ยามที่ดวงตะวันเปลี่ยนเป็นสีส้ม อากาศเองก็เริ่มเย็นลง มองเห็นเกล็ดหิมะอ่อนๆ ที่กำลังร่วงหล่น
“วันนี้ก็ตกเหรอเนี่ย”
“ก่อนจะสนใจสภาพอากาศกลับมาสนใจมื้อเย็นก่อนไหม”
เด็กสาวผมขาวกล่าวเช่นนั้นเมื่อได้เห็นเพื่อนร่วมทางของเธอหลีกหนีจากความจริง
ขณะที่ไดอาน่ากำลังนั่งอยู่บนดาดฟ้าเรือลำเล็กและต่างคนต่างมีเบ็ดตกปลา แต่ตัวของเด็กหนุ่มกลับไม่แม้จะสนใจมื้อเย็น เขาเอาแต่จดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มเก่าที่เพิ่งได้มา
“ทั้งที่เอาแต่สนใจหนังสือนั้นจนตกปลาไม่ได้สักตัวแท้ๆ”
“เธอบอกว่าตอนที่จับเมล็ดพวกนั้นมันมีภาพความทรงจำของคนที่เธอรู้จักไหลผ่านหัวไปใช่ไหม”
“จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมเล่า อยากให้ฉันอ้วกใส่อาหารเย็นรึไง”
“ดูเหมือนพรศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์เรียกกันแบบนั้นจะไม่ได้มีที่มาจากพระเจ้าหรืออะไรก็ตามที่อยู่ในศาสนาหรอกนะ”
“อะไรน่ะ ทำไมจู่ๆ ก็…”
“หนังสือเล่มนี้มันไม่ใช่นิทานอย่างที่ตัวเธอเข้าใจหรอกนะ ด้วยพรที่เข้าใจได้ทุกสรรพสิ่งของฉันก็เลยทำให้ได้รู้ ว่าภายใต้อักษรแสนธรรมดาที่ถูกขีดเขียนเป็นเรื่องราวการเดินทางนี้น่ะ มันมีความหมายอื่นถูกซ่อนไว้ด้วย”
ทัตสึยะปิดหน้าหลังสือที่อ่านอยู่ก่อนจะหันไปพูดกับไดอาน่าที่นั่งตกปลาอย่างตั้งใจ
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่นายพูดเมื่อกี้ด้วยล่ะ”
เด็กสาวหันไปตอบกลับด้วยสีหน้าที่ดูเบื่อหน่าย
“ก็หนังสือเล่มนี้มันบอกเล่าทั้งที่มาแล้วก็วิธีการได้รับพรไว้ไง! จุดร่วมที่ผู้มีพรทุกคนมีร่วมกันคือแรงปรารถนา หากว่ามีแรงปรารถนามากพอคนผู้นั้นจะได้รับของขวัญจากโลก ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นแรงปรารถนาแบบไหน หากมากพอก็จะได้รับการยินยอม”
“เพราะเหตุผลบ้าๆ นั้นพวกเด็กๆ มากมายถึงได้ต้องสละชีวิต…”
พอพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของเด็กสาวก็ดูเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้นทัตสึยะก็เลือกที่จะพูดต่อ
“พวกที่ติดเข็มกลัดนั่นน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดี ก็เลยสร้างบ้านเลี้ยงเด็กปลอมๆ ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นแหล่งผลิตความปรารถนา”
“…”
“ที่น่าสงสัยกว่านั้นคือ ออร่าที่เมล็ดนั่นปล่อยออกมามันเหมือนออร่าของมังกรยังไงชอบกล บางทีส่วนผสมของมันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับมังกร…”
“เลิกพูดเรื่องนี้สักทีเถอะ! ฉันไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว”
“เธอควรรับรู้ไว้นะ เพราะมันเป็นเรื่องที่เธอต้องสะสางไม่ใช่เหรอ ความฝันอะไรนั่นของเธอน่าจะต้องเริ่มจากขุดรากถอนโคลนคนพวกนี้…”
“พอเลย หยุดสนใจเจ้าหนังสือนั้นแล้วกลับมาสนใจอาหารเย็นซะเถอะ นายน่ะยังตกไม่ได้สักตัวเลยนะ”
“ฉันยังไม่ได้เอาจริงต่างหากล่ะ ใช้แล้วเพราะเบ็ดไงล่ะ เจ้าเบ็ดนี่มันก็แค่ของถูกๆ”
พอพูดเช่นนั้นจบทัตสึยะไม่รอช้า เขาโยนเบ็ดในมือทิ้งไปก่อนจะหยิบบาร์เกสต์ขึ้นมาแทน พอเห็นว่าสิ่งที่ทัตสึยะหยิบขึ้นมาไม่ใช่แม้แต่เบ็ดด้วยซ้ำไดอาน่าก็แสดงสีหน้าเอือมระอา
“อะไรน่ะ คิดจะยิงปลารึไง?”
“หึ เธอนี่ช่างไม่รู้อะไรเอาซะเลยนะ นี่น่ะคือสุดยอดอาวุธที่ถูกตีขึ้นจากศิลาแห่งไกอา โดยช่างฝีมือเผ่าดวอร์ฟ กะอีกแค่ตกปลาทำไมจะทำไม่ได้”
เมื่อสิ้นสุดการพูดเยินยอเช่นนั้น บาร์เกสต์ในมือทัตสึยะก็มีรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป ใบดาบของมันยาวขึ้นและมีตะขออยู่ที่ส่วนปลาย
“จากนี้แหละคือการเอาจริง!”
ทัตสึยะประกาศเช่นนั้นก่อนจะตั้งท่าพร้อมโยนตะขอลงน้ำไป
“เห้อ~ของแบบนี้มันไม่ได้อยู่ที่อุปกรณ์สักหน่อย”
พอนั่งลงและลองกลับมานึกถึงวันแรกที่เขาถูกอัญเชิญมันก็มีเรื่องน่าสงสัยอยู่เช่นกัน เพราะตัวของทัตสึยะนั้นมีพรมาตั้งแต่ที่มาถึงโลกใบนี้ เพราะแบบนั้นมันจึงน่าสงสัย หากบอกว่าคนที่จะได้รับพรคือคนที่มีความปรารถนาที่แรงกล้าพอ แล้วสำหรับทัตสึยะล่ะ ตัวเขาไม่ได้มีความปรารถนาอันแรงกล้าในวันที่มายังโลกใบนี้
หากจะบอกว่าโลกได้อวยพรให้ตัวเขาตั้งแต่แรก แล้วเหตุผลนั้นคืออะไร ตัวเขาไม่ใช่แค่ผู้เคราะห์ร้ายจากการถูกอัญเชิญอย่างมั่วซั่วของอาณาจักรมิเนเรียหรอกหรือ
“แล้วทำไมต้องเป็นเรากันนะ”
“บ่นอะไรอีกล่ะ ถ้าไม่ตั้งใจเดี๋ยวก็อดข้าวเย็นหรอก”
ไดอาน่ากล่าวเตือนขณะที่ทัตสึยะแสดงสีหน้าดูเหม่อลอย
สาเหตุที่พวกเขาทั้งสองต้องออกมานั่งตกปลากันก็เป็นเพราะว่าเสบียงที่เรือลำนี้ขนมามีแต่เครื่องเทศ มันไม่มีวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารอื่นๆ เลย พอลองนึกย้อนไปก็พบว่ากล้องไม้ที่วางอยู่บนท่าเทียบเรือน่าจะเป็นของที่ยังไม่ได้ขนขึ้นเรือลำนี้ แต่พวกเขาก็ออกมากันเสียก่อนที่จะได้ตรวจสอบ
…
เวลาผ่านไปอีกเล็กน้อยหลังหิมะตก พวกเขาทั้งสองก็ยังคงนั่งตกปลาอยู่เช่นเดิม
“ไหนล่ะปลาของนาย ไม่เห็นจะมีสักตัว”
“ยังหรอกน่า”
ไดอาน่าถอนหายใจก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มืดลงอย่างรวดเร็ว
“แต่นี่มันมืดแล้วนะ”
พอเห็นว่าทัตสึยะไม่ยอมแม้แต่จะขยับ เธอขมวดคิ้วแน่นแสดงใบหน้าไม่พอใจก่อนจะตัดสินใจดึงผ้าคลุมของเขาจนแทบหงายหลังเพื่อดึงความสนใจ
“นี่เธอคิดจะทำอะไร”
พอหันไปมองก็เห็นว่าไดอาน่ามีสีหน้าโมโหปนเอือมระอาในนิสัยของทัตสึยะที่ไม่ยอมขอให้เธอช่วย
“พอแล้วน่า ฉันเองก็หิวแล้ว เพราะงั้นมากินปลาของฉันก็ได้”
“ไม่เอาหรอก มันยังไม่จบซะหน่อย กับแค่ตกปลาฉันทำเองได้”
ไดอาน่าขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิมหลังได้ยินคำยืนกรานเช่นนั้นของทัตสึยะ
“กับแค่ตกปลามันต้องจริงจังขนาดนั้นไหม! งั้นฉันมีข้อเสนอ”
“อะไรอีกล่ะ”
“นายจะกินปลาที่ฉันตกก็ได้ แต่มื้อเย็นวันนี้นายต้องเป็นคนทำ”
“นี่เธอไหงจู่ๆ ก็…”
พอได้ยินแบบนั้นทัตสึยะก็ฉุกคิดได้อีกเรื่องพอดี เพราะดันเกิดเรื่องวุ่นวายเสียก่อนจึงทำให้เขาลืมถามเรื่องสำคัญไป
“จะว่าไปไอ้เรื่องอ่านความทรงจำนั้น เธอเห็นไปมากแค่ไหนกันแน่ ตั้งแต่ฉันเกิดเหรอ?
“อะไรน่ะ ทำไม่ถึงเพิ่งมาถามเอาตอนนี้ล่ะ ก็นะ มันก็ไม่ได้เห็นทั้งหมดหรอก ถ้านับจริงๆ ก็แค่ตอนที่อยู่โลกนี้ล่ะนะ เรื่องก่อนหน้านั้นน่ะไม่รู้หรอก”
“…”
“อะไรอีกล่ะ มาถามแท้ๆ แต่ดันทำเงียบเนี่ย”
“ดันเห็นตอนฉันทำอาหารเข้าสินะ ช่างเถอะ ฉันจะรับข้อเสนอนั้นก็แล้วกัน”
“แจ๋ว!”
ไดอาน่าส่งเสียงน่าสงสัยออกมาเมื่อเห็นว่าทัตสึยะยอมรับข้อเสนอนั้น
“นี่เธอ…ทำอาหารไม่เป็นสินะ”
“หุบปากแล้วรีบๆ ไปทำอาหารเย็นซะ! ฉันหิวไส้จะขาดแล้ว!”
เมื่อรู้เหตุผลที่แท้จริงแล้วทัตสึยะก็ไม่ได้พูดถากถางเธอต่อ เขาหยิบถังไม้ที่ใส่ปลาเอาไว้ของไดอาน่าขึ้นมาก่อนจะเดินกลับเข้าไปใต้ท้องเรือ ด้านในเรือลำนี้มีของครัวเล็กๆ อยู่ ถึงจะมีแค่เตาก็เถอะ ของอื่นๆ ที่วางอยู่ก็มีแค่เกลือกับถ้วยและเครื่องครัวนิดหน่อย
“นอกจากปลาย่างเกลือแล้วก็คิดอย่างอื่นไม่ออกเลยแฮะ ถึงจะมีกระทะก็เถอะ”
พอคิดไปคิดมาทัตสึยะเลยเดินไปที่กล่องไม้เพื่อตรวจสอบบางอย่าง ในกล่องไม้ที่เรือลำนี้บรรทุกมาเมื่อลองตรวจสอบตัวเนตรแห่งความจริงแล้วก็พบว่าด้านในมีพริกไทยกับเนยอยู่ด้วย
เมื่อเห็นเช่นนั้นทัตสึยะไม่รอช้าแกะกล่องสินค้าพวกนั้นแทบจะในทันที
“เพราะเป็นเมืองหนาวสินะถึงได้ขนส่งเนยได้ปกติแบบนี้ แล้วก็นี่…”
ที่ทัตสึยะหยิบขึ้นมาด้วยอีกอย่างคือขวดแก้วสีใสขนาดใหญ่ที่ด้านในเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงที่ส่งกลิ่นฉุนเป็นเอกลักษณ์
“พอเห็นแบบนี้เข้าก็รู้เลยว่าที่ยัยไดอาน่าบอกว่าเมืองนั้นขึ้นชื่อด้านการทำไวน์เป็นเรื่องจริง คุณภาพสูงแบบนี้ฉันเองก็เพิ่งเคยเห็นเลยแฮะ”
เมื่อได้วัตถุดิบที่ต้องการมาจนครบหมดแล้วทัตสึยะจึงเตรียมการแล่ปลาที่ไดอาน่าตกมาได้ เขาล้างพวกมันด้วยน้ำเปล่าก่อนจะใช้มีดในครัวหั่นแล่เพื่อนำเครื่องในออก แต่ว่า…
“อะไรเนี่ย มีดนี่ทื่อชะมัด”
เขาวางมีดนั้นลงก่อนจะหันไปหยิบบาร์เกสต์ขึ้นมาแทน
“ขอโทษนะ แต่คงต้องฝากแกอีกแล้วล่ะคู่หู”
ทัตสึยะกล่าวเช่นนั้นก่อนจะใช้บาร์เกสต์ถอดเกล็ดและตัดหัวปลา เขาแล่เอาเครื่องในออก จากนั้นก็ใช้น้ำล้างพวกมันอีกครั้ง ไม่รู้เพราะอะไร น้ำที่หยดผ่านใบดาบมันดูราวกับเป็นน้ำตาที่ร่วงหล่น คงจะเจ็บปวดสินะ ทั้งที่ถูกตีขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อท่านผู้กล้า แต่กลับถูกนำมาใช้แล่ปลาเช่นนี้
“จะว่าไปแล้ว ปลาที่ยัยนั้นตกมาได้แม้ภายนอกจะดูไม่ออก แต่พอหั่นดูแล้ว…ยังไงนี่มันก็แซลมอนชัดๆ”
เขากล่าวออกมาเช่นนั้นหลังแล่เสร็จ ก่อนจะมองซ้ายขวาเพื่อตรวจสอบบางอย่าง
“ถ้าเป็นปกติก็คงทาเกลือแล้วก็เสียบไม้ย่างไปแล้ว แต่นี่มันบนเรือ ทำแบบนั้นไม่ได้”
สิ้นเสียงทัตสึยะก็ดีดนิ้วเพื่อใช้เวทไฟจุดลงไปที่กองถ่านด้านในเตา ระหว่างที่รอไฟติดบนถ่านเขาก็แล่ปลาต่อ เขาหั่นพวกมันตามแนวกระดูก จากนั้นก็หั่นให้เหลือชิ้นเล็กๆ ทาเนยลงบนกระทะ รอกระทะร้อนจนเนยละลายจากนั้นก็เอาเนื้อปลาวางลงไป
“โรยเกลือพริกไทย แล้วก็ใส่ไวน์ลงไปนิดหน่อย จากนั้นก็ปิดฝา”
เนื่องจากหาฝาสำหรับปิดไม่เจอ ทัตสึยะจึงตัดสินใจใช้จานใบใหญ่ปิดเอาไว้แทน ที่เหลือก็แค่รอเนื้อสุกจากนั้นก็กลับด้านจนและปิดฝา ขั้นตอนนี้ต้องระวังอย่าใช้เวลานานจนเกินไป
ใช้เวลาไม่นานกลิ่นหอมของเนยก็ลอยไปเตะจมูกของไดอาน่าจนตัวลอย เธอแอบย่องเข้ามาก่อนจะชำเลืองมองต้นกลิ่นที่อยู่ด้านในกระทะใบนั้น
“สะ เสร็จหรือยัง~”
ไดอาน่าส่องสายตาอันหิวโหยพร้อมน้ำเสียงชวนสยองมาทางทัตสึยะ
“อะไรน่ะ หิวขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าเจ้าของปลากำลังจ้องมาอย่างหิวโหยทัตสึยะจึงเปิดฝาที่ปิดอยู่พร้อมตักเนื้อด้านในออกมาจัดจานให้สวยงาม
ไดอาน่าที่ได้เห็นก็ตาลุกวาว แววตาของเธอนั้นส่องประกายระยิบระยับ ภาพนั้นอาจจะดูน่ารักขึ้นหากเธอไม่มีน้ำลายไหลยืดแบบนั้น
“มะ ไมใช่แค่ปลาย่างเกลือธรรมดา มันมีกลิ่นหอมแปลกๆ ด้วย”
“ไม่ต้องสาธยายหรอกนา”
“มันมีชื่อรึเปล่า?”
“ก็คงมีแหละ แต่เพราะฉันสนใจแค่ผลลัพธ์ก็เลยไม่ได้ใส่ใจเรื่องวิธีการเรียกเท่าไหร่”
“งั้นฉันจะกินแล้วนะ”
“เดี๋ยวก่อน เกือบลืมเลย”
“อะไรอีกล่ะ?”
“ออกไปนั่งกินบนดาดฟ้าเรือกันเถอะ”
“ทำไมล่ะ จะกินที่ไหนมันก็เหมือนกันนี่”
“บรรยากาศน่ะสำคัญนะรู้ไหม ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวคือเครื่องปรุงชั้นยอดเลยนะรู้ไหม”
ไดอาน่าขมวดคิ้วหลังได้ฟังคำพูดเช่นนั้นจากทัตสึยะ เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร จากนั้นทั้งสองจึงถือจานอาหารและเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ เมื่อทั้งสองเดินขึ้นมาจนถึงดาดฟ้าเรือไดอาน่าก็ตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏอยู่บนฟากฟ้า
ภาพของดวงดาวส่องประกายระยิบระยับ กับดวงจันทร์ที่สองแสงสว่างอย่างเด่นชัด
วินาทีนั้นแววตาของเธอก็มีเพียงภาพสะท้อนจากท้องนภายามราตรี
“อีกอย่าง เพราะคืนนี้เป็นคืนเดือนหงายด้วยละนะ”
หากเป็นในโลกเดิมแสงจันทร์คงจะกลบรัศมีดวงดาวจนหมด บางทีทิวทัศน์เหนือจินตนาการแบบนี้อาจเป็นหนึ่งในข้อดีไม่กี่อย่างของการถูกอัญเชิญมาต่างโลกก็ได้
ทัตสึยะคิดเช่นนั้นจากใจจริง
“ฉันไม่เคย…”
“หืม”
“ฉันไม่เคยได้มองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่สว่างชัดแบบนี้มาก่อน ทุกวันก็เข้านอนแต่หัวค่ำเพราะหวาดกลัวมอนสเตอร์ ตอนที่ออกเดินทางก็เอาแต่หวาดระแวงจนไม่ทันได้สนใจ บางคืนก็นอนบนรถม้า บางคืนก็นอนใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ที่บดบังแสงดาว ภาพความทรงจำเดียวที่มีก็คือวันที่ได้รับพร ท้องฟ้าก็เหมือนจะส่องแสงแบบนี้เหมือนกัน”
“งั้นเหรอ ถึงจะมีพลังที่ตรวจสอบความทรงจำของอื่นได้ แต่ก็ปิดกั้นพลังนั้นไว้กับตัวเองสินะ”
ทัตสึยะกล่าวกระซิบเสียงเบาเช่นนั้นขณะที่ไดอาน่าเริ่มตักเนื้อปลาเข้าปาก
“อร่อย~”
เธอกล่าวออกมาเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงดูมีความสุข มุมปากของเธอถูกยกขึ้นสูงเผยร้อยยิ้มอันสดใส แม้จะผ่านเรื่องราวร้ายๆ มามากมาย แต่โดยพื้นฐานแล้วไดอาน่าก็ยังคงเป็นเด็กที่ต้องการความสุขในชีวิต