าหาทัตสึยะ ชั่ววินาทีนั้นเวทมนตร์จึงถูกใช้ แม้จะไม่มีคำร่ายแต่ก็ยังถือว่าเร็วมากอยู่ดี เธอแทบจะไม่ต้องคิดเลยเสียด้วยซ้ำ
ไม่ทันได้รู้สึกตัว เมื่อทัตสึยะก้มมองมือของตัวเองที่เคยเปื้อนเลือด ตอนนี้มันกลับไร้รอยแผล บนร่างเองก็ปราศจากรอยช้ำ เรี่ยวแรงเองก็กลับมา เขาขมวดคิ้วแน่นพลางเลื่อนสายตาไปยังผู้หญิงตรงหน้า
“ต้องการอะไรกันแน่”
“ก็บอกแล้วไงว่ามีเรื่องที่อยากรู้”
เด็กหนุ่มไม่ปักใจเชื่อ เขายังคงจ้องมองผู้หญิงคนนั้นด้วยแววตาหวาดระแวง เขาหันสายตามองสเปียร์ที่ยังคงหอบหายใจอยู่ก่อนจะหันกลับมายังจุดเดิม
“รักษาแค่ฉันคนเดียวงั้นเหรอ”
“ถ้าแม่หนูนั่นลุกขึ้นมามันจะยุ่งยากนี่ แล้วเวลาปกติไม่มีผู้ชายคนไหนเขาออกเดตกับผู้หญิงพร้อมกันสองคนหรอกนะ”
“ออกเดตเหรอ ใช้คำได้หน้าสนใจดีนี่”
ขณะที่ชวนคุยทัตสึยะก็กวาดสายตาไปรอบๆ เขามองพื้นที่ด้านหลังผู้หญิงคนนั้นเพื่อดูว่ามีคนอื่นอยู่รึเปล่า แต่ก็ไม่พบใคร พร้อมกันนั้นก็ใช้เนตรแห่งความจริงตรวจสอบพลังเวทและคทาที่เธอคนนั้นถืออยู่
“มองไม่เห็นอีกแล้ว…ดาบศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ”
เขาพูดออกมาอย่างหวั่นๆ หลังเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมตัวเองถึงใช้เนตรแห่งความจริงกับของบางอย่างไม่ได้
“ถูกต้องแล้วล่ะ ดูเหมือนจะรู้แล้วสินะ ดวงตานั้นจะถูกปิดกั้นด้วยพลังของมังกร หรือก็คือมองทะลุอะไรก็ตามที่มีพลังของมังกรไม่ได้ และแน่นอน นี่คือหนึ่งในเจ็ดดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ตีขึ้นจากกระดูกของมังกรแห่งต้นกำเนิด ขื่อของมันคือ คลาวดิอุส”
สิ้นคำพูดนั้นด้ามคทาก็หดสั้นลง ขณะเดียวกันคบดาบกลับยาวขึ้น เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่มันควรจะเป็น
“ดาบศักดิ์สิทธิ์ แบบเดียวกับดูแรนดัล?”
แม้ตัวเองจะเคยถือครองหนึ่งในดาบศักดิ์สิทธิ์ดูแรนดัล แต่ตัวเขากลับไม่ได้รู้ถึงพลังที่ดาบเหล่านั้นซ่อนเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
“อะไรกัน ไม่เคยเห็นเล่มอื่นนอกจากดูแรนดัลเลยเหรอ? เป็นผู้กล้าที่ถูกปิดหูปิดตามากกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย”
แม้ทั่วร่างจะปล่อยแรงกดดันมหาศารออกมาแต่กลับพูดได้หน้าตาเฉย แถมยังไม่มีท่าทีจะต่อสู้อีกด้วย
“ฉันเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เป็นตำนานของบ้านเกิด ที่ว่าผู้กล้าใช้ดาบเจ็ดเล่มแทนสุดยอดดาบของตัวเองที่หักไปเพื่อปราบจอมมาร”
สเปียร์ที่ยังคงประครองสติไว้ได้ หันมองดาบสีม่วงดำเล่มนั้นก่อนจะพูดออกมาอย่างหมดแรง
“ดาบเจ็ดเล่มนั้น เป็นของผู้กล้าหมดเลยงั้นเหรอ”
“ก็อย่างที่แม้หนูเอลฟ์คนนั้นพูดนั้นแหละ ถึงวิธีการเก็บข้อมูลของเอลฟ์จะไร้ประสิทธิภาพ แต่ก็ถือว่าใช้ได้”
หลังจากร่างกายเริ่มปรับตัวกับแรงกดดันที่ผู้หญิงคนนั้นปล่อยออกมาได้ ทัตสึยะเปลี่ยนมือที่ถือบาร์เกสต์ไปไว้ข้างขวา
“แล้วธุระที่ว่าล่ะคืออะไร”
จากนั้นคันธนูที่ลุกไหม้ด้วยเพลิงสีม่วงก็เปลี่ยนรูปเป็นดาบมือเดียว
“แหมๆ วิธีปฏิบัติต่ออิสตรีของเธอนี่ช่างคล้ายกับเขาผู้นั้นเสียจริง”
คิ้วของทัตสึยะขมวดแน่นจนแทบจะติดกัน เขามองดูลอยยิ้มปราศจากความรื่นรมย์นั้นพร้อมครุ่นคิดถึงสิ่งที่เธอพูดออกมา
“เขาผู้นั้น พูดถึงใครมิทราบ”
“ฮะๆ ทั้งที่ดูระวังตัวแท้ๆ แต่กลับไม่รู้ตัวเลยสินะ”
“ยัยนี่พูดอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วน่ะ?”
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรรู้อยู่แล้ว ขืนฉันหลุดปากพูดไปมากกว่านี้จะโดนโกรธเอา”
เธอหยุดบทสนทนาก่อนจะค่อยๆ เดินตรงเข้าหาทัตสึยะ
“เอาล่ะ ขอดูฝีมือหน่อยละกัน”
สิ้นเสียงก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ จากนั้นร่างเข้าเธอก็พุงตรงเข้าใส่ทัตสึยะอย่างรวดเร็ว
แม้ตัวเขาจะมีดวงตาที่มองโลกให้ช้าลงได้ แต่กลับมองการเคลื่อนไหวของเธอคนนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“ระ เร็ว”
“รู้รึเปล่า บนโลกใบนี้น่ะมีคนที่ร่ายเวทสองบทได้พร้อมกันอยู่ และถึงจะหายากแต่ก็มีคนที่ร่ายได้สามบทเช่นกัน”
ขณะที่รับดาบเธอก็พูดบางอย่างราวกับจะดึงความสนใจจากเขา แม้เขาจะรู้ถึงเรื่องนั้นดี ทว่ากลับไม่สามารถสลัดความสนใจไปจากคำพูดเหล่านั้นได้เลย
“ตอนที่ร่ายเวทรักษาให้เธอ ตอนนั้นฉันร่ายเวทอีกสี่อย่างไปด้วย”
“?!”
ทัตสึยะแทบหยุดชะงักหลังได้ยินคำพูดเช่นนั้น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ทันทีที่รับรู้เช่นนั้นเขาก็สลัดการโจมตีทั้งหมดออกก่อนจะกระโจนออกมาเพื่อตั้งหลัก
“อะไรกัน ไม่คิดจะเชื่อเลยงั้นเหรอ?”
“ถ้าเธอร่ายเวทได้ห้าบทพร้อมๆ กันได้จริง แล้วจะมาบอกฉันทำไม”
เธอยิ้มรับอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะตอบกลับคำถามนั้นอย่างใจเย็น
“เพราะถึงบอกไปมันก็ไม่ทำให้เสียเปรียบไงล่ะ”
“เธอเป็นใครกันแน่”
“นั้นสินะ ตอนนี้ก็มีงานอดิเรกเป็นการดูแลเด็กอยู่ คงจะตอบว่าพี่เลี้ยงได้ไม่เต็มปาก”
“แล้วเป้าหมายล่ะ”
“แหมๆ คิดจะรีดข้อมูลกันงั้นเหรอ”
เท้าทั้งสองข้างทั้งที่สวมส้นสูงปลายแหลม แต่กลับเคลื่อนไหวได้เหนือกว่าความเป็นจริง เธอขยับเท้าราวกับไม่ไม่เคยแตะพื้น ดาบในมือเองก็เช่นนั้น แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูใหญ่และมีน้ำหนัก แต่เธอกลับใช้มันราวกลับเป็นดาบเล็กที่ไร้น้ำหนัก
“ขอโทษที่คงตอบให้ทั้งหมดไม่ได้”
เธอพุ่งเข้าหาอย่างกะทันหัน ชุดคลุมที่ดำบิดพลิวอย่างสวยงาม แม้มองภายนอกอาจจะดูเกะกะตอนใช้ดาบ แต่เพราะท่วงท่าวิชาดาบอันงดงามของเธอมันจึงไม่ใช่ปัญหาที่จะร่ายรำกระบวนท่าโดยไม่สะดุดชุดของตัวเอง
“เป็นอะไรไปความเร็วตกลงไปรึเปล่า?”
เธอไล่ต้อนทัตสึยะอย่างง่ายด้าย ขณะที่ทัตสึยะเริ่มเหงื่อออกและหายใจอย่างผิดจังหวะ แต่เธอคนนั้นกลับไม่มีท่าทีที่เปลี่ยนไปเลย
ถึงจะเห็นว่าทัตสึยะดูช้าแบบนั้น แต่อันที่จริงเขาเป็นใช้กลไกของเกราะแขนและขาเพื่อเรียกใช้เวทไลน์นิ่งบูสไปนานแล้ว
“นี่ รู้รึเปล่าว่าไอ้องค์กรค้าขายที่เธอพบมันเข้ามีความเกี่ยวข้องยังไงกับเจ้าตัวที่พวกเธอเพิ่งจัดการไป”
“ไหนว่าจะไม่หลุดข้อมูลไม่ใช่รึไง”
“เรื่องนี้พูดได้น่ะ เพราะยังไงเธอก็ต้องรู้อยู่แล้ว”
บาร์เกสต์ถูกปัดออก เมื่อไร้การป้องกันแม่มดสาวจึงไม่รอช้า เธอกระหน่ำแทงด้วยปลายดาบซ้ำที่กลางลำตัวของทัตสึยะ
“หื้ม?”
ตึง!
ทันทีที่กระบวนท่าหยุดลงทัตสึยะก็กระเด็นออกไป แต่ผิดคาด เพราะคมดาบของเธอมิอาจเจาะทะลุชุดเกราะสีเงินที่ทัตสึยะสวมอยู่ได้แม้แต่นิด
“ศิลาเวทเหรอ? ไม่สิ ถึงขนาดหยุดการโจมตีของดาบศักดิ์สิทธิ์ได้นี่มันไม่ปกติแล้วมั้ง”
ทัตสึยะพยุงร่างตัวเองไม่ให้ล้ม เขาจับที่เกราะส่วนหน้าอกพร้อมหอบหายใจ
“ตอนแรกก็คิดว่าจะแทงสักแผลสองแผลแล้วค่อยรักษาให้ทีหลัง แต่ดูเหมือนจะประเมินเธอต่ำไปหน่อยหนึ่งนะ”
“ประเมินต่ำไปงั้นหรอ”
แม้เธอจะพูดออกมาเช่นนั้น แต่บนจุดที่แทงเข้ามายังเห็นรอยจางๆ บนเกราะอยู่เลย แถมแรงกระแทกบนเกราะที่ควรจะถูกดูดซับจนหมดกลับทะลวงผ่านเกราะมาได้อีก
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสูดลมหายใจของทัตสึยะ
“สเปียร์!”
“หื้ม?”
ทันทีที่ตะโกนออกมาเช่นนั้นหญิงสาวเผ่าเอลฟ์ก็พุ่งกระโจนออกมาจากทางด้านหลัง เธอกำดาบสีดำแน่นหวังจะซุ่มโจมตีโดยไม่ให้อีกฝ่ายนั้นตั้งตัว
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เองสินะ”
“!!?”
