ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อยตอนที่19 ออกเควส

ตอนที่19 ออกเควส

เช้าอันสดใสหลังเหตุการณ์ถูกสารภาพรัก อากาศเองก็เริ่มอุ่นขึ้น เหนือท้องฟ้าก็ปราสจากก้อนเมฆ ไม่ถึงกับไร้เมฆ แต่ก็ดูโปล่งใสกว่าปกติ

ทัตสึยะที่เตรียมพร้อมอยู่ก่อนเดินมาที่กิลด์ตั้งแต่เช้า เขายืนมองกระด้านภารกิจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเห็นว่ากระด้านคำร้องนั้นลดลงไปเยอะ

“ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่ฉันสินะที่คิดว่าวันนี้อากาศดี”

หลังจากยืนมองกระด้านภารกิจได้อยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกจากข้างหลัง

“วันนี้นายก็จะออกไปข้างนอกเหรอ?”

เสียงที่ดูร่างเริงและดูมั่นอกมั่นใจกล่าวออกมาเช่นนั้น

เมื่อหันกลับไปตามเสียงเรียกก็พบว่าเธอคือเด็กสาวร่างเล็กเส้นผมสีขาวเงินดูสะดุดตากำลังยกยิ้มและกอดอกยืนดูตรงนั้น

“เปล่าหรอก จริงๆ วันนี้ถูกขอให้ช่วยงานน่ะ ตอนนี้ก็กำลังรอคนอยู่”

หลังพูดแบบนั้นเขาก็เพิ่งสังเกตได้ว่าไดอาน่านั้นแต่งตัวด้วยชุดกันหนาวมาเต็มยศ ผิดจากบรรยากาศในเช่าวันนี้ที่ค่อนข้างอุ่นกว่าปกติ

“แล้วทางเธอล่ะ ใส่ชุดหนาเต้อแบบนั้นคงไม่ได้คิดจะไปออกเดทหรอกใช่ไหม?”

“ไม่ใช่ยะ นายนี่โดนผีเจาะปากมาพูดรึไง”

ได้ยินเสียงถอนหายใจของไดอาน่าเฮือกใหญ่ จากนั้นเธอจึงเริ่มพูดต่อ

“ฉันถูกขอให้ไปช่วยงานของกิลดิ์ที่เมืองหลวงน่ะ”

“เมื่องหลวงของอีเดนน่ะเหรอ ต้องขึ้นเหนือไปสินะ คงต้องเดินทางใกล้น่าดู”

“หึๆ เพราะว่าเป็นงานที่ได้รับมาจากกิลด์มาสเตอร์โดยตรง ฉะนั้นจึงได้ไอ้นี่มาด้วย”

เมื่อถูกถามเด็กสาวจึงยกยิ้มอย่างมั่นใจพร้อมหยิบกระดาษแปลกขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความพึ่งพอใจ

มันคือการะรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดไม่ใหญ่มาก ด้านข้างฝั่งซ้ายมีรอยปะคล้ายกับว่าสามรถฉีกออกได้ ทันทีที่เด็กหนุ่มได้เห็นเช่นนั้นเขาก็จำมันได้แทบจะในทันที ใช่แล้วเพราะมันเหมือนกับสิ่งของจากโลกของเขา

“ตั๋วรถไฟ?”

“ใช้แล้ว ตั๋วของรถจักรไอน้ำรางเวทมนตร์”

“ชื่อเห่ยเป็นบ้า”

ทันทีที่ได้ยินชื่อเต็มมันอดไม่ได้ที่จะหลุดพูดออกไปแบบนั้น

“นี่มันก็แค่เอาคำว่ารถจักรไอน้ำมารวมกับรางเวทมนตร์แบบดื้อๆ เลยไม่ใช่รึไง”

“ถึงจะเคยได้ยินชื่อมานานแล้วก็เถอะ แต่ฉันก็ไม่เคยขึ้นหรอกนะ เห็นว่ามันเร็วมาก แค่นอนหลับคืนเดียวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว”

“สุดยอดเลยนี่นา”

“หึๆ ใช่ไหมล่ะ”

“ว่าแต่จะไปทำอะไรที่เมืองหลวงล่ะ?”

“ถูกคุณดิโอน่าขอให้ช่วยน่ะ เห็นว่าทางนั้นต้องการให้พรของฉัน ก็เลยต้องไป”

ถูกต้องแล้ว เพราะนอกจากทัตสึยะแล้ว ไดอาน่าก็ถูกกิลด์มาสเตอร์รับเข้ามาอยู่ในสังกัดเช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่เธอจะถูกขอให้ช่วยงานสืบสวนที่มีผู้ร้ายปากแข็งๆ ที่แม้แต่ยาแก้โกหกก็เปิดปากพวกมันไม่ได้

“เกี่ยวกับงานสืบสวนน่ะเหรอ?”

“เห็นว่าทางนั้นเองก็มีพรคล้ายๆ ของฉันอยี่หรอก แต่เพราะมันเป็นงานใหญ่ก็เลยขาดคน ฉันก็เลยถูกข้อร้องให้ไปน่ะ”

“งานยุ่งจังเลยนะ”

“แล้วมันเป็นเพราะใครล่ะ”

ทัตสึยะได้แต่ยิ้มแห้งหลังลืมไปว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่ไดอาน่าถูกขอให้ไปนู้นมานี่มันก็เป็นเพราะตัวเขาดันไปยอมรับเงื่อนไขแปลกของดิโอน่าที่เป็นกิลด์มาสเตอร์

“ถึงจะไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ดีกว่าต้องไปนอนในคุกล่ะนะ”

ไดอาน่าเก็บตั๋วรถไฟฟรีลงกระเป๋าหลังพูดออกไปเช่นนั้นก่อนจะพึ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้ถามเลยนี่นาว่าทัตสึยะจะออกไปที่ไหน

“แล้วทางฝั่งนายล่ะ คราวนี้ถูกขอให้ไปทำอะไรอีกล่ะ”

สิ้นเสียงพูดของเด็กสาว ดูเหมือนว่าคนที่นัดทัตสึยะไว้ก็จะมาถึงแล้ว

“ขะ ขอโทษที่มาช้านะคะ”

สาวผมทองสวมเกราะสีเงินและแบกดาบเล่มใหญ่ไว้บนหลังกล่าวออกมาเช่นนั้นอย่างเหนื่อยหอบ เธอวิ่งอย่างรีบร้อนราวกับเด็กนักเรียนที่รู้ทั้งรู้ว่าสายแล้วแต่ก็ยังรีบวิ่งหน้าตั้งอย่างสุดชีวิต

เอลฟ์สาวหอบหายใจอยู่ชั่วขณะก่อนจะกลับมายืนตัวตรงได้อย่างปกติ

“เอ๊ะ?”

ไดอาน่าส่งเสียงอุทานหลังเห็นใบหน้าของเธอคนนั้น เธอหันกลับมาหาทัตสึยะด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่เพราะทัตสึยะเองก็รู้ว่าเธอนั้นต้องการจะพูดอะไรออกมา เขาจึงใช้มือแตะไหล่ของเธอเบาๆ พร้อมพยักหน้าให้หนึ่งที

“คุณคือ?”

สเปียร์เอ๋ยถามหลังได้เห็นไดอาน่า เธอเอียงคอสงสัยราวกับพยายามนึกเรื่องที่ตัวเองลืมไป

ไดอาน่าที่ถูกถามจึงรีบร้อนแนะนำตัวอย่างติดขัด

“จะ จริงด้วยตอนนั้นก็ยังไม่ได้แนะนำตัวนี่นา ฉันชื่อไดอาน่า เป็นนักผจญภัย พวกเราเคยเจอกันแล้วครั้งหนึ่งตอนที่อยู่มิเนเรีย ตอนนั้นต้องขอบคุณมากที่ช่วยฉัน ถ้าไม่ได้คุณช่วยเอาไว้ฉันอาจจะแย่กว่านี้ก็ได้”

ไดอาน่าโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อกล่าวขอบคุณ แต่ถึงจะพูดออกไปเช่นนั้นก็ดูเหมือนแม่สาวเอลฟ์คนนี้จะจำไม่ได้เสียอย่างนั้น

“งั้นหเรอคะ ถึงจะจำได้ว่าช่วยจับหัวขโมย แต่ก็จำไม่ว่าเป็นใคร ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

เธอกล่าวคำขอโทษพร้อมก้มหัว ภาพที่สองสาวต่างโค้งตัวเพื่อขอโทษทำเอาทัตสึยะแอบคิดว่านี่ใช่คนเดียวกับที่เขาเจอครั้งแรกรึเปล่า

เอลฟ์สาวสุดแกร่งที่ผู้เงียบขรึมและแผ่บรรยากาศกดดันออกมาทุกครั้งที่ปะดาบ กำลังซ้อนทับกับแม่สาวติ่งต่องที่แม้แต่นัดสำคัญยังมาสาย

“เหมือนเธอจะพูดเยอะขึ้นนะ ทั้งตอนสู้กันที่มิเนเรีย หรือแม้แต่ตอนงัดข้อ เธอดูจะสงบกว่านี้นี่นา?”

ทัตสึยะกล่าวออกไปเช่นนั้นโดยไม่ทันได้คิด เขาเพียงแค่พูดออกไปตามสิ่งที่เห็น ก่อนจะได้รับคำตอบที่สุดแสนจะน่าอายกลับมา

“กะ ก็พออยู่ใกล้คนที่ชอบมันก็รู้สึกใจเต้นจนทำตัวไม่ถูกนี่คะ”

“คะ คนที่ชอบ!”

ไดอาน่าหยุดชะงักหลังได้ยินคำพูดนั้น เธอตะลึงจนเผลอส่งเสียงแปลกๆ ออกไป 

“ระ หรือว่านัดที่ว่าของนาย คะคือเดท!”

เธอหันมองทัตสึยะสลับกับสเปียร์พลางพูดแบบนั้นออกมาอย่างติดขัดเพราะความตื่นเต้น แต่เพราะทัตสึยะรู้อยู่แล้วว่าเธออยากพูดอะไร เขาจึงกล่าวตัดบทเสียตรงนั้น

“ฉันปฏิเสธไปแล้ว แล้วนัดวันนี้ก็ไม่ใช่เดทด้วย”

“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยยอมแพ้หรอกค่ะ!”

เอลฟ์สาวตอบกลับเช่นนั้นอย่างฉับไว

ไดอาน่าที่เหมือนจะสติหลุไปแล้วไม่ทันได้ฟังคำพูดของทัตสึยะเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่เธอทำมีเพียงพึมพำเป็นภาษาประหลาดพร้อมกับรอยยิ้มดูหนักใจ

ทัตสึยะได้แต่ถอนหายใจและปล่อยไดอาน่าเอาไว้ในโลกส่วนตัวต่อไป เขาหันกลับมาทางเอลฟ์สาวก่อนจะเริ่มถามถึงรายละเอียดของภารกิจ

“แล้วรายละเอียดเควสล่ะ เธอยังไม่ได้บอกฉันเลยนะว่าจะไปทำอะไรบ้าง แล้วของที่ต้องเตรียมเป็นพิเศษล่ะมีรึเปล่า?”

เมื่อเห็นว่าตัวเองกลายเป็นตัวเกะกะไปเสียแล้ว ไดอาน่าจึงหันหลังขวับและเตรียมเดินออกไปจากสถานะการณ์สุดประหลาดนี้

“จะไปแล้วเหรอ?”

“ฉะ ฉัน มะ ไม่อยากตกรถไฟน่ะ เพราะงั้นจะขอไปก่อนเวลาสักหน่อย สะ ส่วนพวกนายก็เชิญสนุกกันให้เต็มที่เลยนะ ฉะ ฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น”

“ยังไงก็ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าไปมีเอี่ยวกับเรื่องแปลกๆ อีกล่ะ”

“นี่ถ้าจะจิกกัดกันก็พูดออกเลยสิยะ”

เด็กสาวแลบลิ้นพร้อมสบัดหน้าหนีก่อนจะรีบเดินกลับไปอย่างเสียอารมณ์

“สนิทกันจังเลยนะคะ”

“ตรงไหมมิทราบ”

หลังจากไดอาน่าเดินลับสายตาไป ทัตสึยะวกกลับมายังเนื้อหาหลักที่เขาถามไว้ก่อนหน้า

“แล้วสรุปเธอเลือกเควสแบบไหนมาล่ะ”

พอได้ยินคำถามนั้นเป็นครั้งที่สอง เธอจึงเปิดกระเป๋าเก็บของก่อนจะหยิบแผ่นกระดาษสีน้ำตาลอ่อนขึ้นมา

“เมื่อวานฉันไปคุยเรื่องการเลื่อนแรงค์กับคุณดิโอน่ามาแล้ว เห็นว่าเขาเองก็หนักใจเหมือนกันที่ไม่มีใครยอมรับภารกิจนี้ไปทำ ทีแรกเขาก็จะส่งคุณทัตสึยะไปคนเดียว แต่พอฉันตกลงจะรับการเลื่อนแรงค์เขาก็เลยยกมันให้ฉันแทน”

“สุดท้ายฉันก็ต้องไปอยู่ดีไม่ใช่เรอะ”

ทัตสึยะก้มอ่านรายละเอียดของภารกิจขณะที่ฟังสเปียร์พูดไปด้วย

“ภารกิจตรวจที่มาของความเสียหายที่เกิดขึ้นรอบๆ เมืองงั้นเหรอ เพราะบางอย่างเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าจึงทำให้มอนสเตอร์ท้องถิ่นถูกไล่ที่ ทำให้พสกมันออกมากินนอกเขตป่า เนื้อหางานคือตรวจสอบสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปอยู่ในป่า ถ้าเป็นไปได้ก็ให้กำจัดได้แล้วแต่สะดวก เพราะว่าไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นตัวอะไร จึงถูกประทับตรากะโหลกไว้สินะ”

ทัตสึยะแสดงสีหน้าราวกับครุนคิดอยู่ชั่วครู่ราวกับนึกสงสัยในเหตุการณ์ที่เขียนไว้ในกระดาษ

“เนื้อหาด้านในมันฟังดูคุ้นๆ ยังไงไม่รู้แฮะ”

“มีอะไรรึเปล่าคะ?”

“เปล่าๆ แค่กำลังคิดอยู่ว่าไอ้สถานการณ์มอนสเตอร์ออกมาหากินนอกพื้นที่แบบนี้เหมือนเคยเจอที่ไหน”

“มันก็มีมาเป็นครั้งคราวนะคะ ภารกิจแบบนี้ นานๆ ทีก็จะมีมอนสเตอร์หลงถิ่นอย่างกริฟฟอนลงมาหากินช่วงที่อาหารขาดแคล่น ไม่ก็พวกสัตว์ตัวใหญ่ๆ ที่อาจจะเหยียบอาหารของสัตว์อื่นจนกินไม่ได้”

“ก็ขอให้มันเป็นแบบนั้นละกัน ฉันก็ไม่ค่อยอยากทำอะไรที่ต้องออกแรงเยอะตอนวันหยุดด้วยสิ”

หลังจากตรวจสอบเนื้อหางานเสร็จเรียบร้อยทัตสึยะก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาเติมไปที่โซนจำหน่ายสินค้าของกิลด์พร้อมกับหยิบเหรียญสีเงินห้าเหรียญวางบนเคาน์เตอร์

“ผมขอโพชั่นระดับกลางเท่าที่เงินพวกนี้ซื้อได้ แล้วก็ขอแผนที่ป่าทางใต้ด้วย”

“รับทราบคะ จะรีบจัดเตรียมให้นะคะ”

กิลด์นักผจญภัยไม่ใช่แค่ร้านเหล่าหรือแหล่งรวมตัวของพวกว่างงาน แต่มันคือสถานที่ที่ใครๆ ก็สามารถหางานได้ และเพราะบางภารกิจอาจจะมีความอนตรายถึงแก้ชีวิต เพื่อเพิ่งอันตราการรอดชีวิตของเหล่านักผจญภัย ด้านในสิ่งปลูสร้างคล้ายร้านเหล่าแห่งนี้จึงมีศูนย์จัดนำหน่ายสินค้าจำเป็นใว้ในตัว

แม่งจะไม่ใช่ข้อบังคับ แต่งกิลด์ทุกแห่งไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็มักจะมีร้านค้าอยู่ในตัว

สเปียร์ที่เดินตามหลังมาชำเลืองมองทัตสึยะที่กำลังจัดของใส่กระเป๋าอย่างสนอกสนใจ

“ปกติเตรียมของไปเยอะแบบนี้ตลอดเลยเหรอคะ?”

“ก็ไม่เยอะขนาดนี้หรอก แต่เพราะรายละเอียงงานมันคลุมคลือก็เลยเตรียมเผื่อเอาไว้น่ะ”

เมื่อพูดจบเขาก็มองสเปียร์ใหม่อีกครั้งตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

“นี่อย่างบอกนะว่านอกจากกระดาษคำร้องแล้วเธอไม่ได้พกอะไรไปเลย”

“เอ๊ะ!? ปะเปล่านะคะคือว่า…นะนั้นไง เผ่าพันธุ์เอลฟ์น่ะมีพลังชีวิตเยอะกว่าเผ่าอื่น ถ้าไม่ใช่บาลแผลสาหัสนอนพักคืนเดี๋ยวก็หายแล้ว”

สเปียร์ยืดอกพูดอย่างมั่นใจ ในขณะที่ทัตสึยะถอนหายใจดูเหนื่อยหน่าย

“แล้วถ้าได้รับบาลเจ็บสาหัสขึ้นมาจริงๆ ล่ะ”

“อะ เออ…”

เมื่อไม่รู้ว่าจะเถียงยังไง สุดท้ายเธอก็ซื้อโพชั่นระดับกลางมาตามคำแนะนำของทัตสึยะ รวมถึงเสบียงฉุดเฉินอีกนิดหน่อย

ใช้เวลาไม่นานหลังเดินออกจากกิลด์ก็มาถึงประตูเมืองทิศใต้ ทัตสึยะตรวจสอบของในกระเป๋าอีกครั้งก่อนจะยืนกระเป๋าให้ทหารเฝ้าประตูเมืองตรวสอบ

ระหว่างที่ทหารเปิดกระเป๋าเพื่อตรวจสอบ สเปียร์ก็ได้เห็นวิธีการจัดของในกระเป๋านั้น

มันเรียงของใช้จำเป็นเอาไว้อย่างมีระเบียบ เริ่มจากของที่มีโอกาศถูกใช้มากสุดอย่างโพชั่นระดับกลางก็จะถูกใส่ไว้ในกระเป๋าใบแรกสุด แล้สจึงเรียงลงไปยังของที่นานๆ ครั้งจะถูกหยิบอย่างอุปกรณ์ดูแลชุดเกราะ

เมื่อถูกตรวจสอบสัมภาระจนเสร็จพวกเขาจึงถูกปล่อยตัวพร้อมกับได้รับบัตรนักผจญภัยคืนหลังยืนยันตัวตนเสร็จสิ้น

สเปียร์ที่เห็นถึงความเจ้าระเบียบของทัตสึยะถึงสองครั้งจึงกล่าวทัก

“รอบคอบจังเลยนะคะ มีกระทั้งอุปกรณ์ทำความสะอาดชุดเกราะเลย”

“งั้นเหรอ ก็เคยถูกบอกแบบนั้นอยู่หรอก แต่มันอดไม่ได้นี่นาที่จะเอาของหลายๆ อย่างมาเผื่อไว้ในสถานการ์ณจำเป็น”

“เทียบกับทางฉันที่แค่โพชั่นยังไม่คิดจะพบนี่คนละระดับเลย”

“นั้นเพราะเธอเชื่อว่าตัวเองแข็งแกร่งไม่ใช่รึไง”

“เอ๊ะ?”

สเปียร์นิ่งไปชั่วขณะก่อนจะกลับมายิ้มร่างตามเดิม

“ฉันเผลอพูดอะไรไม่ดีไปรึเปล่า?”

“เปล่านี่คะ”

สเปียร์ก้าวเดินนำกน้าทัตสึยะอย่างร่าเริ่ง

ไม่นานนักหลังออกจากตัวเมือง ผู้คนบนถนนเองก็เริ่มน้อยลง ทัตสึยะมองเห็นแม่น้ำที่ตนแล่นเรือมาอยู่ลิบสายตา เมื่อลองมองไปยังทิศต่างๆ แล้วพบหมู่บ้านมากกว่าหนึ่งเด็กหนุ่มจึงกล่าวถามออกมาอย่างสงสัย

“แล้วเธอจะเริ่มจากหมู่บ้านไหนล่ะ รอบๆ ถนนเส้นนี้มีหมู่บ้านตั้งสี่แห่ง”

“เอ๊ะ?”

สเปียร์ส่งเสียงแปลกพร้อมเอียงคำสงสัย

“ก็นี้มันเป็นภารกิจของเธอไม่ใช่รึไง ฉันไม่ได้มาในฐานะเพื่อนร่วมปาร์ตี้นะ ตอนนี้ฉันคือผู้สังเกตการณ์ต่างหาก”

“จะ จริงด้วย ขอโทษคะ ฉันเผลอทำตัวสบายใจเกินไปหน่อย งั้นขอฉันดูแผนที่อีกรอบนะคะ…เออ…รู้สึกว่าผู้ว่าจ่างจะอยู่ที่หมู่บ้านตรงนั้นนะคะ”

สเปียร์ยกนิ้วเรียวบางชี้ไปยังหมู่บ้านเล็กที่อยู่สุดสาตา สิ่งเดียวที่ดูจะโดกเด่นคือกังหันลมที่มีสามใบพัด

“เริ่มจากเข้าไปถามขอมูลก่อนแล้วกันนะคะ หลังจากนั้นค่อยมาดูกันว่าต้องไปที่หมู่บ้านอื่นด้วยรึเปล่า”

“งั้นก็รีบไปเถอะ ฉันยังอยากทำงานตอนที่แดดยังอุ่นอยู่”

“รับทราบคะ”

สเปียร์เก็บใบคำร้องลงกระเป๋าก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มเดินไปตามทิศทางที่เธอชี้

ทันทีที่เข้าใกล้ทัตสึยะก็เริ่มเห็นสิ่งแปลกๆ เขาแหง่นหน้ามองกังหันลมสามใบพัดที่ไม่ได้หมุน 

พราะรูปทรงมันแปลกเกินกว่าจะหมุดได้ พอคิดแบบนั้นเขาก็พบว่ามันไม่ใช้กังหันสามใบพัด เดิมทีมันมีสี่ใบพัดต่างหาก แต่เพราะอะไรกันทำไมใบที่สี่ถึงหายไป

และทันทีที่ดินมาถึงหน้าหมู่บ้านก็พบชายวัยกลางคนที่ยืนเฝ้าทางเข้าหมู่บ้านอยู่สองคน พวกเขาต่างก็สวมชุดขนสัตว์ตัวหนาเพื่อป้องกันความหนาว และในมือก็คือหอกเล่มยาวคนละหนึ่งเล่มที่ถูกตั้งปลายหอกให้ชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้า

“รบกวนแจ้งธุระของพวกท่านด้วย”

หนึ่งในชายวัยกลางคนกล่าวออกมาเช่นนั้น

ทัตสึยะที่เดินอยู่ด้านหลังไม่ได้พูดอะไร เขาได้แต่กวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อตรวจหาสิ่งน่าสงสัย

“พวกเราเป็นนักผจญภัยที่ถูกจากกิลด์ส่งมาคะ”

ใบคำร้องของสเปียร์ถูกยืนให้ยามเผ้าประตูทั้งสองดู

ทันทีที่เห็นพวกเขาทั้งสองต่างก็หลีกทางให้ทันที พวกทัตสึยะจึงเดินผ่านประตูหน้าของหมู่บ้านได้อย่างไม่มีปัญหา

“ดูท่าอาการณ์น่าจะหลักกว่าที่คิดอีกนะ”

เสียงของทัตสึยะดึงขึ้นหลังผ่านทางเข้าหมู่บ้านไปได้ระยะหนึ่ง

“หมายความว่าไงเหรอคะ?”

“ปกติหมู่บ้านเล็กๆ แบบนั้นจำเป็นต้องมียามเฝ้าประตูถึงสองคนเลยงั้นเหรอ ไหนจะกังหันที่หักนั้นอีก แล้วพอมาดูใกล้ก็ถึงได้เห็น”

ขณะที่อธิบาย ทัตสึยะก็ยกนิ้วชี้ไปยังทิศที่ตั้งของโลงเก็บเสบียง

สเปียร์ปลายตามองตามทิศที่ปลายนิ้วนั้นชี้ไป เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ปลายสายตาก็ถึงกับเงียบนิ่ง

เบื้องหน้านั้นคือสิ่งปลูกสร้างคล้ายบ้านหลังสีแดง สถานทีที่เพียงแห่งเดียวที่มีไว้กักตุนเสบียงยามฤดูหนาว เพียงแต่ตอนนี้มันกลายเป็นเพียงซากไม้ที่พุพัง บนเศษไม้ที่เหมือนว่าจะเคยเป็นหลังคาปรากฏรอยไหม้จากด้านบน แม้จะยังเหลือเสบียง แต่ก็คงไม่มากพอจะเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านให้รอดพ้นหนาวไปได้

“ปกติกริฟฟอนนี่พ้นไฟได้รึเปล่า?”

“ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันคะ เท่าที่เคยได้ยินมากสุดก็พูดภาษามนุษย์กับใช้เวทมนตร์ได้น่ะคะ”

“งั้นเหรอ ยังคงมีความเป็นไปได้เหลืออยู่สินะ”

หลังจากเดินผ่านโลงเก็บเสบียงมาไม่นานนัก ก็มีชายชราท่านหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาคนทั้งสองด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา

“นะ ในที่สุด นะ นึกว่าจะไม่มีใครรับคำร้องแล้วเสียอีก ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้หมู่บ้านของพวกเราได้จบสิ้นแน่”

เขาร้องไห้พร้อมคุกเข่าลงตรงหน้าของสเปียร์

“จะ ใจเย็นๆ นะคะ คุณคงเป็นหัวหน้าหมู่บ้านสินะ ยังไงพวกเราก็มาคุยรายละเอียดกันก่อนเถอะ”

ทัตสึยะที่ตั้งใจแค่จะมาช่วยไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายหน้าที่ในการหาข้อมูล เขาได้เพียงมองรอบเพื่อหาว่าตัวอะไรกันยาที่บุกโจมตี

“ขอบคุณพระเจ้ายังทรงเมตตา”

ได้ยินเสียงของคุณหัวหน้าหมู่บ้านพูดเช่นนั้นก่อนจะเขาจะนำทางพวกเขาไปที่บ้านหลังเล็กที่อยู่ไม่ไกล

ชายชราเชิญทั้งสองให้นั่งลงที่ห้องรับแขก ที่นั้นไม่ได้มีเพียงพวกเขา แต่ยังมีเด็กน้อยอีกสามคนที่แอบดูอยู่ตรงมุมไกลๆ

“ขอเข้าเรื่องเลยนะคะ พอจะทราบรึเปล่าว่าเจ้าสิ่งที่ทำลายโรงเก็บเสบียงคือตัวอะไร”

“กระผมเองก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องมอนสเตอร์มากนัก แถมตอนที่มันมาหมู่บ้านยังเป็นตอนกลางคืนด้วย แต่ว่ามันทั้งตัวใหญ่ เดินสี่ขาแล้วก็มีปีก มันจะต้องเป็นกริฟฟอนจ่าฝูงแน่ๆ”

“กริฟฟอนจ่าฝูง? คุณหมายถึงอาร์คกริฟฟอนเหรอคะ?”

“ตะ ต้องใช่แน่ๆ ต้องเป็นเจ้านั้นแหละ”

ชายแก่ยืนยันเสียงแข็งหลังจากได้ยินสเปียร์พูดแบบนั้น แต่เพราะอะไรกัน ทัตสึยะที่ได้ยินมันกลับเริ่มขมวดคิ้ว

“แล้วทางหมู่บ้านได้ส่งคนไปตรวจมาแล้วรึเปล่าคะ ถ้ามันเป็นอาร์คกริฟฟอนจริงระดับคำร้องมันจะสูงขึ้นนะคะ”

“ตอนแรกก็มีฝูงบิ๊กฟูตแรบบิดพากันออกจากป่า ตอนนั้นพวกเราคิดว่าเป็นโชคดีเลยล่าพวกมันมาเก็บเป็นเสบียง แต่หลังจากนั้นก็เป็นพวกสัตว์นักล่าอย่างไดร์ดาวูฟ แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ตอนนั้นพวกมันไม่ได้มากันเป็นฝูง หลังจากเริ่มตระหนักถึงความผิดปกติพวกเราจึงส่งนักล่าประจำหมู่บ้านไปตรวจสอบ แต่พวกเขาก็ไม่กลับมา หลายวันต่อมาเจ้านั้นก็มาที่หมู่บ้าน ทำลายกังหันลมพ้นไฟเผาบ้านพวกเรา แล้วกวาดเสบียงสำรองของพวกเราไปจนหมด”

หลังจากพูดประโยคสุดท้าย คุณลุงก็มีสีหน้าราวกลับหวาดกลัว ทัตสึยะที่ได้ฟังก็หันมองเด็กๆ ที่หลบอยู่ พลางคิดไปว่ามันอาจจะเป็นรางร้ายบางอย่างที่เกิดกับเขา

“ไดร์อาวูฟกับเด็กงั้นเหรอ นี่มันรางบอกเหตุรึไง”

“มีอะไรรึเปล่าคะ?”

“เปล่าฉันแค่พูดคนเดียวน่ะ เธออยู่คุยกับคุณหัวหน้าหมู่บ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะออกไปตรวจสอบรอบหมู่บ้านดูสักหน่อย”

พูดจบทัตสึยะก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องรับแขกไป

เด็กนุ่มหันมองออกไปทางป่าใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลมากจากหมู่บ้าน เขาเพ่งมองด้วยดวงตาแห่งความจริงก่อนจะพบถึงความผิดปกติบางอย่าง

“ปกติที่นั้นมวลพลังเวทมันหนาแน่นแบบนั้นตลอดเลยเหรอ?”

หลังจากลองเดินตรวจสอบรอบๆ หมู่บ้านเขาก็พบเข้ากับล่องลอยของมอนสเตอร์จริงๆ เพียงแต่มันไม่ใช่รอยเท้าที่พุ่งเข้าใส่หมู่บ้าน แต่เป็นลอยเท้าที่เหมือนกับหนีบางสิ่ง พอลองสังเกตดูมันไม่ได้มีเพียงแค่ลอยเท้ากระต่ายหรือหมาป่า ทั้งสัตว์ขนาดเล็กและขนาดกลาง หรือแม้แต่แมลงยังพากันหนีออกจากป่า

แม้จะไม่ใช่วันที่อากาศร้อนอบอ้าว แต่ก็มองเห็นเหงื่อบนใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างชัดเจน

“แบบนี้มันผิดปกติแล้วมั่ง ไม่ใช่แค่ระดับไล่สัตว์ท้องถิ่นแล้วมั่ง”

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset