ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อยตอนที่22 แม่มดแห่งโลหิต

ตอนที่22 แม่มดแห่งโลหิต

เสียงหอบหายใจของเด็กหนุ่มดังขึ้นเป็นระยะ ลมหายใจสีขาวถูกพ่นออกมาถี่จนดูเหมือนควันที่พวยพุ่งจากกาน้ำร้อน

เกราะแขนซ้ายของสเปียร์สลายไปทันทีที่เธอล้มลง คลื่นละอองสีม่วงใสล่องลอยไปในอากาศ ขณะเดียวกันดวงตาของเธอก็กลับมาเป็นสีเขียวมรกต

“ดูเหมือนจะจบแล้วนะคะ”

ทัตสึยะจ้องมองร่างของสัตว์ร้ายที่ล้มลงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผ่อนไหล่ลงด้วยความสบายใจ เสียงถอนหายใจของทั้งสองสอดประสานอย่างพร้อมเพียง

“ดูเหมือนโพชั่นของฉันจะใกล้หมดแล้วด้วยสิ พวกเรารีบกลับไปที่หมู่——”

ชั่ววินาทีที่คิดว่าโล่งอก แรงกดดันอันหนักอึ้งก็กดทับทั้งสองอย่างไม่ทันตั้งตัว

ตึก——ตึก——

เสียงของโลหะตกกระทบคล้ายกับเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่เบื้องหลัง

สัมผัสแปลกประหลาดสะกดร่างทั้งสองจนแทบหยุดหายใจ ความชื้นจากสายฝนที่เพิ่งหยุดถูกเปลี่ยนเป็นความหนาวเย็นในชั่วพริบตา เสียงสายลมที่พัดใบไม้ก็หยุดลงอย่างกระทันหัน 

ทัตสึยะที่เหงื่อตกรู้ดีว่าเคยรู้สึกแบบนี้ที่ไหน

“แหม่ๆ ไม่คิดเลยนะว่าทำได้ดีกว่าที่คิดไว้ซะขนาดนี้ คงต้องมองใหม่แล้วสินะ”

ทั้งสัมผัสประหลาดนั้น และความรู้สึกราวกับถูกจับจ้อง ไหนจะน้ำเสียงที่คาดเดาจุดประสงค์ไม่ได้นั้นอีก

เด็กหนุ่มกำบาร์เกสต์โหมดธนูที่ยังลุกโชนด้วยเพลิงสีม่วงไว้แน่น เขารวบรวมแรงที่เหลืออยู่หันไปยังทิศทางของเสียง

ลอยยิ้มชวนพิศวงพลันปรากฏอยู่บนใบหน้าที่ถูกบดบังด้วยหมวกใบใหญ่

เพราะหมวกทรงสูงใบใหญ่ นอกจากรอยยิ้มบนหน้าส่วนล่างก็มองไม่เห็นแม้แต่ดวงตา

ภายใต้ชุดคลุมสีดำน้อยชิ้นคือผิวสีขาวราวไข่มุก

แม้จะปิดบังจุดสำคัญ แต่ก็ยังโชว์เนื้อหนัง ไม้เท้าที่ใช้เองก็หน้าตาประหลาด 

ด้วยรูปร่างนั้นคงสะกดชายหนุ่มที่เห็นให้มองกันตาไม่กระพริบเป็นแน่

แต่ว่าไม่ใช่แค่นั้น ความรู้สึกชวนหลงใหลที่แผ่ออกมาจากสตรีตรงหน้านั้นมากเกินไป มากเสียจนรับรู้ได้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา——เวทมนตร์สเน่ห์

ทัตสึยะกัดริมฝีปากจนเลือดไหลออกมา เขารู้ดีว่าถ้าหากไม่ทำอะไรมีหวังได้ถูกสะกดด้วยมนตร์แน่

“เธอคือคนที่พูดกับฉันในตรอกสินะ”

เด็กหนุ่มที่พยายามคุมสติเอาไว้ถามออกไปเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

“ฉันเองก็มีเรื่องที่อยากรู้เหมือนกัน คงต้องขอให้อยู่คุยกันก่อนล่ะนะ”

ไม้เท้าสีม่วงที่ส่วนปลายคล้ายดาบนั้นถูกชี้ปลายเข้าหาทัตสึยะ ชั่ววินาทีนั้นเวทมนตร์จึงถูกใช้ แม้จะไม่มีคำร่ายแต่ก็ยังถือว่าเร็วมากอยู่ดี เธอแทบจะไม่ต้องคิดเลยเสียด้วยซ้ำ

ไม่ทันได้รู้สึกตัว เมื่อทัตสึยะก้มมองมือของตัวเองที่เคยเปื้อนเลือด ตอนนี้มันกลับไร้รอยแผล บนร่างเองก็ปราศจากรอยช้ำ เรี่ยวแรงเองก็กลับมา เขาขมวดคิ้วแน่นพลางเลื่อนสายตาไปยังผู้หญิงตรงหน้า

“ต้องการอะไรกันแน่”

“ก็บอกแล้วไงว่ามีเรื่องที่อยากรู้”

เด็กหนุ่มไม่ปักใจเชื่อ เขายังคงจ้องมองผู้หญิงคนนั้นด้วยแววตาหวาดระแวง เขาหันสายตามองสเปียร์ที่ยังคงหอบหายใจอยู่ก่อนจะหันกลับมายังจุดเดิม

“รักษาแค่ฉันคนเดียวงั้นเหรอ”

“ถ้าแม่หนูนั่นลุกขึ้นมามันจะยุ่งยากนี่ แล้วเวลาปกติไม่มีผู้ชายคนไหนเขาออกเดตกับผู้หญิงพร้อมกันสองคนหรอกนะ”

“ออกเดตเหรอ ใช้คำได้หน้าสนใจดีนี่”

ขณะที่ชวนคุยทัตสึยะก็กวาดสายตาไปรอบๆ เขามองพื้นที่ด้านหลังผู้หญิงคนนั้นเพื่อดูว่ามีคนอื่นอยู่รึเปล่า แต่ก็ไม่พบใคร พร้อมกันนั้นก็ใช้เนตรแห่งความจริงตรวจสอบพลังเวทและคทาที่เธอคนนั้นถืออยู่

“มองไม่เห็นอีกแล้ว…ดาบศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ”

เขาพูดออกมาอย่างหวั่นๆ หลังเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมตัวเองถึงใช้เนตรแห่งความจริงกับของบางอย่างไม่ได้

“ถูกต้องแล้วล่ะ ดูเหมือนจะรู้แล้วสินะ ดวงตานั้นจะถูกปิดกั้นด้วยพลังของมังกร หรือก็คือมองทะลุอะไรก็ตามที่มีพลังของมังกรไม่ได้ และแน่นอน นี่คือหนึ่งในเจ็ดดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ตีขึ้นจากกระดูกของมังกรแห่งต้นกำเนิด ขื่อของมันคือ คลาวดิอุส”

สิ้นคำพูดนั้นด้ามคทาก็หดสั้นลง ขณะเดียวกันคบดาบกลับยาวขึ้น เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่มันควรจะเป็น

“ดาบศักดิ์สิทธิ์ แบบเดียวกับดูแรนดัล?”

แม้ตัวเองจะเคยถือครองหนึ่งในดาบศักดิ์สิทธิ์ดูแรนดัล แต่ตัวเขากลับไม่ได้รู้ถึงพลังที่ดาบเหล่านั้นซ่อนเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

“อะไรกัน ไม่เคยเห็นเล่มอื่นนอกจากดูแรนดัลเลยเหรอ? เป็นผู้กล้าที่ถูกปิดหูปิดตามากกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย”

แม้ทั่วร่างจะปล่อยแรงกดดันมหาศารออกมาแต่กลับพูดได้หน้าตาเฉย แถมยังไม่มีท่าทีจะต่อสู้อีกด้วย

“ฉันเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เป็นตำนานของบ้านเกิด ที่ว่าผู้กล้าใช้ดาบเจ็ดเล่มแทนสุดยอดดาบของตัวเองที่หักไปเพื่อปราบจอมมาร”

สเปียร์ที่ยังคงประครองสติไว้ได้ หันมองดาบสีม่วงดำเล่มนั้นก่อนจะพูดออกมาอย่างหมดแรง

“ดาบเจ็ดเล่มนั้น เป็นของผู้กล้าหมดเลยงั้นเหรอ”

“ก็อย่างที่แม้หนูเอลฟ์คนนั้นพูดนั้นแหละ ถึงวิธีการเก็บข้อมูลของเอลฟ์จะไร้ประสิทธิภาพ แต่ก็ถือว่าใช้ได้”

หลังจากร่างกายเริ่มปรับตัวกับแรงกดดันที่ผู้หญิงคนนั้นปล่อยออกมาได้ ทัตสึยะเปลี่ยนมือที่ถือบาร์เกสต์ไปไว้ข้างขวา

“แล้วธุระที่ว่าล่ะคืออะไร”

จากนั้นคันธนูที่ลุกไหม้ด้วยเพลิงสีม่วงก็เปลี่ยนรูปเป็นดาบมือเดียว

“แหมๆ วิธีปฏิบัติต่ออิสตรีของเธอนี่ช่างคล้ายกับเขาผู้นั้นเสียจริง”

คิ้วของทัตสึยะขมวดแน่นจนแทบจะติดกัน เขามองดูลอยยิ้มปราศจากความรื่นรมย์นั้นพร้อมครุ่นคิดถึงสิ่งที่เธอพูดออกมา

“เขาผู้นั้น พูดถึงใครมิทราบ”

“ฮะๆ ทั้งที่ดูระวังตัวแท้ๆ แต่กลับไม่รู้ตัวเลยสินะ”

“ยัยนี่พูดอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วน่ะ?”

“ช่างเถอะ ช่างเถอะ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรรู้อยู่แล้ว ขืนฉันหลุดปากพูดไปมากกว่านี้จะโดนโกรธเอา”

เธอหยุดบทสนทนาก่อนจะค่อยๆ เดินตรงเข้าหาทัตสึยะ

“เอาล่ะ ขอดูฝีมือหน่อยละกัน”

สิ้นเสียงก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ จากนั้นร่างเข้าเธอก็พุงตรงเข้าใส่ทัตสึยะอย่างรวดเร็ว

แม้ตัวเขาจะมีดวงตาที่มองโลกให้ช้าลงได้ แต่กลับมองการเคลื่อนไหวของเธอคนนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“ระ เร็ว”

“รู้รึเปล่า บนโลกใบนี้น่ะมีคนที่ร่ายเวทสองบทได้พร้อมกันอยู่ และถึงจะหายากแต่ก็มีคนที่ร่ายได้สามบทเช่นกัน”

ขณะที่รับดาบเธอก็พูดบางอย่างราวกับจะดึงความสนใจจากเขา แม้เขาจะรู้ถึงเรื่องนั้นดี ทว่ากลับไม่สามารถสลัดความสนใจไปจากคำพูดเหล่านั้นได้เลย

“ตอนที่ร่ายเวทรักษาให้เธอ ตอนนั้นฉันร่ายเวทอีกสี่อย่างไปด้วย”

“?!”

ทัตสึยะแทบหยุดชะงักหลังได้ยินคำพูดเช่นนั้น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ทันทีที่รับรู้เช่นนั้นเขาก็สลัดการโจมตีทั้งหมดออกก่อนจะกระโจนออกมาเพื่อตั้งหลัก

“อะไรกัน ไม่คิดจะเชื่อเลยงั้นเหรอ?”

“ถ้าเธอร่ายเวทได้ห้าบทพร้อมๆ กันได้จริง แล้วจะมาบอกฉันทำไม”

เธอยิ้มรับอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะตอบกลับคำถามนั้นอย่างใจเย็น

“เพราะถึงบอกไปมันก็ไม่ทำให้เสียเปรียบไงล่ะ”

“เธอเป็นใครกันแน่”

“นั้นสินะ ตอนนี้ก็มีงานอดิเรกเป็นการดูแลเด็กอยู่ คงจะตอบว่าพี่เลี้ยงได้ไม่เต็มปาก”

“แล้วเป้าหมายล่ะ”

“แหมๆ คิดจะรีดข้อมูลกันงั้นเหรอ”