ดาบของสเปียร์ถูกหยุดก่อนเข้าถึงตัวอีกฝ่าย แม้แต่ร่างของเธอก็ยังหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
บางสิ่งที่คล้ายเถาวัลย์สีแดงเข้มผูกมัดร่างของเอลฟ์สาวไว้จนมิอาจขัดขืน
“จงใจเคลื่อนที่ช้าลงเพื่อจะแอบเอาโพชั่นไปให้แม่หนูเอลฟ์สินะ ก็ถือว่าเป็นแผนที่ไม่เลว”
“คุณต้องการอะไรกันแน่ คิดแค่จะเล่นสนุกหรือไงคะ”
สเปียร์ขบฟันแน่น พร้อมกันนั้นพลังใหม่ที่เพิ่งได้รับก็ตอบสนอง เถาวัลย์สีแดงถูกฉีกกระชาก เอลฟ์สาวดิ้นหลุดจากพันธนาการ
“โอ๊ะ”
“ฮ่า!”
สเปียร์ฟาดฟันดาบเล่มให้อย่างสุดแรง ถึงกระนั้นแม่มดสาวกลับรับได้ของเธอโดยไม่ต้องใช้สองมือ
“อย่างนี้นี่เอง เอลฟ์ที่มีพรสินะ พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ”
เธอตวัดดาบศักดิ์สิทธิ์ในมือก่อนจะใช้มือซ้ายควบคุมของเหลวสีแดงที่กองเต็มพื้น มันคือสิ่งที่หลงเหลือจากเถาวัลย์สีแดงก่อนหน้า
“อะไรน่ะ ละ เลือดเหรอ!”
ของเหลวสีแดงเข้มก่อตัวกันก่อนจะผูกมันร่างของสเปียร์ขยับไม่ได้อีกครั้ง
“ขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์ คราวนี้ต่อให้ใช้พรของเธอก็ดิ้นไม่หลุดหรอก”
เป็นอย่างที่เธอคนนั้นพูด แม้จะดิ้นแรงเท่าไหร่ร่างกายก็ไม่มีท่าทีจะขยับ สเปียร์ทำได้เพียงขบฟันแน่นอย่างเจ็บใจ
“เอาล่ะกลับมาที่ธุระของพวกเราดีกว่า”
เธอหันกลับมามองทัตสึยะด้วยดวงตายากจะคาดเดาจุดประสงค์
“รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้เธอน่ะอ่อนแอแค่ไหน ลำพังพลังแค่นั้นน่ะเป็นผู้กล้าจริงๆ ไม่ได้หรอก”
“พูดอะไรอยู่มิทราบ”
“ถึงพลังของแม่หนูคนนั้นจะตื่นเร็วไปหน่อยก็เถอะ แต่มันก็ยังไม่พอจะช่วยโลกหรอกนะ”
“พูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจ”
“หึๆ”
เธอยกยิ้มดูเจ้าเล่ห์ก่อนจะเปลี่ยนดาบในมือให้กลายเป็นคทาดังเดิม
“ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ โชคชะตาของเธอมันก็ถูกเขียนไว้ก่อนแล้ว”
แม้จะฟังดูเห็นแก่ตัว หากมองจากมุมของทัตสึยะ แต่มันก็น่าขบคิดเช่นกัน
“โชคชะตา? ถูกเขียน?”
เธอไม่ได้พูดตอบโต้อะไร ทำเพียงแค่ส่งยิ้มชวนขนลุกมาให้ก็เท่านั้น ทันใดนั้นภาพของเธอก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่กลางอกมันก็รู้สึกร้อนผ่าวอย่างกะทันหัน
ทัตสึยะก้มมองที่อกของตัวเองอันเป็นที่มาของความรู้สึกประหลาด
“อะไรน่ะ”
มือขวาของเธอคนนั้นทะลุเข้าไปที่กลางอกแม้จะสวมเกราะอยู่ ดวงตาของทัตสึยะเบิกโพลง เสียงหัวใจเองก็ดังจนได้ยินชัด
พอเริ่มตั้งสติได้เขาก็รีบกระโจนถอยหลังอย่างลนลาน เสียงหอบหายใจดังขึ้นอย่างไม่เป็นจังหวะ มือซ้ายสัมผัสไปยังบริเวณที่คิดว่าถูกมือนั้นแทงจนทะลุ แต่มันกลับไม่ปรากฏร่องรอยใดๆ
พอเกิดคำถามเขาก็รีบมองไปยังที่มือขวาของผู้หญิงคนนั้น และบนนั้นก็ปรากฏวัตถุประหลาดสีทองอยู่
“เมื่อกี้เธอทำอะไรลงไป แล้วนั้นมันอะไร”
“หืม นี่น่ะเหรอ”
เธอยกเจ้าสิ่งนั้นขึ้นในระดับสายตา ทัตสึยะจึงไม่รอช้ารีบใช้พรของเขาตรวจสอบมันแทบจะในทันที แต่ก็เป็นเช่นเดิม เขามองไม่เห็นอะไร
รูปทรงของมันคล้ายกับหมากรุกที่สร้างจากโลหะ แสงจางๆ ที่เปล่งออกมาน่าจะเป็นพลังเวท
“อุปกรณ์ที่สร้างขึ้นจากเศษกระดูกของมังกร เป็นของที่เอาไว้ใช้ระบุตำแหน่งของเธอไง”
“ระบุตำแหน่ง นี่จะบอกว่าตลอดมาฉันถูกฝังเจ้านั่นเอาไว้มาตลอดเลยงั้นเหรอ”
“ก็ใช่”
เธอตอบกลับเช่นนั้นอย่างง่ายๆ ก่อนจะขยี้เจ้าสิ่งนั้นจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยมือเปล่าๆ
“วางใจเถอะ ยังไงซะก็ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวที่ถูกฝังเจ้านั้นล่ะนะ”
คิ้วซ้ายของทัตสึยะกระตุกเล็กน้อยหลังได้ยินคำพูดดังกล่าว
“หรือว่านอกจากฉันยังมีคนอื่นที่ถูกอัญเชิญมางั้นเหรอ”
แม่มดสาวแสดงสีหน้าดูประหลาดใจหลังได้ยินคำพูดนั้นจากปากของทัตสึยะ
“หืม? นี่รู้อยู่แล้วงั้นเหรอ”
ทัตสึยะที่ยังคงหวาดระแวงบุคคลตรงหน้านั้นได้แต่กัดฟัน เพราะตัวเขาไม่รู้เลยว่าผู้หญิงที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นพูดความจริงแค่ไหน แม้แต่คำตอบของคำถามต่อไปมันอาจจะเป็นคำโกหกก็ได้
“มันเกี่ยวอะไรกับที่ฉันเป็นผู้กล้าคนที่สี่งั้นสินะ”
“เอ๋~รู้เยอะกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย เอาเถอะยังไงมันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่”
พอได้ยินคำพูดลอยๆ นั้นมันก็ยิ่งทำให้ความสงสัยที่มีนั้นขยายใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังไม่ทันได้คำตอบใดๆ เธอคนนั้นยกไม้คทาขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อยก่อนจะใช้ส่วนปลายเคาะเบาๆ ยังจุดเดิมที่เพิ่งยกขึ้นมา
ราวกับได้ยินเสียงฝนที่หยดลงมา เมื่อหันหน้าขึ้นมองก็พบกับเมฆดำที่ก่อตัวกันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“จะบอกอะไรดีๆ ให้ละกัน สมุดปกแดงที่เธอตาหาน่ะ มีอยู่ที่สถาบันแกรนโนอาหลายเล่มเลยล่ะ ระดับเธอคงไม่ยากเกินไปหรอกใช่ไหมที่จะไปที่นั่น”
ทัตสึยะเลื่อนสายตากลับมายังจุดเดิมหลังเห็นเมฆฝน เพียงแต่ร่างของเธอคนนั้นกลับเลือนหายไปเสียแล้ว
“หะ หายไปแล้ว”
แม้จะดูคล้ายฝนธรรมดา แต่มันกลับแตกต่าง ทุกครั้งที่หยดน้ำตกกระทบร่างกาย มันราวกับรู้สึกสดชื่น ร่องรอยบาดแผลหรือแม้แต่ลอยไหม้บนชุดก็หายไป
หลุมที่เกิดจากการต่อสู้ค่อยๆ มีต้นอ่อนเล็กๆ งอกออกมา
ทัตสึยะใช้มือสัมผัสที่เกราะส่วนอก ไม่เหลือแม้แต่รอยที่ถูกแทง
“ยัยนั้นเป็นใครกันแน่…”