ตอนที่ 645 ซานเย่ว์เผยไพ่ลับ
“ใต้เท้าเยี่ย ท่านช่างพูดจาไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”
พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงยัดข้อหาสติเลอะเลือนให้ตน ต้องการจะปฏิเสธหลักฐานทั้งหมดของตน คังหมิ่นก็แสดงออกว่าไม่ยอมเด็ดขาด!
นาง คังหมิ่นเป็นใครกัน
นางคือตัวละครโหดที่ปั่นหัวชายชาตรีนับไม่ถ้วนในพรรคกระยาจก!
เป็นผู้หญิงของต้วนเจิ้งฉุนเช่นเดียวกัน เตาไป๋เฟิงนอนกับขอทานคนหนึ่ง ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่โตแล้ว แต่ในสายตาคังหมิ่นนั้นไม่นับเป็นเรื่องสำคัญเลย เพราะจำนวนขั้นต่ำที่นางเคยนอนด้วยคือสามคน!
อาศัยขอทานสามคนที่ตัวเองเคยนอนด้วย คังหมิ่นก็กล้าวางแผนทำร้ายมหาวีรบุรุษอันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้ว อีกทั้งกำลังจะสำเร็จแล้วด้วย
สำหรับมือปราบหน้าใหม่อย่างเยี่ยเว่ยหมิง มีหรือที่นางจะเห็นเขาอยู่ในสายตา
ในสายตาฉายแววคับแค้น คังหมิ่นตัดสินใจว่าจะปะทะกับเยี่ยเว่ยหมิงซึ่งๆ หน้า จึงก้าวเท้าเบาๆ ออกมาข้างหน้า จนกระทั่งถึงตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิง “ใต้เท้าเยี่ยบอกว่าข้าคิดถึงสามีที่ตายไปจนเกิดความเสียหายต่อหัวใจ จุดนี้ข้ายอมรับ แต่ข้าย่อมรู้ตัวดีว่าสติสัมปชัญญะชัดเจนมาก วิเคราะห์ทุกเรื่องตามหลักการและเหตุผลปกติเช่นกัน มีจุดไหนไม่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ…
…หากจอมยุทธ์น้อยเยี่ยพบจุดใดที่ไม่เหมาะสม ก็เชิญพูดต่อหน้าได้เลย จะได้ให้วีรบุรุษทุกท่านเป็นประจักษ์พยาน”
ระหว่างที่พูด เรือนร่างก็เข้าใกล้เยี่ยเว่ยหมิงโดยไม่รู้ตัว ถึงขั้นได้กลิ่นลมหายใจเหม็นๆ ของอีกฝ่ายแล้ว
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วขมวดคิ้ว โคจรปราณแท้ภายในร่างกายให้แผ่ออกมา ทำให้คังหมิ่นที่เกือบจะตัวติดเขาสะเทือนล้มก้นกระแทกพื้น ส่งผลให้ยอดฝีมือไม่น้อยในพรรคกระยาจกมองมาด้วยสายตาโกรธเคือง
แต่ประโยคต่อมาของเยี่ยเว่ยหมิงกลับเปลี่ยนทัศนคติของทุกคนโดยสิ้นเชิง “หม่าฮูหยินโปรดสำรวมด้วย! เข้าใกล้ขนาดนั้น ข้ามีเหตุผลที่จะสงสัยว่าท่านมีเจตนาสังหารคนของทางการได้”
‘มีเจตนาสังหารคนของทางการ’ ข้อหานี้ไม่ได้สำคัญอะไร แต่พอได้ยินคำว่า ‘สำรวม’ กับ ‘เข้าใกล้ขนาดนั้น’ กลับทำให้กลุ่มยอดฝีมือพรรคกระยาจกที่เดิมทีเดือดดาลเพราะเยี่ยเว่ยหมิงรังแกหญิงหม้ายในพรรคของพวกเขาเปลี่ยนเป็นโมโหที่คังหมิ่นไม่รู้จักสำรวม
อย่างไรเสียทุกคนก็ไม่ใช่คนโง่ หากมีอะไรก็คุยกันดีๆ ได้ จะเข้าใกล้ขนาดนั้นทำไมกัน
ดวงตาคังหมิ่นฉายแววดุร้าย เพิ่งนึกข้ออ้างที่สมเหตุสมผลให้กับพฤติกรรมของตัวเองเมื่อครู่นี้ออก แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ชิงพูดก่อนแล้ว “ในเมื่อหม่าฮูหยินไม่ยอมรับว่าตนเองสติสัมปชัญญะเลอะเลือน เช่นนั้นข้าก็จะวิเคราะห์ให้ฟังสักหน่อย เหมือนที่หม่าฮูหยินบอก วันนี้มีวีรบุรุษมากมายอยู่ตรงนี้ด้วยพอดี จะได้เป็นประจักษ์พยานสักหน่อย…
…ทุกคนลองฟังแล้วลองคิดดู ว่าสิ่งที่ข้าพูดมีเหตุผลหรือไม่”
ตอนนี้หม่าฮูหยินยืนขึ้นแล้ว เมื่อได้ยินเขาพูดดังนั้นก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็อยากจะฟังสักหน่อย อยากจะเห็นว่าใต้เท้าเยี่ยจะโต้เถียงกับจดหมายที่ประมุขวังทิ้งไว้กับหลักฐานที่พิสูจน์ว่าเฉียวเฟิงเป็นชาวชี่ตันได้หรือเปล่า”
“ไม่! ไม่! ไม่!”
เยี่ยเว่ยหมิงชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วแล้วส่ายหน้าเบาๆ “ข้าว่ากระบวนการคิดของหม่าฮูหยินมีปัญหาแล้วกระมัง ตอนนี้ก็แสดงออกมาแล้ว…
…ตั้งแต่ตอนแรกเริ่ม ข้าเคยพูดด้วยหรือว่าข้าจะสืบหาชาติกำเนิดของประมุขเฉียว…
…เมื่อครู่ข้าบอกไปหมดแล้ว ว่าข้ามาที่นี่เพื่อสืบความจริงเรื่องการตายของรองประมุขหม่า…
…ส่วนประมุขเฉียวจะเป็นชาวฮั่นหรือชาวชี่ตัน หรือชาวชี่ตันจะมีคุณสมบัติในการรับตำแหน่งประมุขพรรคกระยาจกหรือไม่ นั่นคือเรื่องในพรรคกระยาจกของพวกท่าน ในกฎหมายของราชสำนักไม่ได้มีข้อกำหนดใดๆเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
ประโยคนี้ของเยี่ยเว่ยหมิงทำให้ทุกคนพูดไม่ออก เพราะสิ่งที่เขาพูดแม้จะไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ก็พูดไม่ผิดจริงๆ
เมื่อคังหมิ่นเห็นว่าแผนการสร้างความสับสนของตนเองไม่สำเร็จจึงยอมรับผิดเสียเลย จากนั้นซักไซ้ต่อ “เช่นนั้นก็เชิญจอมยุทธ์น้อยเยี่ยพูดถึงปัญหาความผิดพลาดในตรรกะของข้าเถิด วีรบุรุษหลายท่านที่อยู่ตรงนี้กำลังรอฟังอยู่”
“อยากฟังงั้นหรือ” เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ “ในเมื่ออยากฟัง เช่นนั้นข้าก็จะพูดให้ฟัง”
ระหว่างที่พูด สายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวเฉียวเฟิง “ข้าว่าการแต่งกายและนิสัยของประมุขเฉียวจัดเป็นประเภทวีรบุรุษที่กล้าได้กล้าเสีย ไม่คิดเล็กคิดน้อย ในใจข้านับถือมาก”
ขณะที่พูดก็หันไปมองคนอื่นๆ ของพรรคกระยาจก “วันนี้ข้าเจอประมุขเฉียวเป็นครั้งแรก ข้าจึงไม่ได้รู้จักเขามาก ไม่ทราบว่าในสายตาของพี่น้องพรรคกระยาจกที่อยู่ด้วยกัน ปกติแล้วประมุขเฉียวเป็นคนอย่างนี้หรือไม่”
“ไม่ผิดหรอก” คนที่พูดคือผู้อาวุโสอู๋ที่เล่นแมงป่องก่อนหน้านี้ “ประมุขเฉียวเป็นคนเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่ใต้เท้าเยี่ย ดูเหมือนท่านจะหลงประเด็นตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว”
“ข้าไม่ได้หลงประเด็น” เยี่ยเว่ยหมิงปฏิเสธทันที แล้วถือโอกาสถามผู้อาวุโสอู๋ท่านนี้ว่า “ข้าเพียงรู้สึกว่าดูจากท่าทางของประมุขเฉียว…ข้าหมายถึงลักษณะของเขา เดิมทีก็ไม่เหมาะกับพัดอันนี้อยู่แล้ว…
…ข้าจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าบุคคลที่เหมือนวีรบุรุษอย่างประมุขเฉียว หากกางพัดนี้โบกทุกวันเหมือนบัณฑิตจะเป็นฉากอย่างไร…
….ผู้อาวุโสอู๋ ท่านเคยเห็นหรือเปล่า…
…เอ่อ…” ผู้อาวุโสอู๋ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหน้า “ไม่เคย”
เยี่ยเว่ยหมิงหันไปมองคนอื่นอีก “ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์ท่านอื่นของพรรคกระยาจก เคยเห็นท่าทางตอนประมุขเฉียวถือพัดอันนี้หรือไม่”
“เอ่อ…”
ทุกคนครุ่นคิด ครู่ต่อมาก็ส่ายหน้าพร้อมกัน
ยังเป็นเฉวียนกวนชิงที่ร้อนรนมากที่สุด ตอนนี้เอ่ยแล้วว่า “เมื่อครู่นี้เฉียวเฟิงก็ยอมรับเองแล้วว่าประมุขวังมอบพัดนี้ให้เขา ย่อมต้องเก็บรักษาให้ดีสิ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเสียหาย…
…ขนาดเขาเองยังยอมรับแล้วว่าพัดนี้เป็นของเขา เช่นนั้นยามปกติเขาจะนำมันออกมาหรือไม่ แล้วต่างอะไรกันตรงไหน”
“แตกต่างกันมาก!” เยี่ยเว่ยหมิงแสยะยิ้ม “พวกเรายังไม่ต้องพูดถึงความสามารถของประมุขเฉียว ต่อให้เป็นโจรกระจอกธรรมดาคนหนึ่ง เวลาไปขโมยของ คงไม่พกของสำคัญติดตัวเข้าห้องไปขโมยหรอกกระมัง…
…อีกทั้งของสิ่งนี้ นอกจากคนที่เกี่ยวข้องกับฐานะของประมุขเฉียว ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่ายังมีเหตุผลอะไรทำให้มันไปโผล่อยู่ในที่เกิดเหตุได้…
…ด้วยเหตุนี้ ถ้ามีเหตุผลที่จะสงสัยได้ว่า ความจริงเรื่องการลักขโมยครั้งนั้น” เยี่ยเว่ยหมิงชะงักเล็กน้อย แล้วพูดกับเฉียวเฟิงต่อ “ในเมื่อตอนนี้ประมุขเฉียวยังเป็นประมุขพรรคกระยาจก เช่นนั้นก็เชิญท่านออกคำสั่ง เรียกสาวใช้สองคนที่หม่าฮูหยินเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ออกมา ให้มาตอบคำถามของข้าสักหน่อย”
เยี่ยเว่ยหมิงพูดไปมากมายขนาดนั้น เฉียวเฟิงย่อมมองออกว่าเขาเป็นสหายมิใช่ศัตรู จึงเอ่ยทันทีว่า “เพื่อความยุติธรรม ข้าหวังว่าผู้อาวุโสสวีจะส่งคนสนิทไปจัดการเรื่องนี้เอง นอกจากนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครถูกฆ่าปิดปากหรือข่มขู่ ก่อนที่สาวใช้สองคนนั้นจะถูกเชิญตัวมา นอกจากคนสนิทของผู้อาวุโสสวีแล้ว ไม่ว่าใครก็ห้ามออกจากสวนบ๊วยแม้แต่ครึ่งก้าว!”
เฉียวเฟิงพิจารณารอบคอบขึ้นจริงๆ!
ให้ผู้อาวุโสสวีส่งคนไปจัดการ ทำให้ตัวเองพ้นจากการตกเป็นที่ต้องสงสัยได้เยอะมาก ขณะเดียวกันก็ออกคำสั่งป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ไม่ปล่อยให้เฉวียนกวนชิงและพวกเจตนาไม่ซื่อได้ฉวยโอกาส
เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ จากนั้นก็หันมาพูดกับทุกคนอีกว่า “สิ่งที่ข้าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ก็แค่เริ่มต้นเท่านั้น ที่จริงนอกจากพัดเล่มนั้นแล้ว เรื่องนี้ยังมีอีกจุดที่น่าสงสัยกว่านี้…
…ในเมื่อจดหมายนี้ใช้ขี้ผึ้งผนึกไว้อย่างนี้ ก่อนที่ผู้อาวุโสสวีจะเปิดมัน ก็น่าจะไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน…
…เช่นนั้น ประมุขเฉียวน่าจะไม่ทราบสิว่ามีจดหมายฉบับนี้อยู่…
…พวกเจ้าว่าตอนที่เขาเข้าห้องไปขโมยของ ถึงขั้นฆ่าคนปิดปาก เมื่อต้นตอของเรื่องราวไม่สมเหตุสมผล การวิเคราะห์ตอนหลังก็ยิ่งไร้สาระ!”
พอฟังถึงตรงนี้ ทุกคนก็หน้าเหวอไปตามๆ กัน
ตอนนี้ผู้อาวุโสไป๋ซื่อจิ้งของพรรคกระยาจกยืนขึ้นแล้ว เขาพูดกับเยี่ยเว่ยหมิงว่า “ในเมื่ออิงตามการวิเคราะห์ของใต้เท้าเยี่ย เรื่องนี้ก็มีจุดที่น่าสงสัยมากมาย เช่นนั้นพยานปากจากสาวใช้สองคนนั้นก็ไม่จำเป็นแล้ว เหตุใดต้องทำเกินความจำเป็น ดึงดันจะเรียกพวกนางออกมาให้ได้”
“ย้อนประเด็นกลับไปที่ตอนแรก จุดประสงค์ของข้าย่อมมาเพื่อสืบหาความจริงที่รองประมุขพรรคหม่าถูกทำร้าย” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนเข้าสู่โหมดให้ความรู้ “ที่จริงการสืบคดี ใช่ว่าจะต้องดันทุรังกับบางจุดเสมอไป สิ่งใดที่เกี่ยวข้องและมีจุดที่น่าสงสัย ก็ต้องพยายามสืบให้กระจ่างให้หมด ไม่แน่ว่าอาจจะได้รู้อะไรเพิ่มเติมก็ได้…
…ในเมื่อเรื่องที่รองประมุขหม่าถูกปล้นก่อนตายมีจุดที่น่าสงสัยมากมาย ข้าก็มีเหตุผลให้สงสัยได้ว่าสองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้…
…หากได้รู้อะไรเพิ่มเติมก็ย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว ต่อให้ไม่รู้ แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่?”
ตอนนี้เฉวียนกวนชิงกล่าวอย่างไม่พอใจ “ใต้เท้าเยี่ยหมายความว่าจะให้คนมากมายตรงนี้รอแค่สาวใช้สองคนนั้นน่ะหรือ”
“ก็ไม่ใช่ว่ารอเฉยๆ หรอก ถึงอย่างไรก็ต้องสืบคดี ย่อมต้องถามทุกคนที่เกี่ยวข้องให้กระจ่างอยู่แล้ว วันนี้ทุกคนมารวมตัวกันครบขนาดนี้ ไม่ทราบว่าจะขอให้หม่าฮูหยินตอบคำถามสักหน่อยได้หรือไม่”
“เอ่อ คือ อาหมิง ให้ข้าถามเถอะ” ระหว่างที่พูด ซานเย่ว์ก็เข้ามากระซิบข้างหูเยี่ยเว่ยหมิงเบาๆ
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วตาเป็นประกาย “พูดจริงหรือเปล่า”
ซานเย่ว์ตอบอย่างภาคภูมิใจ “ก็แน่อยู่แล้วสิ เจ้าคิดว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนั้น คนที่ก้าวหน้ามีแค่เจ้าคนเดียวงั้นหรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าตอบอย่างไม่ลังเล “เช่นนั้นเจ้าก็ถามแล้วกัน แต่คิดว่าพวกเขาน่าจะใช้เวลานานเพื่อเชิญสาวใช้สองคนนั้นมา พวกเราถามผู้ที่เกี่ยวข้องให้กระจ่างก่อนก็ได้ ในเมื่อเรื่องราวเริ่มขึ้นจากจดหมายฉบับนั้น ก็เริ่มจากถามผู้อาวุโสสวีที่เคยอ่านจดหมายมาก่อนก็แล้วกัน”
ซานเย่ว์ได้ฟังแล้วเข้าใจทันที นางขยิบตาให้เขา จากนั้นเดินไปตรงหน้าผู้อาวุโสสวีแล้วกุมหมัดคารวะ “คำนับผู้อาวุโสสวี ผู้น้อยซานเย่ว์จากสำนักมือปราบเทพ ผู้อาวุโสสวีโปรดมองตาข้าได้หรือไม่ แล้วก็ตอบคำถามของข้า เอ่อ…คืออย่างนี้น่ะ ผู้น้อยมองออกว่าใครพูดจริงหรือโกหก แต่ท่านต้องมองตาข้า ข้าถึงจะทำได้”
ผู้อาวุโสสวีคือผู้อาวุโสของพรรคกระยาจก เขาถามตัวเองแล้วพบว่าไม่ได้ทำเรื่องที่น่าละอายใจ จึงตอบอย่างสุขุม “เจ้าถามมาได้เลย”
ซานเย่ว์พยักหน้า แล้วถามว่า “เรื่องที่เฉวียนกวนชิงร่วมมือกับสี่ผู้อาวุโสก่อกบฏ สาเหตุก็เพราะจากที่รู้ตัวตนของประมุขเฉียว เช่นนั้นเขารู้เรื่องฐานะที่แท้จริงของประมุขเฉียวมาจากปากท่านหรือ”
ผู้อาวุโสสวีตอบอย่างเยือกเย็น “ใช่แล้ว”
ซานเย่ว์พยักหน้าแล้วถามคำถามที่เกี่ยวข้องอีกสองสามคำถาม จากนั้นหันไปถามสถานการณ์จากเฉวียนกวนชิง หลังจากอีกฝ่ายตอบแล้ว นางก็พิมพ์ในช่องทีมเป็นชุดว่า เจ้าหมอนี่พูดโกหก แต่นางกลับไม่เปิดโปงต่อหน้า หันตัวเดินมาตรงหน้าคังหมิ่นแทน
ซานเย่ว์ยิ้มหวานให้คังหมิ่นแล้วเอ่ยถาม “หม่าฮูหยิน ท่านมองตาของข้าพร้อมตอบคำถามได้หรือไม่”
สองคนแรกที่ถูกถามก่อนหน้านี้ เป็นเพียงการปูทางเพื่อให้ศัตรูลดความระมัดระวังตัวก็เท่านั้นเอง
ซานเย่ว์นิสัยเปลี่ยนไปทีละนิดเพราะอยู่กับเยี่ยเว่ยหมิง ย่อมเข้าใจหลักการสิงโตสู้กับกระต่ายและทำอย่างสุดความสามารถ ดังนั้นแม้จะมีความมั่นใจเต็มที่ แต่ก็พยายามปูทางก่อนเท่าที่จะทำได้ จะได้เพิ่มโอกาสชนะให้ตัวเอง
คังหมิ่นได้ยินแล้วลังเลเล็กน้อย แต่พอนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสสวีกับเฉวียนกวนชิงต่างก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี อีกทั้งเฉวียนกวนชิงโกหกแต่ก็ไม่ถูกเปิดโปง นางจึงพยักหน้าเอ่ยรับเช่นกัน
ประการแรก เป็นเพราะเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางจะไม่รับปากก็ไม่ได้
ประการต่อมาก็คือจุดที่สำคัญที่สุด ต่อให้ซานเย่ว์มีความสามารถในการจับโกหกอย่างที่นางบอกจริง แล้วอย่างไรเล่า
ถึงอย่างไรก็เป็นคำพูดปากเปล่าไร้หลักฐาน ต่อให้เจ้าบอกว่ามองออกว่าข้าโกหก แต่หลักฐานอยู่ที่ไหน
เมื่อไม่มีหลักฐาน ทุกคนก็ยังยืนกรานในคำพูดของตนเองได้
หากพูดถึงความใจดำ คังหมิ่นถามใจตัวเองแล้วพบว่าไม่แพ้ให้นางหนูอายุน้อยคนนี้แน่นอน!
หลังจากเข้าใจประเด็นสำคัญในนั้นแล้ว คังหมิ่นก็จ้องตาซานเย่ว์ ในดวงตาให้ความรู้สึกท้าทายเล็กน้อย
ซานเย่ว์ไม่ถือสาสิ่งนี้เลยสักนิด เพียงกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “หม่าฮูหยิน ท่านไม่ต้องกังวลนะ ข้าก็แค่ถามตามหน้าที่เท่านั้น ผ่อนคลายสักหน่อยสิ พวกเราคุยเรื่องอื่นกันก่อนได้ ไม่ทราบว่าหม่าฮูหยินรู้สึกว่าประมุขเฉียวเป็นคนอย่างไร”
คังหมิ่นตอบอย่าบไม่ลังเล “เขาคือวีรบุรุษคนหนึ่ง กล้าหาญมาก เป็นชายที่อยู่ในใจของสตรีทุกคน”
สำหรับประโยคครึ่งหลัง ซานเย่ว์ไม่กล้าเห็นด้วย
แต่นางกลับไม่ได้เถียงอะไรกับคังหมิ่น ถามต่อว่า “เช่นนั้นความประทับใจแรกที่หม่าฮูหยินมีต่อประมุขเฉียวเป็นอย่างไร”
“ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเขา?” คังหมิ่นพูดตรงๆ “วีรบุรุษผู้กล้าหาญอย่างประมุขเฉียว มีสตรีคนใดอดใจไม่รักไม่ชื่นชมได้บ้าง”
ประโยคนี้ของคังหมิ่นค่อนข้างไม่เหมาะสมแล้ว แต่พี่น้องในพรรคกระยาจกเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ขัดจังหวะการถามของซานเย่ว์
แต่คำถามต่อมาของซานเย่ว์ ก็ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าจนกรอบนอกนุ่มใน “ในเมื่อท่านชื่นชมและรักเขาขนาดนั้น เหตุใดจึงบีบคั้นและทำร้ายเขาเช่นนี้”
เมื่อได้ยินคำถามของซานเย่ว์ ศิษย์พรรคกระยาจกก็เริ่มไม่พอใจแล้ว
เจ้ามีหลักฐานอะไรกันแน่ ถึงได้สรุปเรื่องราวอย่างนี้
ทว่าคำตอบของคังหมิ่นก็ยิ่งทำให้ทุกคนผิดคาด
“นั่นก็เพราะเขามองไม่เห็นความหวังดีของผู้อื่นเอง!”
ระหว่างที่พูด ในดวงตาของคังหมิ่นฉายแววร้ายกาจถึงขีดสุด “ในงานร้อยบุปผาที่เมืองลั่วหยางวันนั้น ข้ายืนอยู่ข้างดอกเสาเย่าสีเหลือง บุรุษที่อยู่ในงานนั้น มีผู้ใดบ้างที่ไม่มองข้า…
…แต่มีเพียงเฉียวเฟิง สายตาของเขากวาดมองผ่านข้าไป ไม่ได้หยุดมองแม้เพียงครู่เดียว ทำเหมือนข้าไม่ต่างกับสตรีทั่วไป!…
…เขานับเป็นสิ่งใดกัน เขาก็เป็นเพียงหัวหน้าของพวกขอทานตัวเหม็น มีอะไรให้ลำพองใจนักหนา ช่างเป็นวิญญูชนจอมปลอม เป็นพวกหน้าด้านไร้ยางอาย!”
เมื่อได้ยินคำพูดของคังหมิ่น กลุ่มจอมยุทธ์ที่อยู่ตรงนั้นก็รู้สึกชาสันหลังวาบ
แค้นใครคนหนึ่งเพียงเพราะสาเหตุเช่นนี้ ทำทุกวิถีทางเพื่อทำร้ายเขาเช่นนี้ หน้าเนื้อใจเสือเกินไปแล้วกระมัง
ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็หาจังหวะพูดได้อย่างเหมาะสม “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ อาศัยสตรีอย่างคังหมิ่นคนเดียวต้องทำไม่ได้แน่ ประมุขเฉียว ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ท่านนับว่าทักษะยุทธ์สูงที่สุด ท่านต้องจับตาดูทุกคนที่อยู่ตรงนี้ไว้ โดยเฉพาะหัวหน้าพิธีกรรมและผู้อาวุโสที่มีทักษะยุทธ์และอำนาจไม่ธรรมดาเหล่านั้น…
…ประการแรก อย่าปล่อยให้พวกเขามีโอกาสก่อความวุ่นวาย…
…ประการต่อมา อย่าให้โอกาสอีกฝ่ายหนีไป”
เฉียวเฟิงได้ยินแล้วพยักหน้าให้เยี่ยเว่ยหมิงอย่างซาบซึ้งใจสื่อว่ารับรู้แล้ว
ตอนนี้ในที่สุด เฟยอวี๋ที่อยู่ข้างๆ ก็อดพูดไม่ได้ว่า “เยี่ยเว่ยหมิง ซานเย่ว์ใช้วิธีการอะไรกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าทำให้คังหมิ่นนั่นพูดความจริงออกมาอย่างง่ายดาย”