เท้าทั้งสองข้างทั้งที่สวมส้นสูงปลายแหลม แต่กลับเคลื่อนไหวได้เหนือกว่าความเป็นจริง เธอขยับเท้าราวกับไม่ไม่เคยแตะพื้น ดาบในมือเองก็เช่นนั้น แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูใหญ่และมีน้ำหนัก แต่เธอกลับใช้มันราวกลับเป็นดาบเล็กที่ไร้น้ำหนัก

“ขอโทษที่คงตอบให้ทั้งหมดไม่ได้”

เธอพุ่งเข้าหาอย่างกะทันหัน ชุดคลุมที่ดำบิดพลิวอย่างสวยงาม แม้มองภายนอกอาจจะดูเกะกะตอนใช้ดาบ แต่เพราะท่วงท่าวิชาดาบอันงดงามของเธอมันจึงไม่ใช่ปัญหาที่จะร่ายรำกระบวนท่าโดยไม่สะดุดชุดของตัวเอง

“เป็นอะไรไปความเร็วตกลงไปรึเปล่า?”

เธอไล่ต้อนทัตสึยะอย่างง่ายด้าย ขณะที่ทัตสึยะเริ่มเหงื่อออกและหายใจอย่างผิดจังหวะ แต่เธอคนนั้นกลับไม่มีท่าทีที่เปลี่ยนไปเลย

ถึงจะเห็นว่าทัตสึยะดูช้าแบบนั้น แต่อันที่จริงเขาเป็นใช้กลไกของเกราะแขนและขาเพื่อเรียกใช้เวทไลน์นิ่งบูสไปนานแล้ว

“นี่ รู้รึเปล่าว่าไอ้องค์กรค้าขายที่เธอพบมันเข้ามีความเกี่ยวข้องยังไงกับเจ้าตัวที่พวกเธอเพิ่งจัดการไป”

“ไหนว่าจะไม่หลุดข้อมูลไม่ใช่รึไง”

“เรื่องนี้พูดได้น่ะ เพราะยังไงเธอก็ต้องรู้อยู่แล้ว”

บาร์เกสต์ถูกปัดออก เมื่อไร้การป้องกันแม่มดสาวจึงไม่รอช้า เธอกระหน่ำแทงด้วยปลายดาบซ้ำที่กลางลำตัวของทัตสึยะ

“หื้ม?”

ตึง!

ทันทีที่กระบวนท่าหยุดลงทัตสึยะก็กระเด็นออกไป แต่ผิดคาด เพราะคมดาบของเธอมิอาจเจาะทะลุชุดเกราะสีเงินที่ทัตสึยะสวมอยู่ได้แม้แต่นิด

“ศิลาเวทเหรอ? ไม่สิ ถึงขนาดหยุดการโจมตีของดาบศักดิ์สิทธิ์ได้นี่มันไม่ปกติแล้วมั้ง”

ทัตสึยะพยุงร่างตัวเองไม่ให้ล้ม เขาจับที่เกราะส่วนหน้าอกพร้อมหอบหายใจ

“ตอนแรกก็คิดว่าจะแทงสักแผลสองแผลแล้วค่อยรักษาให้ทีหลัง แต่ดูเหมือนจะประเมินเธอต่ำไปหน่อยหนึ่งนะ”

“ประเมินต่ำไปงั้นหรอ”

แม้เธอจะพูดออกมาเช่นนั้น แต่บนจุดที่แทงเข้ามายังเห็นรอยจางๆ บนเกราะอยู่เลย แถมแรงกระแทกบนเกราะที่ควรจะถูกดูดซับจนหมดกลับทะลวงผ่านเกราะมาได้อีก

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสูดลมหายใจของทัตสึยะ

“สเปียร์!”

“หื้ม?”

ทันทีที่ตะโกนออกมาเช่นนั้นหญิงสาวเผ่าเอลฟ์ก็พุ่งกระโจนออกมาจากทางด้านหลัง เธอกำดาบสีดำแน่นหวังจะซุ่มโจมตีโดยไม่ให้อีกฝ่ายนั้นตั้งตัว

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เองสินะ”

“!!?”

ดาบของสเปียร์ถูกหยุดก่อนเข้าถึงตัวอีกฝ่าย แม้แต่ร่างของเธอก็ยังหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ

บางสิ่งที่คล้ายเถาวัลย์สีแดงเข้มผูกมัดร่างของเอลฟ์สาวไว้จนมิอาจขัดขืน

“จงใจเคลื่อนที่ช้าลงเพื่อจะแอบเอาโพชั่นไปให้แม่หนูเอลฟ์สินะ ก็ถือว่าเป็นแผนที่ไม่เลว”

“คุณต้องการอะไรกันแน่ คิดแค่จะเล่นสนุกหรือไงคะ”

สเปียร์ขบฟันแน่น พร้อมกันนั้นพลังใหม่ที่เพิ่งได้รับก็ตอบสนอง เถาวัลย์สีแดงถูกฉีกกระชาก เอลฟ์สาวดิ้นหลุดจากพันธนาการ

“โอ๊ะ”

“ฮ่า!”

สเปียร์ฟาดฟันดาบเล่มให้อย่างสุดแรง ถึงกระนั้นแม่มดสาวกลับรับได้ของเธอโดยไม่ต้องใช้สองมือ

“อย่างนี้นี่เอง เอลฟ์ที่มีพรสินะ พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ”

เธอตวัดดาบศักดิ์สิทธิ์ในมือก่อนจะใช้มือซ้ายควบคุมของเหลวสีแดงที่กองเต็มพื้น มันคือสิ่งที่หลงเหลือจากเถาวัลย์สีแดงก่อนหน้า

“อะไรน่ะ ละ เลือดเหรอ!”

ของเหลวสีแดงเข้มก่อตัวกันก่อนจะผูกมันร่างของสเปียร์ขยับไม่ได้อีกครั้ง

“ขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์ คราวนี้ต่อให้ใช้พรของเธอก็ดิ้นไม่หลุดหรอก”

เป็นอย่างที่เธอคนนั้นพูด แม้จะดิ้นแรงเท่าไหร่ร่างกายก็ไม่มีท่าทีจะขยับ สเปียร์ทำได้เพียงขบฟันแน่นอย่างเจ็บใจ

“เอาล่ะกลับมาที่ธุระของพวกเราดีกว่า”

เธอหันกลับมามองทัตสึยะด้วยดวงตายากจะคาดเดาจุดประสงค์

“รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้เธอน่ะอ่อนแอแค่ไหน ลำพังพลังแค่นั้นน่ะเป็นผู้กล้าจริงๆ ไม่ได้หรอก”

“พูดอะไรอยู่มิทราบ”

“ถึงพลังของแม่หนูคนนั้นจะตื่นเร็วไปหน่อยก็เถอะ แต่มันก็ยังไม่พอจะช่วยโลกหรอกนะ”

“พูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจ”

“หึๆ”

เธอยกยิ้มดูเจ้าเล่ห์ก่อนจะเปลี่ยนดาบในมือให้กลายเป็นคทาดังเดิม

“ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ โชคชะตาของเธอมันก็ถูกเขียนไว้ก่อนแล้ว”

แม้จะฟังดูเห็นแก่ตัว หากมองจากมุมของทัตสึยะ แต่มันก็น่าขบคิดเช่นกัน

“โชคชะตา? ถูกเขียน?”

เธอไม่ได้พูดตอบโต้อะไร ทำเพียงแค่ส่งยิ้มชวนขนลุกมาให้ก็เท่านั้น ทันใดนั้นภาพของเธอก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่กลางอกมันก็รู้สึกร้อนผ่าวอย่างกะทันหัน

ทัตสึยะก้มมองที่อกของตัวเองอันเป็นที่มาของความรู้สึกประหลาด

“อะไรน่ะ”

มือขวาของเธอคนนั้นทะลุเข้าไปที่กลางอกแม้จะสวมเกราะอยู่ ดวงตาของทัตสึยะเบิกโพลง เสียงหัวใจเองก็ดังจนได้ยินชัด

พอเริ่มตั้งสติได้เขาก็รีบกระโจนถอยหลังอย่างลนลาน เสียงหอบหายใจดังขึ้นอย่างไม่เป็นจังหวะ มือซ้ายสัมผัสไปยังบริเวณที่คิดว่าถูกมือนั้นแทงจนทะลุ แต่มันกลับไม่ปรากฏร่องรอยใดๆ

พอเกิดคำถามเขาก็รีบมองไปยังที่มือขวาของผู้หญิงคนนั้น และบนนั้นก็ปรากฏวัตถุประหลาดสีทองอยู่

“เมื่อกี้เธอทำอะไรลงไป แล้วนั้นมันอะไร”

“หืม นี่น่ะเหรอ”

เธอยกเจ้าสิ่งนั้นขึ้นในระดับสายตา ทัตสึยะจึงไม่รอช้ารีบใช้พรของเขาตรวจสอบมันแทบจะในทันที แต่ก็เป็นเช่นเดิม เขามองไม่เห็นอะไร

รูปทรงของมันคล้ายกับหมากรุกที่สร้างจากโลหะ แสงจางๆ ที่เปล่งออกมาน่าจะเป็นพลังเวท

“อุปกรณ์ที่สร้างขึ้นจากเศษกระดูกของมังกร เป็นของที่เอาไว้ใช้ระบุตำแหน่งของเธอไง”

“ระบุตำแหน่ง นี่จะบอกว่าตลอดมาฉันถูกฝังเจ้านั่นเอาไว้มาตลอดเลยงั้นเหรอ”

“ก็ใช่”

เธอตอบกลับเช่นนั้นอย่างง่ายๆ ก่อนจะขยี้เจ้าสิ่งนั้นจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยมือเปล่าๆ

“วางใจเถอะ ยังไงซะก็ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวที่ถูกฝังเจ้านั้นล่ะนะ”

คิ้วซ้ายของทัตสึยะกระตุกเล็กน้อยหลังได้ยินคำพูดดังกล่าว

“หรือว่านอกจากฉันยังมีคนอื่นที่ถูกอัญเชิญมางั้นเหรอ”

แม่มดสาวแสดงสีหน้าดูประหลาดใจหลังได้ยินคำพูดนั้นจากปากของทัตสึยะ

“หืม? นี่รู้อยู่แล้วงั้นเหรอ”

ทัตสึยะที่ยังคงหวาดระแวงบุคคลตรงหน้านั้นได้แต่กัดฟัน เพราะตัวเขาไม่รู้เลยว่าผู้หญิงที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นพูดความจริงแค่ไหน แม้แต่คำตอบของคำถามต่อไปมันอาจจะเป็นคำโกหกก็ได้

“มันเกี่ยวอะไรกับที่ฉันเป็นผู้กล้าคนที่สี่งั้นสินะ”

“เอ๋~รู้เยอะกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย เอาเถอะยังไงมันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่”

พอได้ยินคำพูดลอยๆ นั้นมันก็ยิ่งทำให้ความสงสัยที่มีนั้นขยายใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังไม่ทันได้คำตอบใดๆ เธอคนนั้นยกไม้คทาขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อยก่อนจะใช้ส่วนปลายเคาะเบาๆ ยังจุดเดิมที่เพิ่งยกขึ้นมา

ราวกับได้ยินเสียงฝนที่หยดลงมา เมื่อหันหน้าขึ้นมองก็พบกับเมฆดำที่ก่อตัวกันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

“จะบอกอะไรดีๆ ให้ละกัน สมุดปกแดงที่เธอตาหาน่ะ มีอยู่ที่สถาบันแกรนโนอาหลายเล่มเลยล่ะ ระดับเธอคงไม่ยากเกินไปหรอกใช่ไหมที่จะไปที่นั่น”

ทัตสึยะเลื่อนสายตากลับมายังจุดเดิมหลังเห็นเมฆฝน เพียงแต่ร่างของเธอคนนั้นกลับเลือนหายไปเสียแล้ว

“หะ หายไปแล้ว”

แม้จะดูคล้ายฝนธรรมดา แต่มันกลับแตกต่าง ทุกครั้งที่หยดน้ำตกกระทบร่างกาย มันราวกับรู้สึกสดชื่น ร่องรอยบาดแผลหรือแม้แต่ลอยไหม้บนชุดก็หายไป

หลุมที่เกิดจากการต่อสู้ค่อยๆ มีต้นอ่อนเล็กๆ งอกออกมา

ทัตสึยะใช้มือสัมผัสที่เกราะส่วนอก ไม่เหลือแม้แต่รอยที่ถูกแทง

“ยัยนั้นเป็นใครกันแน่…”

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset