“น่าโมโห น่าโมโห หน็อยไอ้เวรนั่น บังอาจมาพูดลอย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ”
ใช่แล้วอย่างที่เธอพูดออกมา เพราะตั้งแต่ที่เริ่มจำความได้ ไดอาน่าก็อยู่ที่โบสถ์หลังนั้นแล้ว ถูกเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นที่นั่น ความทรงจำที่มีอยู่ตอนอาศัยในบ้านเด็กกำพร้า มีเพียงเรื่องดี ๆ ที่ทุกคนมอบให้
ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่อยู่ที่นั่น ยังมีอีกหลายคนที่เติบโตมาเช่นเดียวกับเธอ เมื่อลองถามกับหัวหน้านักบวชในสมัยวัยเด็ก ว่าจริง ๆ แล้วตัวเธอนั้นมีที่มาเป็นเช่นไร ท่านก็จะยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะตอบกลับเด็กสาวอย่างจริงใจ
“นั่นสิน้า จำได้ว่าตอนนั้นมีนักผจญภัยคนหนึ่งมาขอให้รับเธอไว้น่ะ”
“งั้นหนูก็เป็นลูกของนักผจญภัยงั้นเหรอ?”
“เห็นเขาบอกว่าไม่ใช่ รู้สึว่านักผจญภัยคนนั้นจะเจอตะกร้าเด็กทารกตกอยู่ในป่าใกล้ ๆ กับกำแพงเมืองน่ะ เขาก็เลยเก็บกลับมาด้วย แต่เพราะตัวเองเป็นเพียงนักผจญภัยจึงมิอาจเลี้ยงดูทารกน้อยได้ เขาผู้นั้นจึงนำเด็กน้อยคนนั้นมาฝากไว้กับฉันที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงนักบวชชั้นกลาง”
แม้จะดูเป็นเพียงเรื่องราวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่เด็กสาวผู้ไร้เดียงสาเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกขอบคุณและยกย่องนักผจญภัยปริศนาคนนั้น แววตาของเธอเองก็เปล่งประกายเจิดจ้า ดูเหมือนเธอเองจะพบกับสิ่งที่เรียกว่าความฝันเข้าแล้ว
“ฉันถูกบอกมาแบบนั้น และมันไม่ใช่คำโกหก ฉันรู้ดี”
เสียงบ่นพึมพำของไดอาน่าดังแผ่วไปตามทางที่เดินผ่าน พร้อมกันนั้นเธอก็ใช้เท้าเตะก้อนหินกรวดเล็ก ๆ ตามทางเพื่อระบายความหงุดหงิดในใจ
“เอาไงดี จะไปไล่ถามข้อมูลจากทุกคนในเมืองมันก็เสียเวลาเกินไป แต่ถ้าให้กลับไปขอโทษไอ้หมอนั่นล่ะก็ฝันไปเถอะ”
เด็กสาวยังคงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ขณะที่เดินไปตามท้องถนนที่ไร้ผู้คน
“เอ๊ะ จะว่าไม่มันไม่เงียบไปหน่อยเหรอวันนี้”
พอคิดได้ไดอาน่าก็หันซ้ายขวาอย่างสงสัย
“คิดไปเองรึเปล่านะ”
เด็กสาวกระซิบกล่าวออกมาเช่นนั้นก่อนจะหันกลับมายังทิศเดิม แต่ทันใดนั้นมันก็มีสิ่งที่ทำให้เธอต้องรู้สึกประหลาดใจ บาทหลวงกาเบรียลกำลังเดินออกจากโบสถ์และไปที่ไหนสักแห่ง พอเห็นแบบนั้นประกอบกับคำพูดของทัตสึยะที่ยังวนเวียนในหัวเธอจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาโดยพลัน
“ท่านลุง…จะออกไปไหนในเวลาแบบนี้กันนะ”
พอลองนึกถึงความเป็นไปได้ที่มีเธอจึงค่อย ๆ เดินตามบาทหลวงไปโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว
“ขอโทษนะคะ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจ แต่นี่ก็เพื่อตัวท่านเอง”
“หึหึ…”
ทันทีที่เด็กสาวเดินหลุดไปจากถนนเส้นหลักของเมืองมันก็ราวกับได้ยินหัวเราะอันแผ่วเบาดังมาจากคนที่เธอเพิ่งเดินผ่านไป ไดอาน่ารีบหันมองต้นเสียงนั้นทันทีโดยไม่ตั้งใจ แต่เมื่อหันกลับไปมันก็ทำให้เธอต้องรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง เพราะบนถนนเส้นนี้ไม่มีใครนอกจากเธอ สิ่งที่เห็นในชั่วพริบตานั้นเธอมั่นใจว่าเป็นผู้หญิงรูปร่างสูง แต่เพราะชุดคลุมและหมวกทรงสูงทำให้มองไม่เห็นใบหน้าหรือจุดสังเกตอื่น ๆ เลย
“ไม่สิ แล้วคุณลุงล่ะ”
เด็กสาวที่ตั้งใจจะสะกดรอยตามแต่ดันทำพลาดเสียได้ เธอพยายามกวาดสายตามองหาเป้าหมายที่หายตัวไปจากสายตา ทันใดนั้นเธอก็เห็นสิ่งที่คล้ายกับผ้าสีขาวที่ขยับอยู่ปลายสายตา แม้จะไม่มั่นใจแต่มันก็มีความเป็นไปได้
ไดอาน่าตั้งสติอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังทิศทางเดียวกับผ้าสีขาวนั่น
โดยที่ตัวเธอนั้นไม่รู้เลยว่าคนที่เห็นก่อนหน้านั้นไม่ใช่ภาพลวงตา
ที่เหนือขึ้นไปบนหลังคาบ้านบริเวณนั้น มีหญิงสาวเรือนผมสีขาวมุกส่องประกายสะท้อนแสงอาทิตย์ สวมเครื่องแต่งกายเหมือนพวกแม่มดและนั่งอยู่บนไม้คทาประจำตัว เธอคนนั้นกำลังจับจ้องมาที่ไดอาน่าด้วยรอยยิ้มอันน่าพิศวง
“เป็นเด็กที่ไม่ระวังเอาซะเลยนะ~”
เธอกล่าวออกมาเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงเชื่องช้าและเรียบนิ่ง แม้จะยิ้มอยู่แต่ในดวงตากลับไม่แสดงถึงความสุขใด ๆ ออกมา เช่นเดียวกับน้ำเสียง หากฟังแค่น้ำเสียงก็คงคาดเดาจุดประสงค์ของเธอไม่ได้
“เอาล่ะ แวะไปดูทางฝั่งนั้นบ้างดีกว่า”
สิ้นเสียง ไม้คทารูปร่างประหลาดของเธอก็ลอยออกไปจากจุดนั้น พร้อมชุดคลุมสีดำยาวที่ถูกพับเมื่อกระทบกับสายลม
…
แสงของสะเก็ดไฟสีส้มสาดกระเซ็นท่ามกลางตรอกมืดสักแห่งในเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องไวน์
เสียงของแข็งตกกระทบกันดังออกมาเป็นระยะ ๆ กลุ่มคนในชุดคลุมสีดำต่างผลัดกันปล่อยกระบวนท่าดาบราวกับรับรู้ถึงความคิดซึ่งกันและกัน
“อะไรน่ะ ไอ้การเคลื่อนไหวแบบนั้นหมายความว่าไง”
เสียงสบถของทัตสึยะดังเล็ดลอดออกมาขณะที่มือใช้บาร์เกสต์โหมดดาบมือเดียวตั้งรับการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไม่มีช่องให้โต้กลับเลย”
ทันใดนั้นความรู้สึกเย็นวาบก็แล่นเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว สัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดแปลกทุกครั้งที่ถูกจับจ้อง
ทันใดที่รู้สึกได้ถึงความรู้สึกนั้นตัวเขาก็หลบการโจมตีอันเงียบสงัดจากทางด้านหลัง
“อะไรน่ะ”
แม้จะหลบคมดาบที่พุ่งเข้าหาได้อย่างไร้ปัญหา แต่หากจับสัมผัสอีกฝ่ายไม่ได้แบบนี้ก็จะมีแต่เสียเปรียบลงเรื่อย ๆ หากเป็นเช่นนั้นคงไม่ดีแน่
“เมื่อกี้มัน สัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมา”
ทัตสึยะกวาดสายตาขณะตั้งรับการโจมตีปัจจุบันเพื่อตาหาที่มาของความรู้สึกนั้น ก่อนจะตัดสินใจสะบัดความรู้สึกนั้นและกระโดดหลบคมมีดของอีกคนที่อยู่ด้านหลังก่อนจะรู้จำนวนที่แท้จริงของกลุ่มคนเหล่านั้น
“เจ็ดคนงั้นเหรอ น่าจะพอไหว”
ทัตสึยะสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะตวัดดาบในมือสร้างเป็นคลื่นกระแทกผลักให้กลุ่มคนในชุดคลุมกระเด็นถอยหลังไปก่อนที่ตัวเขาจะกระโจนขึ้นเหนือพื้นด้วยแรงที่มากเกินมนุษย์และวิ่งไปบนผนังของอาคารในตรอกนั้น พร้อมกันก็มองเห็นปากของเขาที่ขยับไปมาและได้ยินเสียงที่ฟังไม่ค่อยเป็นภาษาไล่หลังไป
เขากระโจนออกจากวงล้อมและหลุดออกมาจากตรอก ก่อนจะใช้เท้าหยุดการเคลื่อนไหวจนรองเท้าและพื้นถนนที่เสียดสีกันสร้างเป็นเสียงอันเป็นเอกลักษณ์
“กรงนก!”
วินาทีที่ตะโกนออกมาเช่นนั้นพายุหมุนเล็ก ๆ ก็เริ่มก่อตัวก่อนจะล้อมและหยุดการเคลื่อนไหวของคนทั้งเจ็ดไว้ในตรอก
“มาดูสิว่าจะทนได้สักแค่ไหนเชียว”
ดาบมือเดียวที่ถืออยู่ค่อย ๆ เปลี่ยนรูปลักษณ์ คมดาบยาวขึ้นจนกลายเป็นคันศร
บาร์เกสต์โหมดธนู
ทัตสึยะไม่รอให้เสียจังหวะ เขารวบรวมพลังเวทในร่างมาอยู่ที่ปลายศรไร้สีที่ถูกดึง ทันใดนั้นลูกศรพลังเวทเข้มข้นก็ลุกไหม้จนกลายเป็นศรเพลิง
“หายไปซะ”
สิ้นเสียงมือที่กำศรถูกปล่อย ลมพายุที่หมุนอยู่ถูกเป่ากระจุยแทบจะในทันทีที่ศรเพลิงตกกระทบ
ตูม!!!
เกิดแรงสั่นสะเทือนและแสงสว่างวาบในชั่วขณะ แรงลมที่ตีกลับพัดผ้าคลุมของทัตสึยะให้โบกสะบัด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหอบหายใจเบา ๆ ดังมาจากเด็กหนุ่ม เขากวาดสายตาไปมาก่อนจะเดินเข้าไปตรวจสอบในตรอกอีกครั้ง
เขามองเห็นรอยไหม้จากไฟของตนยาวไปตลอดทั้งตรอก แต่กลับมองไม่เห็นศพแม้แต่คนเดียว ทันทีที่รู้สึกตัวว่าพวกนั้นอาจจะหลบได้ ทัตสึยะจึงรีบหยิบโพชั่นขวดใสจากกระเป๋าขึ้นมากินโดยเร็ว
ทันทีที่ตั้งท่าระวังตัวอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงของใครบางคนดังมาจากทิศทางที่ยากจะระบุ
“แหม ๆ ถึงจะใช้เวทมนตร์ได้น่าสนใจดีแต่เล่นไม่กะปริมาณที่ใช้ได้เลยแบบนั้นมันจะไม่ลำบากเอาเหรอ? เธอคงไม่คิดจะพึ่งพาโพชั่นพวกนั้นไปตลอดหรอกใช่ไหม?”
มันเป็นเสียงของผู้หญิงที่ฟังดูเรียบเฉยและเฉื่อยชา พอลองค้นดูในหัวก็ไม่พบว่าเคยได้ยินจากที่ไหน
“ใครน่ะ นั่นเสียงใคร”
“ตายจริง ไม่ต้องตั้งท่าระวังตัวขนาดนั้นก็ได้ คนพวกนั้น…ไม่สิจะเรียกว่าคนก็ไม่ถูก เจ้าหุ่นเชิดพวกนั้นน่ะกระจุยไปแล้วล่ะ ตอนนี้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นมีแค่เธอคนเดียว”
“ต้องการอะไร”
ทัตสึยะเปิดปากถามขณะที่มือยังคงกำบาร์เกสต์แน่น
“หึหึ มัวแต่ยืนตั้งท่าอยู่แบบนั้นจะดีเหรอ ถ้าไม่รีบเดี๋ยวเด็กคนนั้นก็แย่เอาหรอก”
น้ำเสียงนั้นแม้จะเรียบเฉยแต่ก็ฟังดูชวนโมโหเมื่อพูดเช่นนั้น
“ชิ ดันมาสร้างปัญหาให้จริง ๆ ซะได้”
เสียงเดาะลิ้นดูไม่พอใจดังขึ้นก่อนที่ทัตสึยะจะรีบวิ่งออกจาตรอกนั้นตรงไปตามเส้นทางที่มีร่องรอยพลังเวทของไดอาน่าที่เขาสัมผัสได้ผ่านเนตรแห่งความจริง
…
เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาค่อย ๆ สะกดรอยตามใครบางคน
ไดอาน่าคิดถูกที่ตัดสินใจไล่ตามชายผ้าคลุมสีขาวนั่นมา
เธอใช้ร่างที่เล็กของตัวเองย่องผ่านยามเฝ้าประตูที่กำลังหาวอย่างงัวเงีย พอมองดูรอบๆ ก็พบกับกล่องไม้ราวกับโกดังเก็บสินค้าบางอย่าง ดูจะเป็นที่ที่บาทหลวงไม่น่าเข้ามาในเวลาปกติเลย
เธอเดินเข้าไปในโกดังก่อนจะสังเกตเห็นเรือกังหันขนาดกลางที่จอดอยู่ภายในโกดัง พอเห็นแบบนั้นมันก็ทำให้เธอรู้ตัวว่าที่นี่คือโกดังจ่ายสินค้าของเมือง แต่เพราะอะไรกันล่ะที่ทำให้บาทหลวงมาสถานที่แบบนี้
เมื่อได้คำถามมากกว่าคำตอบเธอจึงเดินหน้าต่อจนกระทั่งเธอเริ่มได้ยินเสียงของใครบางคนที่กำลังตอบโต้กับคุณบาทหลวง
เบื้องหน้าของเด็กสาวที่หลบอยู่หลังกล่องไม้คือคุณลุงนักบวชกาเบรียล และชายร่างใหญ่อีกคนที่เธอไม่รู้จัก เธอยื่นหน้าออกไปเล็กน้อยเพื่อจะฟังบทสนทนาของคนทั้งสองได้ชัดมากขึ้น
“จับตัวคนทำได้รึยัง”
บาทหลวงกล่าวกับใครบางคน
“เออ จับได้แล้ว แต่มันไม่ยอมพูดเลยโดนซ้อมจนพูดไม่ได้แล้ว”
“แล้วจะเอาไงต่อ”
“ถ้ามันถูกนักผจญภัยจัดการไปแล้ว อย่างมากก็แค่ไปหาซากกลับมา”
พวกเขาเริ่มพูดคุยถึงบางเรื่องที่เธอไม่รู้
“พวกเขากำลังพูดถึงอะไร?”
แม้จะพยายามตั้งใจฟังจับใจความ แต่เนื้อหาที่คุยกันมันก็ยากเกินกว่าที่เธอจะเข้าใจ
“เรื่องนั้นน่ะ เมื่อกี้มีนักผจญภัยคนหนึ่งเข้ามาที่โบสถ์…”
“แล้วไง”
“เจ้านั่นมันยื่นเกล็ดน่าสงสัยให้ฉันดู แถมยังพูดจากวนประสาท ก็เลยส่งหุ่นเชิดเงาออกไปตามล่าแล้ว”
“ถึงกับใช้หุ่นเชิดเงาเลยงั้นเหรอ?”
“ก็มันพูดจาเหมือนรู้อะไรน่ะสิ ขืนปล่อยไปพวเราจะซวยกันหมด แบบนั้นยิ่งต้องรีบจับมาเค้นข้อมูล”
“เอาเถอะ ถ้าเกล็ดที่ว่ามันเป็นของเจ้าตัวที่หลุดไปจริงก็ถือว่าโชคหล่นทับล่ะนะ”
“แล้วเรื่องเมล็ดแห่งพรล่ะ ไปถึงไหนแล้ว ทางนี้เองก็อยากได้ความคืบหน้าเหมือนกัน”
“อ่า ไม่ต้องห่วงหรอก ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่ส่งวัตถุดิบชั้นเลิศแบบนั้นมาให้ คิดว่าถ้าใช้ที่นี่เป็นศูนย์กระจายน่าจะสะดวกในหลาย ๆ เรื่อง”
“ถ้าพูดอย่างนั้นแล้วที่บอกในจดหมายมันหมายความว่าไง”
“ก็นะ พอดีว่าการทดลองมันเข้าใกล้ความสำเร็จแล้วน่ะสิ ทางนี้เองก็โดนเร่งการผลิตด้วย เพราะงั้นที่ส่งไปสองคนคราวก่อนน่ะไม่พอหรอก”
“ทำฟาร์ม? พวกเขาพูดถึงเรื่องอะไร ไม่ค่อยได้ยินเลย”
ไดอาน่าที่แอบฟังอยู่พยายามขยับเข้าไปใกล้อีกหน่อยเพื่อจะได้ยินบทสนทนานั้น แต่แล้วเธอก็พลาด
ตึง!
“ใครน่ะ”
เสียงของกล่องไม้ที่ล้มนั้นดึงดูดสายตาของคนทั้งสองให้หันมามอง
ท่ามกลางกลุ่มควันที่ลอยฟุ้งปรากฏเป็นไดอาน่าที่ล้มหน้าคว่ำ ดูเหมือนเธอจะขยับกล่องไม้มากไปจนมันล้มลงมา
“เธอ!?”
นักบวชกาเบรียลอุทานออกมาเช่นนั้น
“เจ็บ ๆ”
ชายร่างใหญ่ไม่รีรอ เขาพุ่งตัวออกมาพร้อมจับข้อมือของไดอาน่าทั้งสองบิดเข้าหากันทำให้เด็กสาวหมดสิ้นหนทางขัดขืน
“ปล่อยนะ ปล่อยฉัน!”
“ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเธอ”
“คุณลุงคิดจะทำอะไรกันแน่!”
“แย่จังนะ แต่มันก็คงช่วยไม่ได้”
พอเห็นว่าฝ่ายนั้นคือไดอาน่า นักบวชเฒ่าก็แสดงสีหน้าประหลาดออกมา มันเป็นใบหน้าที่แม้แต่ชายร่างใหญ่ก็ยังไม่เคยเห็น
“งั้นเหรอ คงเป็นแม่นี่สินะที่พาไอ้นักผจญภัยนั่นมา”
ชายร่างใหญ่พอจะเดาความรู้สึกที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้านั้นของนักบวชเฒ่า
“แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ จะให้ฉันเชือดทิ้งตอนนี้ก็ได้นะ”
“ยัยนั่นมีพรอยู่ น่าจะยังพอใช้ประโยชน์ได้”
“เห~ ที่นี่มันมีแต่ของดี ๆ เลยรึไง”
“พูดเรื่องอะไรกันตั้งแต่เมื่อกี้แล้วน่ะ ตัวทดลองเหรอ? ฟาร์มเหรอ? คุณลุงตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!”
เด็กสาวผู้สับสนตะโกนออกไปเช่นนั้นหวังจะได้รับคำตอบจากปากของนักบวชเฒ่า
“นี่เธอแอบตามฉันมาโดยที่ยังไม่รู้อะไรเลยงั้นเหรอ โชคร้ายจังนะ”
“พูดออกมาสิ! คุณตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!”
“เธอคิดว่ารายได้ของโบสถ์มาจากที่ไหนบ้างล่ะ”
“งะ เงินบริจาค…”
เด็กสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เธอเริ่มไม่มั่นใจเมื่อถูกถามเช่นนั้น
“หึ แล้วคิดว่าแค่นั้นมันจะพอเลี้ยงพวกเธองั้นเหรอ พวกเธอน่ะมันก็เป็นแค่ฉากบังหน้าให้ฉันก็แค่นั้น เดิมทีที่นี่น่ะมีธุรกิจลับ ๆ ที่พวกเธอไม่รู้อยู่”
พอได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากของเจ้าตัวเอง คำพูดของทัตสึยะมันก็ตอกย้ำภายในใจ
“มะ ไม่จริง! คุณลุงกำลังโกหก บาทหลวงกาเบรียลที่พวกเรารู้จักน่ะไม่ใช่คนแบบนั้น! ฉันน่ะ…ฉันรู้ดี…รู้ดีว่าคุณใจดีแค่ไหน รู้ดีที่สุดว่าคุณอ่อนโยนแค่ไหน…”
เด็กสาวกลั้นกล่าวคำพูดที่เต็มไปด้วยความทรงจำออกมาด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยว
“ไร้เดียงสาจริงนะ ก็นะ เธอน่ะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วนี่นะ พอปักใจเชื่ออะไรไปแล้วก็จะหัวแข็งไม่ยอมฟังคนอื่น เพราะแบบนั้นไงตั้งแต่ที่รู้ว่าเธอได้รับพรที่อ่านความทรงจำมาฉันถึงไม่เคยแตะตัวเธออีก”
“โอ๊ะ พรที่อ่านความทรงจำงั้นเหรอ ของดีเลยนี่”
ไดอาน่าพยายามปฏิเสธความจริงที่ได้ยิน เธอแหงนหน้ามองดวงตาคู่นั้นที่ครั้งหนึ่งเคยอ่อนโยน ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเคยยิ้มตอบเมื่อเห็นเธอ ตอนนี้มันเปลี่ยนไป มันว่างเปล่าและบิดเบี้ยว กลายเป็นแววตาของใครบางคนที่เธอไม่เคยรู้จัก
“ทะ ทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นแค่เรื่องโกหก…งั้นเหรอ…”
“พวกแกน่ะมันก็เป็นแค่สินค้าเท่านั้นแหละ พวกเด็กอยู่ก้ำกึ่งระหว่างความฝันและความจริงน่ะ มีคนที่ต้องการตัวไปใช้ประโยชน์อยู่ ส่วนพวกเธอที่ลืมตาขึ้นมายังโลกแห่งความเป็นจริงนั้นก็เป็นส่วนเกิน”
ชายร่างใหญ่พูดตอบแทนนักบวชเฒ่า
“อ่า ถูกต้องตามนั้น พวกเธอที่ขายไม่ได้จึงถูกใช้เป็นฉากบังหน้าเพื่อป้องกันความสงสัยที่อาจเพ่งมา”
ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นผ่านร่างเล็กเด็กสาว ความรู้สึกที่แม้จะยืนอยู่ต่อหน้าสัตว์ร้ายก็ไม่เคยได้รับ ช่างเป็นความรู้สึกที่น่ารังเกียจและขยะแขยง เพราะถึงจะปฏิเสธมันก็ทิ่มแทงอยู่กลางอก
“นี่พวกเราเป็นแค่ส่วนหนึ่งของผลประโยชน์งั้นเหรอ…พวกเราเป็นแค่ส่วนหนึ่งในความต้องการอันบิดเบี้ยวงั้นเหรอ…”
เด็กสาวที่รับรู้ความจริงนั้นค่อย ๆ หลั่งน้ำตาที่อัดแน่นความรู้สึกมากมายออกมา เธอกัดฟันแน่นขณะที่กำลังถูกผู้ชายร่างใหญ่นั่นใช้เชือกมัดข้อมือ ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตานั้นไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืน
“ลุกขึ้นมา! ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวเธอก็จะได้เจอเพื่อนแล้ว”
คำพูดที่ตอกย้ำเช่นนั้นมันช่างน่าเจ็บปวดเด็กสาวที่สิ้นหวังได้แต่เพียงภาวนา ให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงฝันร้ายที่จะจางหายไปเมื่อลืมตาตื่น…
“…”
“…”
ตูม!!!
เสียงระเบิดดังลั่นพร้อมเศษไม้ที่กระเด็นกระดอน โกดังไม้ที่คนทั้งสามอยู่เกิดเพลิงไหม้ที่หน้าประตู พร้อมกันนั้นก็มีร่างเงาคล้ายคนกระเด็นออกมาจากกองไฟที่ลุกโชน เมื่อเพ่งมองใบหน้านั้นก็ถึงได้รู้ว่าเขาคือยามเฝ้าประตูที่เคยเห็นก่อนหน้า
“เกิดอะไรขึ้น”
ชายร่างใหญ่หันมองกลับไปที่กองไฟนั่นก่อนจะเตรียมชักดาบขึ้นมาตั้งท่า ส่วนมือที่แบกร่างของไดอาน่าอยู่นั้นก็ถูกปล่อยจนเธอล้มลงกระแทกกับพื้น
“เกิดอะไรขึ้น”
นักบวชเฒ่าเปิดปากพูดอย่างสับสน
“อย่าทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนสิ”
น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังผ่านมาจากอีกฟากของกองเพลิง ไดอาน่าที่โศกเศร้าค่อย ๆ หันมองต้นเสียงนั้น น้ำเสียงและคำพูดที่ดูจิกกัดและชวนทะเลาะ เธอรู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของใคร