ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อยตอนที่17 ร่องรอยของบางสิ่ง

ตอนที่17 ร่องรอยของบางสิ่ง

ราวๆ หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง

บนพื้นที่รกร้างไร้ผู้อยู่อาศัยนอกตัวเมือง กองหิมะสีขาวกลบทับร่างไร้วิญญาณ แม้จะเป็นฤดูหนาวที่เหล่าสัตว์พากันจำศีล แต่เจ้านกขนสีดำก็ยังคงออกหากิน

มันแทะกินร่างอันเย็นเฉียบของคนที่นอนอยู่บนพื้น แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของบางคนเดินฝ่าหิมะเข้ามา เล่านกกาก็บินหนีกันกระเจิง

เด็กหนุ่มผมสีดำถอนหายใจ ปล่อยไอสีขาวลอยล่องไปตามสายลม เขาก้มดูร่างไร้ชีวิตที่นอนอยู่พร้อมๆ กับปรายตามองเศษซากของสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่

“ที่นี่เองก็ถูกมอนเตอร์จู่โจมงั้นเหรอ”

เขาเดินเข้าไปในซากอาคารพร้อมหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ ขึ้นมาจด

ทัตสึยะเขียนบันทึกสิ่งที่เห็นลงสมุดพร้อมรายละเอียดเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย

ในสถานที่รกร้างไร้ผู้คนเช่นนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งใจจะมาด้วยตัวเอง แต่เพราะคำไหว้วานของกิลด์มาสเตอร์เขาจึงต้องมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ก็แค่ภารกิจตรวจสอบ ให้คนอื่นมาทำก็ได้แท้ๆ”

เสียงบ่นเช่นนั้นดังออกมาระหว่างที่กำลังจดบันทึก

“ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้เมืองแค่นี้เองแท้ๆ ตัวอะไรกันนะที่ทำได้ถึงขนาดนี้”

ขณะที่เดินวนไปวนมาเขาก็มองเห็นรอยขูดบนกำแพงคล้ายรอยกรงเล็บของสัตว์ แต่แค่รอยกรงเล็บมันระบุชนิดไม่ได้ ทัตสึยะจึงเดินต่อไปอีก

“พอมาลองนึกๆ ดูแบบนี้มันคล้ายกับการทดลองในหนังสยองขวัญเลยแฮะ”

ขณะที่ลองนึกถึงความเป็นไปได้ที่อาจเกิด ตัวเลือกสุดเลวร้ายก็เด้งขึ้นมาในหัวโดยไม่ตั้งใจ

“คงคิดไปเองนั่นแหละ มันจะไปมีเรื่องแบบนั้นในชีวิตจริงได้ไงเล่า”

เขาปิดสมุดจดก่อนจะยกบาร์เกสต์ที่อยู่ในฝักขึ้นมาแทน

ไม่ทันได้รู้ตัวเขาก็ถูกลอบจู่โจมโดยบางสิ่ง

มองเห็นร่างเงาของสิ่งมีชีวิตขยับออกจากกองหิมะที่ทับถม บางตัวเดินออกมาจากเงาของต้นไม้

ร่างของมันปกคลุมด้วยขนหนา ยืนด้วยสองขาและสองแขน บนอุ้งมือปรากฏเป็นกรงเล็บสีดำสนิท ใบหน้าถูกขนปิดบังเอาไว้ สิ่งที่สะท้อนออกมามีเพียงดวงตาสีน้ำตาลและคมเคี้ยวที่พร้อมบดขยี้

“ดันชะล่าใจไปหน่อย ไม่คิดว่าจะเจอพวกแก”

ความมั่นใจบนใบหน้าไม่ได้จางหาย เขาตั้งท่าพร้อมต่อสู้แม้อีกฝ่ายจะเป็นฝูงสัตว์ประหลาดที่มีลำตัวสูงกว่าสองเมตร

“โทลแบร์… แล้วยังมากันตั้งสี่ตัว ไม่ใช่ว่าตอนนี้เป็นฤดูจำศีลงั้นเหรอ?”

ยังไม่ทันได้คำตอบของคำถาม กรงเล็บของโทลแบร์ตัวหนึ่งก็พุ่งตรงเข้ามาอย่างหิวกระหาย ทัตสึยะที่เรียกใช้ดวงตาแห่งความจริงเพื่อมองโลกให้ช้าลง และเวทมนตร์เพิ่มความเร็ว ไลน์นิ่งบูส นั้นสามารถหลบได้ไม่ยากเย็น

“ตั้งแต่เจอมังกรแล้วนะ แถวนี้มันมีแต่เรื่องประหลาดเลยรึไง”

เขากระโจนหลบการโจมตีนั้นพร้อมทั้งมองดูพวกมันทั้งฝูงเพื่อหาตัวที่คิดว่าเป็นหัวหน้า

พอเห็นว่าเจ้าตัวใหญ่ที่เข้ามาโจมตีก่อนน่าจะเป็นจ่าฝูงเขาถึงตั้งเป้าไปที่มันก่อน เด็กหนุ่มออกแรงพร้อมเสริมตัวเวทลมกระโจนขึ้นสูงเหนือพื้น วินาทีถัดมาใบมีดของบาร์เกสต์ก็ยืดออกทั้งสองฝั่ง

ทัตสึยะดึงสายธนูพลังเวทไร้สีก่อนจะปล่อยมันในจังหวะที่โทลแบร์ตัวใหญ่แหงนมองที่เขา

ฉึบ!

เสียงศรเวทพุ่งทะลุหัวของโทลแบร์ตัวแรก ร่างสูงสองเมตรล้มลงแทบพื้นหิมะ พอเห็นว่าจ่าฝูงล้มไป อีกเจ็ดตัวที่เหลือก็นิ่งไปราวกับกำลังสั่นกลัว

“มาหาเรื่องกันก่อนแท้ๆ”

เพียงแค่สบตาเหล่าสัตว์ร้ายก็นิ่งสงัด แววตาหิวกระหายแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว ก่อนจะเห็นพวกมันค่อยๆ หันหลังและวิ่งหนีไปทางป่านอกเขตหมู่บ้าน

“คงเป็นพวกนั้นสินะที่บุกทำลายหมู่บ้าน แต่ทำไมถึงเป็นโทลแบร์ล่ะ”

ทัตสึยะตั้งคำถามพร้อมปรายตามองร่างที่นอนจมกองเลือด เขาพลิกร่างที่นอนคว่ำของเจ้าหมีก่อนจะมองร่างนั้นอย่างละเอียด

“ร่างกายผอมกว่าปกตินิดหน่อย อย่างกับเพิ่งตื่นจากจำศีลเลยแฮะ…”

เขาหันกลับไปทางป่าที่พวกมันเพิ่งวิ่งเข้าไป ก่อนจะสังเกตเห็นว่าที่นั่นมันไม่ใช่พื้นที่ที่ควรจะพบเห็นโทวแบร์

“พวกมันอพยพมางั้นเหรอ?”

สัตว์ที่ควรจะจำศีลและอาณาเขตที่ไม่ควรอยู่ มีแต่เรื่องน่าสงสัยให้ชวนคิดเต็มไปหมด ทัตสึยะเก็บบาร์เกสต์ในมือก่อนจะตัดสินใจหยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาจดสิ่งที่เห็นเมื่อกี้ลงไป

“เราก็เก็บเจ้านี่แล้วรีบกลับก่อนพระอาทิตย์จะขยับออกจากหัวดีกว่า”

สิ้นประโยค เขาก็หยิบถุงผ้าที่ดูคุ้นตาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะใช้มันคลุมร่างของเจ้าโทลแบร์ แม้จะเป็นเพียงถุงผ้าใบเล็กๆ แต่กลับสามารถเก็บร่างของสิ่งมีชีวิตสูงกว่าสองเมตรลงไปได้ ช่างเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่น่าอัศจรรย์

◇◇◇

จากนั้นอีกหลายชั่วโมงผ่านไป ทัตสึยะเดินกลับเข้าเมืองจากประตูฝั่งตะวันตก เขาเดินผ่านประตูเมืองในตอนที่พระอาทิตย์กำลังขยับออกจากตำแหน่งกลางหัว

“เหนื่อยหน่อยนะครับ”

เขากล่าวขอบคุณพอเป็นพิธีกับคุณอัศวินที่ยืนอยู่หน้าประตูหลังเดินผ่าน หลังเดินมาไม่ไกลก็พบเข้ากับตลาดกลางแจ้งที่กำลังคึกคัก มองเห็นผู้คนมากมายที่ออกมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ พอเห็นแบบนั้นคำถามหนึ่งก็เด้งขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ

“ทำไมถึงต้องเกิดสงครามกันนะ”

ถึงจะตั้งคำถามแบบนั้นไปมันก็ใช่ว่าจะมีใครมาตอบ เพราะตลอดสี่เดือนที่อยู่ที่โลกนี้ก็ไม่มีใครพูดถึงเป้าหมายของสงครามเลย ราวกับมันเป็นเพียงกุศโลบายเพื่อผลประโยชน์อย่างอื่น

เขาถอนหายใจอย่างเปล่าประโยชน์หลังคิดว่าตัวเองต้องมาใช้ชีวิตในโลกที่แสนลำบากนี้เพียงเพราะกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนไม่พอใจกันแล้วลากตัวเขาที่ไม่รู้เรื่องด้วยเข้ามาเกี่ยวข้อง

“คิดไปก็ปวดหัว——”

จังหวะนั้น

ความรู้สึกราวกับถูกจับจ้องก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง ทัตสึยะรีบหันหลังกลับ จ้องมองจุดที่คิดว่าเป็นต้นตอของสายตา

“ถูกสะกดรอยตามงั้นเหรอ หรือว่าจะเป็นยัยผู้หญิงที่อยู่ในตรอกตอนนั้น”

ระยะหลัง…ไม่สิ ตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่เมืองแห่งนี้ ความรู้สึกราวกับกำลังถูกมองมันก็มากขึ้น

“คราวนี้ต้องจับตัวให้ได้”

ทัตสึยะที่รู้ตัวรีบขยับเท้าวิ่งไปยังจุดที่คิดว่าเจ้าของเสียงในตรอกนั้นอยู่ในทันที พร้อมกันนั้นบุคคลปริศนาก็รับรู้ว่าตัวเองถูกจับได้

เมื่อเห็นว่าทัตสึยะกำลังวิ่งมา เขาคนนั้นก็ไหวตัวทันและเตรียมจะหลบหนี

เขาคนนั้นวิ่งตรงผ่านฝูงชนไปตามถนนในสายที่เต็มไปด้วยผู้คน

ทัตสึยะที่วิ่งตามมองเห็นเค้าลางของใครบางคนที่กำลังวิ่งหนี ร่างที่วิ่งหนีไปนั้นแลดูจะชำนาญเส้นทางในเมืองเป็นอย่างดี แถมฝ่ายนั้นยังเลือกเส้นทางที่เต็มไปด้วยผู้คนอีกต่างหาก

เด็กหนุ่มพยายามใช้พรดวงตาแห่งความจริงของตัวเองเพื่อมองใบหน้าที่ซ่อนเอาไว้ใต้ผ้าคลุมนั้น แต่เพราะเป็นถนนเส้นที่เต็มไปตัวผู้คน จึงทำให้ยากที่จะโฟกัสคนเพียงคนเดียว

“หน็อย~ หายไปอีกแล้ว”

ไม่ทันรู้ตัวทัตสึยะก็ยืนอยู่ที่สี่แยกกลางเมือง เขาขบฟันแน่นอย่างเจ็บใจ ขณะพยายามมองหาร่องรอยของบุคคลน่าสงสัย

“ยังแอบตามฉันอยู่งั้นเหรอ”

ขณะที่ข่มอารมณ์โกรธเอาไว้บางอย่างมันก็ดึงดูดสายตาอย่างน่าประหลาด

เขาสังเกตเห็นร้านพิลึกๆ ที่ถูกตั้งอยู่ในมุมมืดของตลาด เท่าที่มองก็เป็นแค่หญิงชราไร้พิษภัยใดๆ เพียงแต่ที่น่าสงสัยคือรอยยิ้มที่ราวกับรู้ตัวว่าถูกทัตสึยะมอง

“อะไรน่ะไอ้รอยยิ้มนั่น”

หญิงแก่ในชุดคลุมสีดำเก่าๆ กวักมือเรียกทัตสึยะอย่างชัดเจน พอเห็นแบบนั้นรังสีความน่าสงสัยก็ลอยฟุ้งออกมา

ทัตสึยะที่เห็นเช่นนั้นไม่รอช้า เขาใช้พลังของพรศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบหญิงชราคนนั้นอย่างไม่ลังเล แต่แล้วสิ่งที่เห็นกลับยิ่งตอบรับความน่าสงสัยนั้นขึ้นไปอีก เพราะที่เบื้องหน้ามันไม่มีอะไรเลย ไม่มีพลังงานชีวิตหรือแม้แต่พลังเวท มันเป็นเพียงร่างเปล่าๆ ที่ไร้พลังงานใด

“หรือว่าจะเป็น…”

หญิงชรายังคงยิ้มแม้จะถูกทัตสึยะตรวจสอบ และดูเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้อยู่แล้วว่าทัตสึยะกำลังทำอะไร

ได้ยินเสียงถอนหายใจของเด็กหนุ่มก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาหญิงชราน่าสงสัยคนนั้น

“คงมีแต่ต้องเข้าไปดูสินะ”

เบื้องหน้านั้นคือโต๊ะไม้ตัวเก่าที่ถูกคลุมด้วยผ้าปูโต๊ะสีม่วงเข้ม บนโต๊ะมีไพ่อยู่หนึ่งสำรับ ทัตสึยะจ้องไปที่หญิงชราด้วยความสับสนขณะเดียวกันมือข้างหนึ่งก็เตรียมจับดาบหากเห็นว่าหญิงชราคิดจะเล่นตุกติก

หญิงชราไม่ได้พูดตอบแม้จะสังเกตเห็นว่ามือของทัตสึยะนั้นกำลังตั้งท่าเตรียมอยู่ มีเพียงรอยยิ้มน่าพิศวงเท่านั้นที่ปรากฏบนใบหน้าเหี่ยวย่น

“มีธุระอะไร”

เสียงกล่าวถามของทัตสึยะดังขึ้นขณะที่หญิงชรากำลังสับไพ่ เธอวางกองไพ่ลงก่อนจะค่อยๆ เปิดไพ่ใบบนสุดอย่างช้าๆ

“รู้หรือเปล่าว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบเล็กนี้มันเป็นเพียงตัวอักษรที่เขียนขึ้นเท่านั้น”

“?”

หญิงชราเริ่มเปิดปากพูดอย่างเรียบเฉย ภาพบนหน้าไพ่ที่ถูกเปิดนั้นช่างแปลกตา มันไม่เหมือนไพ่ที่ทัตสึยะเคยเห็น

“มันก็เหมือนกับสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าอนาคต เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นจากปัจจุบัน”

พอได้ฟังคำพูดที่หญิงชราพูดมันก็ยิ่งทำให้ทัตสึยะขมวดคิ้วแน่น ตัวเขาที่ไม่เข้าใจความหมายของไพ่เหล่านั้นจึงพยายามใช้พร “เข้าใจทุกสรรพสิ่ง” เพื่อมองความหมายที่ซุกซ่อน แต่มันก็เปล่าประโยชน์——ไม่มีข้อมูลใดๆ ของหน้าไพ่ปรากฏขึ้นในหัวของเขาเลย

“ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่”

มือที่กำบาร์เกสต์นั้นเริ่มแน่นขึ้น ความกังวลค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้า เพราะอะไรกัน พลังที่ทำให้เข้าใจได้กระทั่งความหมายแฝงของภาษากายถึงไม่อาจเข้าใจการกระทำของหญิงชราตรงหน้า

เธอคนนั้นยื่นกองไพ่ให้กับทัตสึยะเพื่อเป็นสัญญาณให้เขาเป็นคนกำหนดไพ่ใบต่อไปด้วยตัวเอง

ทัตสึยะที่ระวังตัวนั้นเข้าใจดีว่าต้องมีการเล่นไม่ซื่อ เขาจึงใช้ดวงตาแห่งความจริงมองทะลุไพ่ใบนั้นเพื่อดูผลลัพธ์ล่วงหน้า

สิ่งที่ต้องทำมีเพียงเล่นตามน้ำแล้วหยิบไพ่ก็เท่านั้น เพียงแต่——วินาทีที่มือสัมผัสกับกองไพ่ ภาพทิวทัศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไป ทั้งเมือง ผู้คน และแม้แต่หญิงชรากับโต๊ะกลมเบื้องหน้าก็พลันจางหาย——

ภาพที่เห็นมีเพียงท้องฟ้ายามราตรีที่ดวงดาวส่องประกาย ภาพทิวทัศน์อันงดงามนั้นสะท้อนกับพื้นที่เป็นเพียงน้ำบางๆ

บรรยากาศนั้นวังเวงดูไร้ชีวิต ภาพของท้องฟ้ายามค่ำคืนที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำดูเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์และน่าหลงใหล แต่มันกลับดูน่ากลัวเกินกว่าจะหาคำบรรยาย

เด็กหนุ่มรับรู้ได้ทันทีว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง เขาพยายามหาต้นตอและทางออกจากสถานที่แห่งนี้

ทันใดนั้น ร่างของหญิงชราที่น่าจะเป็นตัวต้นเหตุก็ปรากฏ

สีหน้าของทัตสึยะเมื่อมองไปที่หญิงชรานั้นเต็มไปด้วยคำถาม แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบจากอีกฝ่าย

ริมฝีปากแห้งเหี่ยวค่อยๆ เปิดออก มีคำพูดบางอย่างออกมาจากปากของหญิงชรา

“หากว่ามีตัวตนที่สามารถแก้ไขโชคชะตาที่กำหนดมาตั้งแต่แรกเริ่มได้มันจะเป็นยังไง”

ทัตสึยะไม่ได้ตอบในสิ่งที่ถูกถาม เขาได้แต่เพียงจ้องมองใบหน้าของหญิงชรา แต่ก็เพิ่งรู้ตัวเช่นกันว่าภายใต้หนังเหี่ยวๆ นั้นเขามองไม่เห็นอะไรเลย แม้จะยืนอยู่ตรงหน้าแต่ตัวเขากลับจดจำใบหน้านั้นไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

“เธอคิดว่าตัวเองเป็นคนที่เท่าไหร่?”

พอได้ยินก็ยิ่งทำให้ฉงน ทัตสึยะพร้อมขมวดคิ้วแน่นพร้อมจะจู่โจมเธอคนนั้น เพียงแต่——พอเอื้อมมือไปที่บาร์เกสต์ที่ควรจะอยู่ที่เอวมันกลับไม่มี

“เธอคิดว่าตัวเธอ เป็นคนที่เท่าไหร่?”

คำถามเดิมถูกกล่าวซ้ำอีกครั้ง

พอรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานะที่ตอบโต้อะไรได้ เขาจึงเลือกที่จะถามคำถามกับเธอคนนั้นแทน

“พูดเรื่องอะไรอยู่ หมายถึงเรื่องตำแหน่งผู้กล้ารึไง?”

หญิงชรายิ้มตอบหลังได้ยินคำพูดนั้น

พอรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร ทัตสึยะก็ลองนึกย้อนกลับไปถึงประวัติศาสตร์มนุษย์ที่ถูกบันทึก

หนึ่งพันปีก่อน ยุคแห่งความวุ่นวาย มนุษย์ทำสงครามกับปีศาจ ผู้กล้าคนแรกปรากฏตัวขึ้น จบสงครามและปลิดชีวิตจอมมารลง

สองร้อยปีก่อนเผ่าปีศาจที่ได้ผู้นำใหม่ลุกขึ้นสู้และประกาศสงครามอีกครั้ง และก็เป็นเช่นเดิม ผู้กล้าคนที่สองปรากฏตัวขึ้นหยุดสงคราม

“ถ้าเอาสรุปมันก็เป็นแบบนั้น ตัวฉันก็คงจะเป็นคนที่สามถูกไหม”

“อย่าได้หลงเชื่อประวัติศาสตร์ของเหล่ามนุษย์ เพราะทั้งหมดนั้นล้วนถูกเขียนขึ้นโดยผู้ชนะ”

หลังได้ฟังเช่นนั้นคิ้วของทัตสึยะมันก็ขมวดจนแทบจะติดกัน

“แล้วยังไง สุดท้ายมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันนี่”

“ไม่ใช่ว่าเธอไม่ยอมรับว่าตัวเองคือผู้กล้าหรอกหรือ”

หญิงชรายิ้มตอบเช่นนั้น ช่างดูเป็นคำตอบที่น่าโมโหเกินคำบรรยาย

“ต้องการอะไร คิดจะให้ฉันตอบแบบไหนมิทราบ”

“ยอมรับเถอะว่าลึกๆ แล้วเจ้าชอบที่จะได้เล่นเป็นผู้กล้า หากยังมีความรู้สึกแบบนั้นอยู่ เจ้าก็ไม่มีวันหนีไปจากตำแหน่งตรงนี้ได้หรอก”

ทัตสึยะนิ่งไปหลังได้ยิ่งสิ่งที่หญิงชรากล่าว เขากำหมัดแน่นและพร้อมจะตะโกนกลับไป เพียงแต่เขาไม่ทันจะได้พูดตอบอะไร

“เมื่อแรงปรารถนาของคนผู้นั้นมากพอ คำวิงวรจะถูกส่งไปถึงและได้รับการอวยพรจากโลก”

พอรู้ตัวอีกทีเธอก็เข้ามากระซิบที่ข้างหูเช่นนั้น

ทัตสึยะเบิกตาโพลงหลังได้ยินสิ่งที่กระซิบ

“และตัวตนที่มีคำอวยพรถึงสองอย่างเช่นเจ้า คิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่ปกติงั้นเหรอ”

เมื่อกล่าวจบหญิงชราจึงกล่าวถอยหลังออกไป ก่อนจะส่งยิ้มชวนพิศวงและคำพูดที่ดูไร้ความหมาย แต่กลับดังก้องในหัวของเด็กหนุ่ม

“แล้วเจอกันนะ ท่านผู้กล้าคนที่สี่”

และวินาทีที่คำพูดนั้นสิ้นสุด ภาพทิวทัศน์ที่น่าพิศวงก็จางหายไป ทัตสึยะถูกดึงให้กลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง เสียงของผู้คนที่เดินผ่านและบรรยากาศครึกครื้นกลับมาเช่นเดิม

ทัตสึยะหันมองที่มือก่อนจะพบว่าไพ่ที่ตนหยิบขึ้นมานั้นมันเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ใบเดียวกับที่เขาใช้ดวงตาแห่งความจริงตรวจสอบไว้ก่อน

“คำอวยพรจากโลก? ก็ถึงได้ถามตลอดไงว่าทำไมต้องเป็นฉัน ก็ฉันไม่ได้มีความปรารถนาที่แรงกล้าแบบนั้น…”

พอต้องการคำตอบของคำถามเขาก็เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะพบว่าร่างของหญิงชรานั้นหายไปเสียแล้ว

“วันนี้มันวันอะไรเนี่ย”

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset