ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อยตอนที่20 ป่าน่าสงสัย

ตอนที่20 ป่าน่าสงสัย

“ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ”

สเปียร์กล่าวขอบคุณชายชราก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกมาเธอมองซ้ายขวาก่อนจะพบทัตสึยะที่กำลังก้มมองอะไรบางอย่างอยู่

“กำลังดูอะไรอยู่เหรอคะ?”

เอลฟ์สาวกล่าวถามด้วยความสงสัย

“รอยเท้าน่ะ”

“รอยเท้า?”

เธอเอียงสงสัยก่อนจะชำเลืองมองไปยังร่องรอยที่อยู่บนพื้น

“ได้ข้อมูลมาเยอะรึเปล่า”

ทัตสึยะลุกขึ้นก่อนจะถามกลับเช่นนั้น

“ค่ะ ถึงที่บอกว่าเป็นอาร์คกริฟฟอนจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่อย่างน้อยก็คงไม่ใช่ระดับกลางอย่างอ๊อคหรือลิซาร์ดแมนที่ชอบย้ายถิ่น”

“ลิซาร์ดแมนนี่ตัดทิ้งไปเลยเพราะพวกมันเป็นสัตว์เลือดเย็น อยู่ในเขตหนาวแบบนี้ไม่ได้หรอก”

“จริงๆ แล้วฉันเองก็แอบสงสัยพวกลิชลอร์ดเหมือนกันนะคะ เห็นว่าถ้าปล่อยมันไว้นานๆ มันจะสะสมความแค้นแล้วว่ากันว่ามันสามารถทำลายเมืองได้ทั้งเมืองเลย”

“อัลเดดเหรอ? นั้นสินะ ถ้าเป็นผู้บงการความตายก็คงตอบได้ล่ะนะว่าทำไมในป่าถึงไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิต”

“คุณทัตสึยะตรวจสอบมาแล้วเหรอคะ?”

“เปล่า แค่มองด้วยตาเปล่าน่ะ บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับวันที่ฉันไปตรวจสอบเขตพักอาศัยนอกประตูเมืองฝั่งตะวันตกก็ได้”

ทั้งสองแลกเปลี่ยนข้อสงสัยขณะที่เริ่มเดินเข้าไปในเขตป่า และมันก็เป็นอย่างที่ทัตสึยะพูดเอาไว้ “ไม่มีสิ่งมีชีวิต”

พอยิ่งเข้าใกล้ทัตสึยะยิ่งรู้สึกถึงลางร้าย บรรยากาศในป่ามันคล้ายกับตอนที่เจ้านั่นปรากฏตัว

“ถึงจะเป็นข้อมูลปากเปล่า แต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นมังกร ยังไงก็ระวังตัวด้วย”

“มังกร…”

พอได้ยินชื่อของสัตว์ที่น่าจะสูญพันธุ์ไปแล้วจากปากของทัตสึยะ สเปียร์ก็เงียบนิ่ง

“ไม่ต้องรีบปักใจเชื่อก็ได้ แต่ถ้าเป็นมังกรขึ้นมาจริงๆ ฉันคงต้องขอให้ยกเลิกภารกิจล่ะนะ”

คำพูดของทัตสึยะทำให้สเปียร์เริ่มระวังตัวมากขึ้น

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดคำถามหลังทัตสึยะพูดคำว่ามังกร เพราะรายงานการพบเห็นมังกรในโลกใบนี้มันมีครั้งสุดท้ายเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน ว่ากันตามบันทึกการเดินทางของผู้กล้าที่เขียนขึ้นหลังสงครามใหญ่จบลง มันได้เขียนเอาไว้ว่าท่านผู้กล้าเมื่อสองร้อยปีก่อนได้กวาดล้างเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่ามังกรจนหมดสิ้น ส่วนสาเหตุนั้นยังคงคลุมเคลือ

ทัตสึยะเองก็สงสัยว่าทำไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นด้วย การกำจัดนักล่าสูงสุดบนห่วงโซ่อาหารมันจะไม่ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศงั้นหรือ เว้นซะแต่ว่าพวกมันไม่ได้อยู่ในระบบนิเวณเสียแต่แรก

ในป่ารกทึบนั้นประกอบไปด้วยต้นไม้ที่คล้ายกับต้นโอ๊กเป็นส่วนมาก จะบอกว่ามันคือป่าโอ๊กก็คงไม่ผิด เพียงแต่ที่แตกต่างคือขนาด ลำต้นมันหนาและสูงกว่าที่โลกเดิมของทัตสึยะอยู่มาก

“ถึงฉันจะตกใจกับเรื่องมังกรที่คุณพูดก็จริง แต่ปกติแล้วในป่ามันก็น่าจะเหลือสัตว์อื่นๆ อยู่บ้าง แต่นี่เงียบกริบจนน่าขนลุกเลย”

สเปียร์กล่าวออกมาหลังได้เห็นสภาพป่าที่เงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมลงเสียด้วยซ้ำ

“ทางฉันเองก็ตกใจเหมือนกันนั้นแหละ”

ถึงต้นไม้ในป่าจะดูปกติ แต่บรรยากาศเงียบสงัดกลับชวนให้ขนลุกอย่างไม่น่าเชื่อ

“ฉันก็ลองใช้พรของตัวเองตรวจสอบดูในป่าดูคร่าวๆ แล้ว นอกจากมวลพลังเวทที่อยู่ที่นี่จะหนาแน่นกว่าข้างนอกก็มีเรื่องของสิ่งมีชีวิตนี่แหละที่แปลก”

ทัตสึยะหยุดมองลมหายใจที่เปลี่ยนเป็นสีขาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ถูกต้นไม้บดบัง

เขาใช้ดวงตาสีแดงจ้องทะลุใบไม้ที่กีดขวางก่อนจะพบว่าเหนือป่าที่พวกเขาอยู่นั้นมีเมฆดำที่เริ่มก่อตัว

ทันใดนั้น

“หยดน้ำ?”

เอลฟ์สาวหลุดปากออกมาเช่นนั้นหลังมีบางอย่างหยดลงบนชุดเกราะของเธอ

คงเพราะอากาศที่อุ่นขึ้นทำให้จากที่หิมะตก กลายเป็นฝนแทน

“แย่ล่ะสิ พวกเราไม่ได้เตรียมของเอาไว้สำหรับฝนตก รีบไปหาที่หลบก่อนที่ตัวจะเปียกดีกว่า”

ทัตสึยะแอบตำหนิความผิดพลาดเล็กๆ ของตนเอง เพราะดันวางใจหลังเห็นหิมะตกมาหลายวันจึงไม่ทันฉุดคิดเรื่องอากาศที่อุ่นขึ้น

จากนั้นไม่นานฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมา ทั้งสองโชคดีที่แถวนั้นมีโพรงต้นไม้ต้นใหญ่ที่กว้างพอจะให้ทั้งสองใช้เป็นที่หลบฝนได้

“ทำไมจู่ๆ ถึงตกกันล่ะ ทั้งที่ก่อนเข้ามายังไม่มีเมฆฝนแท้ ๆ”

“นั่นสิ กระทันหันจังนะ”

ทัตสึยะกล่าวเสริมอย่างเห็นพ้องหลังเงยหน้ามองเมฆฝนที่ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน

หลังยืนมองเม็ดฝนที่ตกโดยไม่มีท่าทีจะหยุด ทัตสึยะก็สังเกตเห็นสเปียร์ที่กำลังเกร็งเพราะคำพูดของเขา

“ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ ยังไม่แน่สักหน่อยว่าเป็นมังกร”

“นะ นั่นสินะคะ”

เธอผ่อนไหล่ลงเล็กน้อย ก่อนจะเอนหลังพิงกับโพรงต้นไม้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มผ่อนคลาย ทัตสึยะก็นึกถึงเรื่องที่อยากลองถามเธอขึ้นมาได้

“ฉันมีเรื่องอยากถามเธออยู่น่ะ แต่ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร”

พอได้ยินเด็กหนุ่มเป็นคนเปิดปาดพูดก่อน เอลฟ์สาวก็ถึงกับประหลาดใจ เธอเอียงคอสงสัยก่อนจะพยักหน้ารับคำพูดนั้น

“ได้สิคะ”

“เรื่องที่อยากแต่งงานของเธอน่ะ”

“เอ๊ะ!? ทะ ทำไมถึงถามเรื่องนั้นล่ะคะ”

“ก็เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ทีอายุขัยยืนยาวนี่นา แล้วเท่าที่ดูเธอเองก็ถือว่าอายุยังน้อยถ้าเทียบเอลฟ์ด้วยกัน แล้วทำไมถึงอยากรีบหาคู่แต่งงานล่ะ”

“จริงๆ แล้วฉันไม่ใช่เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์หรอกคะ”

“เป็นลูกผสมงั้นเหรอ”

“ถึงจะไม่ค่อนแน่ใจ แต่เห็นว่าคุณพ่อเป็นมนุษย์ค่ะ”

“ไม่แน่ใจ หมายความว่าไงน่ะ ไม่ใช่ว่าเธอสนิทกับเขาเหรอ?”

“ก็ฉันไม่เคยถามนี่นา อีกอย่างท่านพ่อน่ะอายุเกินสองร้อยปีแล้ว แล้วท่านก็เพิ่งเสียไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี่เอง”

“สุดยอดเลยแหะ ใช้เวทเพิ่มอายุงั้นเหรอ?”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ท่านพ่อกับท่านแม่น่ะอยู่รวมชีวิตกันเกินร้อยปี แต่ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันทั้งๆ อยู่ด้วยกันตั้งนาน แต่ก็เพิ่งให้กำเนิดฉันหลังผ่านไปแล้วตั้งร้อยปี”

“เป็นเพราะความต่างของเผ่าพันธุ์หรือเปล่า มันอาจะทำให้มีบุตรยาก”

“เดิมทีเอลฟ์ก็ขึ้นชื่อเรื่องการมีบุตรน้อยอยู่แล้วคะ สักห้าสิบปีถึงจะมีเอลฟ์รุ่นใหม่ถือกำเนิด”

แม้จะเป็นข้อมูลที่รู้อยู่แล้ว แต่พอได้ยินจากปากเจ้าตัวแบบนี้ก็ยิ่งทำให้มันดูน่าเหลือเชื่อขึ้นไปอีก

“ตัวฉันที่เป็นแค่ลูกครึ่งไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมีอายุขัยยืนยาวแบบคนอื่นหรือเปล่า แม้ร่างกายจะไม่ต่างจากยี่สิบปีที่แล้ว แต่ก็สัมผัสได้ว่าทุกครั้งที่ครบหนึ่งปีร่างกายมันเปลี่ยนไป”

เอลฟ์สาวผู้ออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ มันช่างเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดเสียเกิบบรรยาย แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่เปลี่ยน แต่อายุขัยก็ยังคงเพิ่มขึ้น ไม่อาจรู้ได้เลยว่าตัวเองจะหมดสิ้นอายุขัยในช่วงวัยไหน

“เพราะแบบนั้นตอนที่พ่ายแพ้เป็นครั้งแรกถึงได้ฉุกคิด ว่าอาจจะถึงเวลาแล้วรึเปล่าที่จะตามหาคู่ครอง”

พอได้ฟังมันก็ยิงย้ำเตือนถึงเหตุผล พอได้ฟังแบบนั้นทัตสึยะกล่าวขอโทษสเปียร์อยู่ในใจเงียบๆ

“แล้วคุณทัตสึยะล่ะคะ สำหรับเผ่ามนุษย์ที่มีอายุขัยไม่มาก คุณคิดจะหาคู่ครองตอนอายุเท่าไหร่เหรอคะ?”

พอถูกจี้ถามเช่นนั้นทัตสึยะทำได้เพียงฝืนยิ้ม

“แฮะๆ จริงๆ แล้วฉันไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้นเลย”

เขาหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะพูดตอบออกไปเช่นนั้น

เอลฟ์สาวเบิกตาโพลงหลังได้ยินคำตอบ เธอดูจะตกใจกับคำพูดนั้นเสียจนส่งเสียงแปลกๆ ออกมา

“อะไรกัน ทั้งๆ ที่ฉันอุส่าห์คิดว่าคุณจะวางแผนอนาคตเอาไว้แล้วถึงได้ปฏิเสธฉันแท้ๆ”

“ขอโทษนะ แต่ฉันไม่ใช่คนแบบที่เธอคิดหรอก”

“แบบนี้เองสินะคะ”

“หื้ม?”

“ฉันเริ่มเข้าใจที่คุณบอกมากขึ้นแล้วคะ”

“เธอหมายถึง?”

“การทำความรู้จักไงคะ ตอนนี้ฉันรู้เรื่องของคุณเพิ่มแล้ว และคุณก็รู้เรื่องของฉันเพิ่มเช่นกันไงคะ”

สเปียร์พูดออกมาอย่างร่าเริง

เธอยิ้มอย่างไร้เดียงสา ทว่าดูเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์ พอมาลองนึกๆ ดู หญิงสาวตรงหน้าก็ช่างแตกต่างจากเอลฟ์หน้านิ่งที่เขาเจอก่อนหน้านี้มาก ถึงแม้เขาจะเป็นคนพูดเองแต่แรก แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังทั้งสองได้รู้จักถึงตัวตนของกันและกันมากขึ้นก็ชวนให้ประหลาดใจเหมือนกัน

“นั่นสินะ…”

พออยู่ต่อหน้ารอยยิ้มนั้น ทัตสึยะทำได้เพียงคลี่ยิ้มบางอย่างช่วยไม่ได้

“ตอนนั้นที่เธอพูดคำสอนจะคุณพ่อ ฉันเองก็แอบนึกถึงสิ่งครอบครัวฉันพูดบ่อยๆ เหมือนกัน”

ทัตสึยะที่ได้เห็นเอลฟ์สาวยิ้มร่าอย่างมีความสุข เขาก็หลุดพูดถึงเรื่องของโลกก่อนออกไปโดยไม่ทันได้รู้ตัว

“คุณทัตสึยะก็มีคำสอนอะไรประมาณนั้นเหรอคะ?”

“เป็นคำพูดของคุณแม่น่ะ เมื่อก่อนก็แค่ฟังผ่านหู แต่พอได้ยินเธอพูดถึงคุณพ่อแล้วก็เลยคิดได้น่ะ”

“เป็นคำสอนแบบไหนเหรอคะ?”

เธอยื่นหน้าเข้าใกล้อย่างสนใจ มองเห็นใบหูยาวๆ นั้นขยับขึ้นลงเล็กๆ ด้วย

“ถ้าเชื่อว่าทำได้ สักวันมันก็จะทำได้จริง แต่ถ้าหนี สักวันมันก็จะถึงทางตัน อะไรทำนองนั้นมั้ง ฉันเองก็จำไม่ค่อยได้แล้วสิ”

“เป็นคำที่ฟังแล้วดูมีพลังขึ้นมาเลยค่ะ”

“งั้นเหรอ…”

หลังพูดออกไปแบบนั้น ก็ราวกับมองเห็นใบหน้าที่ดูโศกเศร้ามาจากทัตสึยะ แม้ที่ผ่านมาจะไม่เคยพูด แต่การที่กลายเป็นคนแปลกหน้าของทั้งโลกก็คงจะทำให้เขาต้องเก็บความรู้สึกมากมายเอาไว้เพียงคนเดียว

“พอได้ฟังเธอพูดแบบนั้น ฉันเองก็คงต้องเริ่มคิดแล้วรึเปล่านะ เรื่องของอนาคตน่ะ”

“เอ๊~แล้วจะมีฉันอยู่ในตัวเลือกหรือเปล่าคะ?”

“เรื่องนั้นถึงจะรีบคิดก็ยังตอบไม่ได้ทันทีหรอกนะ”

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ทั้งสองสามารถเปิดอกพูดคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ทัตสึยะที่แทบจะไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาพูดกับคนของโลกฝั่งนี้กลับสามารถพูดคุยกับเธอได้อย่างอิสระ แม้จะมีบางเรื่องที่พูดออกไปไม่ได้ แต่ก็นับว่าเป็นเพียงไม่กี่คนที่พาเขาออกมาจากกรอบที่ตัวเองตั้งไว้ได้โดยไม่รู้ตัว

เมื่อเสียงของเม็ดฝนเริ่มจางลง กลิ่นแปลกๆ ก็ลอยมากับความชื้น บรรยากาศรอบข้างเริ่มสั่นไหว มองเห็นละอองแสงพลังเวทในอากาศหนาขึ้นเรื่อย ทัตสึยะที่มีท่าทีสบายๆ  กลับมาอยู่ในโหมดเตรียมตัวอีกครั้ง

เมื่อเริ่มฉุกคิดเขาก็ลุกขึ้นยืน ดวงตาสีแดงจ้องมองไปยังอีกด้านของป่าโอ๊ก

“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

เมื่อลองมองเข้าไปในป่าให้ลึกขึ้นก็พบว่ายิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไรต้นไม้มันก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และมันก็ไม่ใช่แค่ระดับความสูงปกติ มันสูงขึ้นต่างจากป่ารอบนอกจนเกินไปจนน่าสงสัย นั่นทำให้เขานึกถึงสิ่งที่เคยพูดเล่นกับไดอาน่าไว้เรื่องผลของพลังเวท

“ฉันได้ยินเสียง”

“เสียงเหรอคะ? แต่ฉันไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”

ทัตสึยะขมวดคิ้วแน่นพลางกวาดสายตามองไปทั่วป่า เขาตั้งสมาธิก่อนมองซ้ำอีกครั้งด้วยเนตรแห่งความจริงก่อนจะพบเพียงความว่างเปล่า

ทว่า เรื่องนั้นกลับเป็นเครื่องยืนยันคำตอบของเขาได้ดีที่สุด

“ดูจากมวลพลังเวทที่ไหลอยู่ในป่ารวมกับความรู้สึกนี้ คิดว่าคงเป็นมังกรไม่ผิดแน่”

“พวกเราโดนจับได้แล้วเหรอคะ”

ได้ยินเสียงสูดลมหายใจของหญิงสาวตรงหน้าหลายต่อครั้ง

“เดาจากที่ไม่เหลือสิ่งมีชีวิตในป่าแบบนั้น เจ้านั้นมันคงจมูกไวน่าดู ทันทีที่พวกเราเข้ามามันอาจจำกลิ่นของพวกเราได้แล้ว อย่างแย่ที่สุดคือพวกเรากลับไปที่กิลด์แล้วรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ ระหว่างนั้นเจ้ามังกรนั่นก็อาจจะตามกลิ่นพวกเราไป”

ทัตสึยะอธิบายไปเช่นนั้นขณะสูดลมหายใจเข้าเพื่อปรับอารมณ์

จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เมื่อรู้ตัวเจ้าของบ้านเริ่มเข้าใกล้ทั้งทัตสึยะและสเปียร์ต่างก็จับดาบประจำตัว

เสียงของต้นไม้ที่ขยับเป็นสัญญาณถึงบางสิ่งที่เข้าใกล้

ทั้งสองสบตากันก่อนจะกระโจนออกจากโพรงต้นไม้

ตูม!!

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแรงกระแทกดังขึ้นอย่างกะทันหัน

ต้นไม้ที่ถูกใช้หลบฝนถูกตบกระเด็นจนเหลือเพียงเศษซาก

เมื่อหันมามองหลังไอฝนจางลง ร่างของสัตว์ประหลาดจึงปรากฏ

รูปลักษณ์คล้ายกับตัวก่อน เดินสี่ขาลำคอยาวมีปีกคู่ใหญ่ แต่ที่ต่างคือสีของเกล็ด——ไม่สิ สิ่งนั้นมันไม่ควรจะเรียกว่าเกล็ดเสียด้วยซ้ำ มันคล้ายกับแผ่นเกราะสีดำที่ซ้อนกันหลายชั้น และที่ต่างมากที่สุดคงเป็นขนาดที่ใหญ่กว่าตัวก่อนถึงสามเท่า

แม้จะไม่มีข้อมูลที่มากพอ แต่ก็อนุมานได้ว่ามันคือมังกร

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset