ท่ามกลางกองเพลิงที่ลุกไหม้ปรากฏเป็นร่างเงาของใครบางคนที่เริ่มเข้าใกล้
ไดอาน่าที่ชำเลืองมองภาพนั้นสัมผัสได้ถึงสายลมอุ่นที่พัดผ่านแก้ม ราวกับจะปาดน้ำตาบนแก้ม ทันใดนั้นเพลิงที่ลุกไหม้ก็ถูกสายลมปริศนาพัดจนดับมอด เบื้องหลังเปลวเพลิงคือชายร่างสูงโปร่ง สวมชุดเกราะเบาสีเงินและผ้าคลุมสีดำ เส้นผมสีดำพัดปลิวไปตามสายลม ดวงตาสีแดงส่องแสงเรืองจาง ๆ
“ยุ่งไม่เข้าเรื่องซะจริงนะแก”
นักบวชเฒ่ากล่าวออกมาเช่นนั้นเมื่อเห็นใบหน้าของทัตสึยะเป็นครั้งที่สองของวัน
“จะถือว่าเป็นคำชมละกัน”
สิ้นเสียงศรพลังเวทไร้สีก็พุ่งตัดสายลมเข้าใส่ไหล่ขวาของนักบวชเฒ่า
“อั้ก!”
“แกเป็นตัวการจริง ๆ สินะ”
แม้จะไม่ได้ตั้งใจเล็งให้โดนจุดสำคัญ แต่แค่นั้นมันก็รุนแรงมากพอที่จะทำให้นักบวชเฒ่านั้นล้มลง
กาเบรียลเบิกตากว้างขณะนั่งมองกองเลือดของตัวเองที่ไหลนอง ถึงกระนั้นเขาก็พยายามดึงสติและพยุงร่างให้ลุกขึ้น
ไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว ศรเวทอีกดอกก็พุ่งตรงไปยังชายร่างใหญ่
เป้ง!
เสียงของบางสิ่งตกกระทบ ดาบในมือของชายคนนั้นถูกยกขึ้นมาปัดป้องจนศรเวทถูกเบี่ยงวิถีไปโดยกล่องไม้ที่วางอยู่ไม่ไกล จนของที่อยู่ด้านในกระเด็นออกมา
“คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะรอดไปได้รึไง!”
เสียงตะโกนดูไม่สบอารมณ์ของชายร่างใหญ่ตอบกลับมาเช่นนั้น ก่อนที่เขาจะใช้มือคว้าจับขวดแก้วที่หล่นมาจากกล่องไม้ที่เพิ่งแตกไปขึ้นมา
มันเป็นขวดแก้วใสที่บรรจุสิ่งที่คล้ายเมล็ดพืชสีน้ำตาลเข้มเอาไว้
“โทษทีนะตาลุง ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์เอามาเป็นของฝาก แต่ดูเหมือนว่าจะต้องสาธิตด้วยแล้วสิ”
ทันทีที่เห็นเมล็ดนั้นทัตสึยะก็ใช้พรทั้งสองของเขาเพื่อตรวจสอบมันในทันที แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นเพียงเงาจาง ๆ ไม่ต่างจากตอนที่เขาพยายามมองเจ้ามังกรเลย แต่ที่แตกต่างคือมันไม่ได้ไร้ตัวตนแบบเจ้ามังกร เรียกว่าเหมือนมีบางสิ่งเข้ามาเจือปนจึงทำให้พลังของมังกรเบาบางลง
ชายคนนั้นไม่รอช้า เขาบีบขวดแก้วจนแตกก่อนจะหยิบเมล็ดปริศนานั้นเข้าปากแทบจะในทันที
“หึ”
แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่เปลี่ยนไป แต่มีบางสิ่งที่แตกต่าง ทัตสึยะกำบาร์เกสต์ในมือแน่น ทันใดนั้นภาพของคนตรงหน้าก็หายไป ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกโพลง เขาค่อย ๆ กวาดสายตาอย่างระวัง สูดลมหายใจเข้าเป็นจังหวะช้าลง พอทำเช่นนั้นมันก็ราวกับเห็นเงาของใครบางคนวิ่งพล่านไปทั่วห้อง ทันใดนั้น——
เป้ง!——
เสียงคมดาบเข้าปะทะ ประกายไฟสีส้มสาดกระเซ็น ชายร่างให้ปรากฏร่างที่มุมอับสายตาของทัตสึยะก่อนจะพุ่งกระโจนเข้าใส่อย่างสุดแรง แต่กลับถูกทัตสึยะปัดป้องการโจมตีนั้นได้
“งั้นเหรอ งั้นเหรอ งั้นเหรอ แกเองก็เป็นพวกมีพรสินะ ได้เลย เดี๋ยวฉันจะแสดงให้ดูว่าพรของแกกับของฉันใครจะเหนือกว่า”
ใบหน้าที่พูดประโยคนั้นฉีกยิ้มกว้างจนดูสยอง ดวงตาเองก็เบิกกว้างแต่รูม่านตากลับเล็กลง พอมาสังเกตดูดี ๆ วิธีพูดก็ดูจะผิดแปลกไปเหมือนกัน
“อะไรน่ะไอ้หมอนี่”
พอตั้งข้อสงสัยสิ่งที่ผุดขึ้นมาก็คือเมล็ดที่กินก่อนหน้า ทัตสึยะตวัดดาบในมือก่อนจะกระโจนออกมาเพื่อตั้งหลัก
“ออร่าของเจ้านั่นเปลี่ยนไป”
ชายปริศนาสะบัดข้อมือที่ถือดาบก่อนจะเปลี่ยนไปถือด้วยมืออีกข้าง เขาหันมองทัตสึยะด้วยรอยยิ้มชวนสยองก่อนจะหายไปอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนั้นทัตสึยะจึงต้องหยุดคิดและหันมารับมือกับสิ่งตรงหน้า ทันใดนั้นหินเวทสีแดงทั้งสามที่ติดอยู่บนเกราะแขนและขาก็เริ่มส่องแสง
“ไลท์นิ่ง บูส”
สิ้นคำกล่าวสั้น ๆ ร่างของทัตสึยะก็กระโจนหายไปทิ้งไว้เพียงเส้นแสงไฟสีเงินที่วิ่งไปตามทาง นั่นคือกลไกที่ดวอร์ฟติดทิ้งไว้ตามคำขอของทัตสึยะ โดยมีหินเวทชนิดพิเศษของทัตสึยะเป็นสื่อกลางเพื่อร่ายเวทที่ถูกบันทึกไว้ก่อนหน้า
“น่าสนใจ น่าสนใจ น่าสนใจ!”
ทั้งสองร่ายรำเพลงดาบใส่กันด้วยความเร็วขณะที่เปลี่ยนที่ไปเรื่อย ๆ ได้ยินเสียงคมดาบที่ฟาดฟันนับครั้งไม่ถ้วน จนตอนนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นมันทำให้กล่องไม้มากมายแตกออก เผยให้เห็นสิ่งที่เรือลำก่อนหน้าขนมา แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงผลไม้และเครื่องเทศทั่วไป แต่ท่ามกลางของเหล่านั้นมีขวดแบบเดียวกับที่ชายปริศนาใช้มีมากมาย
พอเห็นเช่นนั้นแล้วคงเดาได้ไม่ยากว่าที่ขนผลไม้กับเครื่องเทศมาคงเพื่อตบตาพวกทหารที่มาตรวจสอบ ไม่ก็เป็นที่นี่แหละที่ผลิตและเตรียมจะส่งออก
ไดอาน่าแกะเชือกที่มัดไม่เสร็จออกจากข้อมือก่อนจะพยุงร่างอันหมดแรงให้ลุกขึ้น ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ
เด็กสาวปาดน้ำตาบนแก้มพร้อมหยิบขวดแก้วที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา
เธอจ้องมองเมล็ดสีน้ำตาลเข้มที่บรรจุอยู่ด้านใน
ทันใดนั้นความรู้สึกบางอย่างมันก็เข้าจู่โจม บางอย่างบอกให้เธอสัมผัส
ไดอาน่าค่อยเปิดฝาขวดพร้อมดึงถุงมือขวาออกเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงสัมผัสเมล็ดปริศนาด้วยมือเปล่า…
ชั่ววินาทีที่สัมผัส ภาพความทรงจำอันแปลกประหลาดก็ไหลผ่าน แม้จะไม่แน่ใจถึงภาพที่เห็น แต่ภายในหมู่เมฆความทรงจำอันเลือนมีใบหน้าของคนที่เธอคุ้นเคยปะปนอยู่ เหล่าเด็กจากบ้านเด็กกำพร้า และใบหน้าของเธอจากมุมมองของเจ้าของความทรงจำ…
เธอเห็นทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มต้น ได้เห็นคำพูดที่ใช้หว่านล้อมและหลอกล่อ ไม่ได้มีเพียงแค่สองคนที่ถูกขาย ในภาพเหล่านั้นยังมีอีกหลายคนที่ถูกจับมา พวกมันหลอกใช้ความปรารถนาอันบริสุทธิ์ของเหล่าเด็กน้อยแปรเปลี่ยนเป็นบางสิ่งที่น่ารังเกียจ
เด็กสาวที่ได้เห็นหอบหายใจระรัวราวกับกำลังหวาดกลัว บางสิ่งที่ชั่วร้ายแพร่สะพัดออกมาจากเมล็ดปริศนา เธอรีบดึงสติกลับมาก่อนจะกระโจนออกไปด้วยความโกรธ เสียงกัดฟันของเธอมันดังออกมาพร้อมกับหน้าไม้ที่บรรจุศร
“แกทำอะไรกับพวกเขา!”
เธอพุ่งเข้าใส่นักบวชเฒ่าอย่างเดือดดาล หน้าไม้ในมือถูกยกชี้กาเบรียลด้วยแววตาที่โกรธแค้น
“อ้าก!”
เธอใช้เท้าเหยียบซ้ำที่แผลบนไหล่ของนักบวชเฒ่า
“หึ น้ำหน้าอย่างเธอน่ะเหรอจะกล้าเหนี่ยวไก”
กาเบรียลยังคงมั่นใจในความไร้เดียงสาของไดอาน่า
“พูดออกมา!”
“อ้าก!”
เท้าของไดอาน่าเพิ่มแรงขึ้นทำให้เลือดของนักบวชเฒ่าไหลไม่หยุด
“ยังไม่เข้าใจอีกงั้นเหรอ ทั้ง ๆ ที่เธอน่าจะรู้ดีที่สุด”
เด็กสาวได้เพียงขบฟันแน่นหลังจากได้ยินสิ่งนั้นจากปากของกาเบรียล
“ก็บอกไปแล้วไง พวกแกน่ะมันก็แค่สินค้ามือสองที่ไม่มีใครอยากได้ การที่ถูกขายให้เพื่อทำเงินให้โบสถ์ก็น่าจะเป็นความภูมิใจสูงสุดแล้วไม่ใช่รึไง!”
“ไม่ใช่! พวกเราไม่ใช่แหล่งทำเงินของแก พวกเราทุกคนมีความฝัน! มีเรื่องที่อยากทำ มีคนที่อยากเจอ…อยากจะออกเดินตามความฝันด้วยขาของตัวเอง แต่แกกลับหลอกพวกเรา! มอบรอยยิ้มและความสุขปลอม ๆ ให้ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่านั่นคือความภูมิใจอีก!”
“เพราะแบบนั้นไงพวกถึงได้เป็นที่ต้องการ ถูกปลูกฝังความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แล้วใช้ความรู้สึกเหล่านั้นเพื่อเติมเต็มเมล็ดพันธุ์แห่งพร”
“แก! ทั้งหมดก็เพื่อเรื่องแค่นี้เหรอ ทุกอย่างที่แกทำมันเพื่อเรื่องแค่นี้เหรอ! ทั้ง ๆ ที่พวกเราเชื่อแบบนั้น เชื่อว่าสักวันจะได้ไล่ตามความฝัน แต่แกกับใช้มันเพื่อหลอกพวกเรา”
“อ้าก!”
ไดอาน่ากัดฟันแน่นด้วยความโกรธพร้อมเพิ่มแรงเหยียบ แววตาของเด็กสาวร่างเล็กนั้นไม่ปรากฏความลังเลอีกต่อไป เธอสะบัดความรู้สึกประหลาดที่เต้นอยู่ในอกทิ้งไป ก่อนจะสบตากับบาทหลวงเฒ่าโดยไม่ถอยหนี
“ละ แล้วจะได้อะไร ถะ ถ้าแกฆ่าฉันแล้วจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ!”
กาเบรียลที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรที่ไม่ควรออกไป พยายามดิ้นรนเปิดปากถามอย่างสั่นกลัวหลังได้สบตาคู่นั้นของไดอาน่า
“ความภูมิใจของฉันไง”
สิ้นเสียงกล่าวกระซิบไดอาน่าก็ลั่นไกหน้าไม้ในมืออย่างเงียบ ๆ
ศรธรรมดาที่ถูกยิงในระยะประชิดพุ่งทะลุกลางหัวของนักบวชเฒ่า ดับลมหายใจอันน่ารังเกียจลงอย่างเงียบสงัด…
เด็กสาวผู้สูญเสียทรุดลงแทบพื้นเย็นเฉียบ ในแววตาตอนนี้นั้นดูสับสน เธอหลั่งน้ำตาอีกครั้ง ก่อนที่มือขวาของเธอจะค่อย ๆ แบออก เผยให้เห็นว่าเธอกำเจ้าเมล็ดสีน้ำตาลไว้แน่น…
…
“ไม่เลว ไม่เลว ไม่เลว! ตามความเร็วของทางนี้ทันด้วยงั้นสินะ”
การโจมตีของชายปริศนาเร็วขึ้นอย่างน่าประหลาด แม้ทัตสึยะจะเสริมความเร็วด้วยเวทมนตร์แต่ฝั่งนั้นกลับค่อย ๆ เร็วขึ้น
“เจ้านั่นเหมือนกับว่าไม่ใช่คนคนเดียวกับก่อนหน้านี้เลย”
ความคิดเช่นนั้นปรากฏขึ้นในหัว เมื่อเห็นว่าความเร็วของตัวเองอาจจะตามไม่ทันเขาจึงเปลี่ยนไปใช้ความคล่องตัวแทน ทัตสึยะวิ่งผ่านรังไม้และใช้ความได้เปรียบตามสถานที่
เขากระโดดหลบไปมาในขณะที่ฝั่งนั้นทำได้เพียงโจมตีอย่างไร้ความคิด
ชั่วขณะที่รังไม้ถูกทำลาย สิ่งของที่อยู่ด้านในก็แตกกระจายเกลื่อนพื้น พริบตานั้นทัตสึยะมองเห็นความผิดปกติบางอย่างในชั่วพริบตา
ฝีเท้าของชายปริศนานั้นช้าลง แม้จะเร็ว แต่ตัวเขาเองกลับหลบสิ่งกีดขวางไม่หมด สิ่งนั้นมันราวกับว่ายังไม่ชินหรือชำนาญในพลังนั้น ชั่วพริบตานั้นทัตสึยะก็ฉุกคิดได้ถึงความเป็นไปได้บางอย่าง
ฝีเท้าของเด็กหนุ่มกระโจนขึ้นเหนือพื้น บาร์เกสต์ในมือเปลี่ยนเป็นคันธนู ศรเวทถูกง้างอย่างฉับไว ทันใดนั้นจึงถูกปล่อย พลังทำลายของมันไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็มากพอจะทำลายพื้นด้านล่าง
วินาทีที่พื้นหินแตกกระจายความเร็วของชายร่างใหญ่ก็เริ่มช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ช่วงจังหวะเพียงเล็กน้อยนั้นทัตสึยะไม่ปล่อยให้หลุดลอย เขารวบรวมมวลพลังเวทเป็นศรดอกที่สอง
แต่ก่อนที่จะได้ปล่อยคันศร ออร่าสีดำที่ปกคลุมร่างนั้นอยู่ก็แปรผัน แม้จะเพียงชั่วขณะแต่ดวงตาคู่นั้นที่จับจ้องเด็กหนุ่มมันคล้ายกับแววตาของเจ้ามังกรที่มองมายังเขา
ทันทีที่เห็นเช่นนั้นหัวใจมันก็ราวกับถูกบีบ วินาทีนั้นทัตสึยะก็พอจะเดาออกแล้วว่าออร่าแบบนั้นเกิดขึ้นจากอะไรเขาหอบหายใจในขณะที่มือสั่นเทา มีบางอย่างที่รู้สึกไม่ปกติ แต่กระนั้นศรในมือก็ยังถูกปล่อย
“อ้าก!”
ศรเวทพุ่งตัดทะลุมือที่กำดาบ ทำให้มือข้างนั้นไม่สามารถจับอาวุธไว้ได้
เสียงของดาบที่หลุดมือตกกระทบกับพื้นหินที่แตกออก ถึงอย่างนั้นในแววตาที่ราวกับสัตว์ร้ายนั้นก็ไม่พบกับความคิดที่จะยอมถอย
ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจเล็งไปที่มือแต่แรก แต่เป็นเพราะความรู้สึกนั้นจึงทำให้เขาพลาดเป้าไปนิดหน่อย สิ่งที่ทัตสึยะต้องการจริง ๆ นั้นคือการยิงที่ขาเพื่อให้เขาหยุดการเคลื่อนไหว แม้จะไม่ได้เป็นไปตามที่คิดไว้แต่ผลลัพธ์มันกลับเหลือนกัน
“เมื่อกี้นี่มัน…”
ทัตสึยะหอบหายใจอยู่ชั่วขณะก่อนที่เสียงหายใจจะเบาลง เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะเดินอย่างใจเย็นเข้าไปหาร่างของศัตรู
“เป็นอย่างที่คิดสินะ”
“ยังหรอก ยังหรอก ยังหรอก!”
พอได้ยินแบบนั้นทัตสึยะจึงยิงศรเวทซ้ำเข้าที่ข้อเท้าอีกหนึ่งนัด เมื่อทำเช่นนั้นดูเหมือนชายร่างใหญ่เองก็จะหมดสภาพ
“ดูเหมือนว่าความเร็วเมื่อกี้จะเป็นพลังแบบเดียวกับพรศักดิ์สิทธิ์สินะ ดูแกจะไม่คุ้นชินกับพลังนั้นเท่าไหร่ คงเป็นเจ้าเมล็ดนั่นล่ะสิที่เป็นเจ้าของพลังจริง ๆ”
“มันยังไม่จบ”
เขาพูดออกมาเช่นนั้นพร้อมเอื้อมมือออกไปพยายามหยิบเจ้าขวดแก้วอีกขวดที่ตกอยู่ไม่ไกล
“ไม่ มันจบไปตั้งแต่แกเลือกใช้พลังที่ไม่คุ้นเคยแล้ว”
ทัตสึยะเดินไปเขี่ยขวดแก้วออกจากมือชายร่างใหญ่ ก่อนเอื้อมมือไปหยิบบางสิ่งออกจากเสื้อคลุมของชายคนดังกล่าว
“เดาว่าแกคงไม่ใช่พวกยศใหญ่โตอะไรสินะ ถ้าเทียบกับไอ้แก่นั่น”
ทัตสึยะได้หยิบเครื่องประดับคล้ายกับของที่นักบวชกาเบรียลมีอยู่ขึ้นมาจากชายร่างใหญ่
มันเป็นเข็มกลัดที่ถูกประดับประดาสวยงาม แต่พอมองดูดี ๆ แล้วกลับมีลักษณะคล้ายหัวของบางสิ่ง ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ดูดีเท่ากับอันที่กาเบรียลติดเอาไว้
“องค์กรที่อยู่เบื้องหลังการซื้อขายเด็กกำพร้าเพื่อจำลองพรปลอม ๆ ส่วนแกก็คงเป็นนายหน้าสินะ แบบนี้มันพวกแก๊งขายยาเสพติดเลยไม่ใช่รึไง”
ทัตสึยะโยนเข็มกลัดนั้นทิ้งก่อนจะหันหลังและเดินไปทางไดอาน่าที่อยู่อีกฝั่งของท่าเทียบเรือ
“เสียงระเบิดเมื่อกี้คงเรียกพวกทหารมาอีกไม่นาน ระหว่างนั้นแกก็นอนตรงนั้นไปละกัน”
“ฝันไปเถอะ…”
สิ้นเสียงกระซิบนั้นราวกับได้ยินบางอย่างแตกออก เมื่อทัตสึยะหันกลับไปมองร่างของชายปริศนาก็พบว่าเขานอนดิ้นทุรนทุราย ดวงตานั้นกระตุกก่อนจะเบิกกว้างอย่างน่าประหลาด ปากเองก็สั่นกระตุกพร้อมฟองน้ำลายที่ไหลทะลัก
ทัตสึยะที่เห็นได้เพียงยืนดูอย่างช่วยไม่ได้
“หน็อย ซ่อนยาพิษเอาไว้งั้นเหรอ แล้วทางฝั่งนั้นล่ะ”
พอหันไปก็พบกับไดอาน่าที่นั่งทรุดลงกับพื้น เมื่อเห็นเช่นนั้นทัตสึยะจึงเดินเข้าหาอย่างเงียบ ๆ
“…”
“ทำไมถึงกลับมาช่วยฉันล่ะ”
“ก็เธอรู้ความลับฉันแล้วนี่นา ขืนปล่อยไปมีหวังถูกรีดข้อมูลหมดแน่”
“แล้วจากนี้นายจะเอายังไงต่อ…”
“ก็คงออกจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุด แล้วค่อยไปลงทะเบียนที่กิลด์ถัดไป”
“ถ้าจะลงทะเบียนลงที่นี่ก็ได้นิ”
“เกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนี้คิดว่าทางเจ้าเมืองจะปล่อยฉันไปรึไง”
“นั่นสินะ นายนี่มันตัวปัญหาจริง ๆ ด้วย”
เด็กสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หมดแรง เธอไม่แม้จะหันมาสบตากับทัตสึยะเสียด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นทัตสึยะก็พอจะเดาออกว่าตอนนี้เธอมีสีหน้าเป็นเช่นไร
“แล้วเธอล่ะ จะอยู่ที่นี่ต่องั้นเหรอ”
ไดอาน่าเงียบลงครู่หนึ่ง เธอมองร่างอันเย็นเฉียบของชายชราตรงหน้าก่อนจะเปิดปากพูด
“ไม่ได้พบกันเสียนาน สบายดีสินะ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงของใครบางคนดังมาจากทางด้านหลังของทัตสึยะอีกที
ไดอาน่ารู้จักเสียงนั้น เธอหันกลับไปมองก่อนจะพบกับใบหน้าอันคุ้นเคย
“แม่ชีลูน่า…ทำไมคุณถึง…”
หญิงสาววัยกลางคนปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง เธอสวมสุดแม่ชีสีขาวตัดดำปกปิดเรือนร่างที่บอบช้ำ ถึงกระนั้นก็ยังมองเห็นรอยแผลมากมายบนร่างที่น่าจะเกิดตอนถูกจับขัง
“ก่อนเข้ามาที่นี่ฉันตรวจสอบห้องทุกห้องมาแล้วน่ะ แล้วก็เจอเธอคนนี้ถูกมัดไว้ในนั้น”
“ต้องขอบคุณท่านอีกครั้งที่ให้ความช่วยเหลือ”
แม่ชีในชุดชาวดำโค้งคำนับให้ทัตสึยะอย่างยินดี ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาไดอาน่าที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่รู้เบื้องหลังของหัวหน้านักบวช ถึงต่อจากนี้จะลำบากเพราะไม่มีคนมารับตำแหน่งหัวหน้านักบวช แต่เดี๋ยวฉันจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านเจ้าเมืองฟังเอง เพราะงั้นไม่ต้องห่วงนะ”
คุณแม่ชีโอบกอดไดอาน่าที่ไร้เรี่ยวแรงอย่างอบอุ่น เธอรู้ดีว่าไดอาน่านั้นรู้สึกเช่นไร ความกังวลและผิดหวังส่งผ่านออกมาจากใบหน้าของเด็กสาวอย่างชัดเจน
“ฉันทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง…ทำในเรื่องที่ไม่อาจให้อภัย”
“ไม่เป็นไร เธอไม่ผิดหรอก”
คุณแม่ชีเหลือบมองทัตสึยะ ก่อนจะสบตาและเริ่มพูดบางอย่างกับเขา
“ช่วยพาเด็กคนนี้ไปด้วย…ได้รึเปล่าคะ”
“…”
“อาจจะฟังดูเหมือนการหนีปัญหา แต่ว่าฉันไม่อยากให้เด็กคนนี้ต้องมาแบกรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ”
“จะดีเหรอ แบบนั้นน่ะ”
“เดิมทีท่านเจ้าเมืองก็เป็นคนเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว เผลอ ๆ จะมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ซะด้วยซ้ำ”
“แล้วพวกเด็ก ๆ …”
“ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าคิดถึงเมื่อไหร่ก็แวะมาได้เสมอเลย”
“ตะ แต่จะให้ฉันทิ้งคุณไว้…ไม่ได้หรอก…”
“ถ้าเอาแต่อยู่ที่นี่ มันไม่ทำให้ความฝันของเธอเป็นจริงขึ้นมาหรอกนะ เพราะงั้น ถึงเวลาแล้วล่ะ ที่จะกางปีกบินด้วยตัวเอง”
“…”
เธอกล่าวเช่นนั้นก่อนจะหันกลับมาหาทัตสึยะอีกครั้ง
“หากจะรีบออกจากเมืองตอนนี้ ฉันขอแนะนำให้ใช้เรือขนสินค้าตรงนั้นค่ะ เรือลำนั้นน่าจะเตรียมการออกเรือไว้แล้ว หากแล่นไปตามทางน้ำยังไงก็คงไปถึงเมืองดอลเบลที่อยู่ถัดจากนี้ในไม่กี่วัน”
“นั่นสินะ ผมเองก็คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน”
“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เดี๋ยวฉันจะรับหน้าให้เอง ฉันจะพยายามบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่เอ่ยถึงพวกคุณทั้งสองค่ะ”
“จริงด้วย เกือบลืมไปเลย ตอนกลับไปที่โบสถ์น่ะ อย่าลืมไปตรวจสอบช่องลับใต้ที่นั่งด้วยละกัน ดูเหมือนเจ้าบาทหลวงนั่นจะซ่อนอะไรไว้อีกเยอะเลย คิดว่าน่าจะพอช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายได้สักพัก แล้วก็ถ้าไม่ติดอะไรจะใช้เงินพวกนั่นปิดปากคนที่รู้เห็นก็ได้”
“ขอบพระคุณมากค่ะ”
คุณแม่ชีโค้งคำนับอีกครั้ง
ไดอาน่าที่เห็นก็อดไม่ได้ที่จะพูดจาแขวะทัตสึยะ
“อะไรกัน เป็นผู้กล้าประสาอะไรเนี่ย”
“หนวกหูน่า”
ทัตสึยะที่ไม่คิดจะเถียงกลับไดอาน่าต่อรีบหันหลังเดินขึ้นเรือไม้สองกังหัน
“แล้วตกลงจะไปไหม”
ขณะที่กำลังเดินขึ้นเรือไปทัตสึยะก็หันกลับมาถามเช่นนั้นด้วยสีหน้าที่เธอเองก็เห็นมันมาตลอด เด็กสาวชำเลืองมองคุณแม่ชีอีกครั้ง ก่อนจะเห็นว่าใบหน้านั้นมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี เมื่อได้รับคำยืนกรานเช่นนั้นมันจึงทำให้เธอสบายใจขึ้น
“ฉันไม่จำเป็นขออนุญาตนาย”
เด็กสาวตอบกลับเช่นนั้นอย่างร่าเริงก่อนจะกระโจนขึ้นเรือไปเช่นกัน
หลังจากเดินขึ้นเรือไปทัตสึยะก็เดินตรงไปที่พังงาเรือ แต่ตอนนั้นเองเขาก็สะดุดตากับบางสิ่งที่ว่าอยู่ใกล้ ๆ กัน มันเป็นเพียงหนังสือปกแข็งเล่มสีแดงดูเก่า ๆ เพียงแต่เขานั้นจำได้ว่าปกแบบนี้เคยเห็นที่ไหน มันเป็นปกแบบเดียวกับหนังสือบันทึกการเดินทางของผู้กล้า
เมื่อหยิบขึ้นมาตรวจสอบก็พบว่ามันเป็นของจริง เป็นบันทึกส่วนที่หายไปจากห้องสมุดหลวงของมิเนเรีย
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
ทัตสึยะตั้งคำถามกับตัวเอง เขามองดูเจ้าหนังสือนั่นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนจะคิดถึงความเป็นไปได้สุดเลวร้ายที่อาจจะเป็นไปได้
“มีใครบางคนกำลังบงการฉันอยู่งั้นเหรอ? แบบนี้มันไม่ตลกแล้วนะเฮ้ย”
“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่รีบออกเรือล่ะ”
ไดอาน่าที่เห็นทัตสึยะนิ่งเงียบไปก็ได้เข้ามาถามไถ่ ก่อนที่เธอจะสังเกตสิ่งที่ทัตสึยะถือเอาไว้ในมือ
“นี่มันหนังสือของทางโบสถ์นี่นา ทำไมถึงมาอยู่กับนายได้ล่ะ?”
เธอกล่าวถามออกมาเช่นนั้นด้วยความสงสัย
“ของทางโบสถ์เหรอ?”
“ก็เป็นนิทานที่พวกเด็ก ๆ ชอบฟังก่อนนอน ฉันเองตอนเด็ก ๆ ก็เคยฟัง”
ดูเหมือนว่าทัตสึยะอาจจะคิดมากเกินไป มันอาจจะเป็นของที่นักบวชเฒ่าหยิบมาเพื่อต้องการส่งให้ใครบางคนก็ได้ พอคิดได้แบบนั้นทัตสึยะจึงสะบัดความสงสัยทิ้งไปก่อนจะคิดไปว่ามันอาจจะเป็นโชคดีของเขาเองก็ได้ที่มาเจอของที่ตามหาเร็วขนาดนี้
“ช่างเถอะ ออกเรือได้แล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นเชือกที่ผูกเอาไว้กับท่าเทียบก็ถูกปลดออก พร้อมกันนั้นกังหันทั้งสองก็ค่อย ๆ หมุนส่งเรือที่จอดสนิดให้แล่นออกไปทีละนิด
“ว่าแต่นายขับเจ้านี่เป็นด้วยเหรอ?”
“ไม่เป็น แต่เดี๋ยวจะลองดู”
“หา! รีบส่งพังงามาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“อะไร เธอจะทำอะไร”
“อย่างน้อยฉันก็ใช้พรอ่านความทรงจำของเรือลำนี้ได้ ถึงจะไม่ได้ชำนาญเลยทันที แต่ก็ยังดีกว่าให้นายมาขับก็แล้วกัน”
ทั้งสองทะเลาะกันเสียงดังเรื่องบังคับเรือ จนแม่ชีลูน่าที่ยืนมองอยู่บนท่าเทียบได้ยิน เมื่อเห็นว่าไดอาน่ายังคงร่าเริงเธอก็ผล็อยยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะกล่าวกระซิบอย่างแผ่วเบา
“ขอฝากเด็กคนนั้นด้วยนะคะ”
เธอเฝ้ามองเรือที่แล่นออกไปช้า ๆ โดยไม่ละสายตา จับจ้องจนกระทั่งเรือลอยลับสายตาไป เฝ้ามองความเป็นไปได้มากมายที่เด็กสาวจะนำพามาสู่สถานที่ที่เรียกว่าบ้าน