ตอนที่ 644 ตบหน้าจ้าวเฉียนซุน
เมื่อวิธีการเพิ่มคนโดยการส่งจดหมายเปลี่ยนเป็นตะโกนผ่านช่องเวิล์ดไวด์ จำนวนของผู้เล่นในสวนบ๊วยก็ถึงจุดอิ่มตัวภายในเวลาอันสั้น แต่กลับไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้ตอนแรก
เพราะตอนที่ผู้ร่วมรบเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้เล่นสองฝ่ายก็ตายเร็วมากเช่นกัน ถึงขั้นว่าผู้เล่นที่มาจากทั่วสารทิศทำให้จำนวนของคนสองกลุ่มนี้เกิดความสมดุลแล้วด้วย
เมื่อเห็นฉากนี้ เฟยอวี๋ก็อดขมวดคิ้วถามไม่ได้ “ระบบทำแบบนี้ อย่าบอกนะว่าแค่เพื่อวางกับดักผู้เล่นเลือดร้อนพวกนี้”
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเบาๆ “ที่จริงระบบต้องการจำกัดเลเวลเฉลี่ยของผู้เล่นเช่นกัน เหมือนเป็นวิธีการหยุดภาวะเงินเฟ้อแบบหนึ่ง”
ระหว่างที่พูด เขาก็ชี้ไปทางสนามรบด้านล่างที่กำลังใช้อาวุธแหลมคมปะทะกันเหมือนฟันสุนัข “ตอนนี้ผู้เล่นที่เข้าร่วมการต่อสู้ฆ่าจนกันตาแดงแล้ว ที่จริงในกิจกรรม PK ที่ไร้ความหมายแบบนี้ คนที่ได้เปรียบจริงๆ คือผู้เล่นส่วนน้อยที่ยืนอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร บางทีก็เป็นพวกโชคดีที่มีอยู่ไม่เยอะ คนส่วนใหญ่สุดท้ายก็กลายเป็นตัวรับกระสุนเท่านั้น…
…อีกทั้งหลังจากผู้เล่นทุกคนตายแล้ว ก็จะสุ่มดรอปอุปกรณ์ตามระดับค่าวีรบุรุษ…
…ถ้ามีสินค้าระดับสูงโผล่มา พวกผู้เล่นก็จะต้องแย่งกันแน่นอน คนที่แย่งได้ก็จะกลายเป็นเป้าหมายโจมตีถัดไปทันที หลายคนไม่ทันได้เก็บอุปกรณ์ก็ตายเพราะถูกล้อมโจมตีจากผู้เล่นฝั่งศัตรูแล้ว”
…อีกทั้งอุปกรณ์ทั่วไปทั่วไปจำนวนมากกับอุปกรณ์ชั้นดีจำนวนน้อย ก็อาจถูกระบบรีเฟรชทิ้งเพราะไม่มีคนสนใจหรือไม่ก็คนเก็บไม่ทัน พอเป็นแบบนี้ ระบบก็เก็บของกลับไปมากมายได้อย่างสมเหตุสมผลแล้ว…
…เมื่อถึงตอนนั้น ก็จะกระตุ้นการบริโภคของผู้เล่นได้อีกระลอกหนึ่ง จะเก็บเงินกลับมาได้ ป้องกันไม่ให้เกิดสภาวะที่ทรัพยากรเหลือเยอะเกินไป
ซานเย่ว์ได้ยินแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง “ดังนั้นในภารกิจนี้ คนที่ได้ประโยชน์จริงๆ ก็คือคนส่วนน้อยที่รอดชีวิตถึงตอนสุดท้ายได้ คนจำนวนมากกว่านั้นกลับไม่ได้อะไรเลยเพราะตายระหว่างทำภารกิจ?”
“ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่พวกเขาก็อาจไม่บ่นอะไรเลยก็ได้ เพราะเดิมทีพวกเขาก็เต็มใจมาเข้าร่วมการต่อสู้สนามนี้อยู่แล้ว” เฟยอวี๋เลียริมฝีปากพูดอยู่ข้างๆ “ว่ากันตามจริง ถ้าคะแนนสะสมภารกิจดำเนินต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ คนที่ยืนหยัดได้จนถึงตอนสุดท้าย จะต้องมีคะแนนมหาศาลบนตัวแน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะมีภารกิจติดตัวอยู่ ข้าก็อดใจไม่ไหวอยากจะเข้าไปแย่งเมื่อสบโอกาสเช่นกัน”
“ไม่มีโอกาสแล้ว” ซานเย่ว์ใช้น้ำเย็นสาดหน้าได้ถูกเวลา “หลังจากพวกเราเลือกจุดยืนที่เป็นกลาง ไม่ว่าพวกเราจะฆ่าคนหรือถูกศัตรูฆ่า จะไม่มีการถ่ายโอนคะแนนภารกิจ ก็เพราะแบบนี้ไง ถึงไม่มีใครเป็นฝ่ายมาโจมตีพวกเราก่อน”
พอพูดจบเธอก็หันมาถามเยี่ยเว่ยหมิง “อาหมิง เจ้าคิดว่าการต่อสู้สนามนี้จะใช้เวลานานเท่าไร”
“หรือไม่อย่างนั้นพวกเราไปกินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับมาเถอะ” เยี่ยเว่ยหมิงตอบอย่างไม่จริงจัง “ดูจากข้อความที่คนพวกนั้นทิ้งไว้ในช่องเวิล์ดไวด์ ผู้เล่นทุกคนมีโอกาสเข้าร่วมศึกตะลึมบอนครั้งนี้เพียงครั้งเดียว หากตายแล้วก็จะไปคืนชีพในเมือง ไม่มีทางกลับมาที่เขตอู๋ซีได้อีกจนกว่าภารกิจจะจบ…
…ถ้าข้าเดาไม่ผิด การต่อสู้สนามนี้น่าจะจบลงภายในครึ่งวัน”
พอได้ยินเรื่องของกิน ซานเย่ว์ก็ตาเป็นประกายทันที “เจ้าจะลงครัวเองใช่ไหม”
“ไม่มีปัญหา” เยี่ยเว่ยหมิงยิ้ม
แล้วก็ผ่านไปอย่างนี้ การ PK ครั้งใหญ่ในสวนบ๊วยยังคงดำเนินต่อไป สามคนของสำนักมือปราบเทพกลับไปหาสถานที่ที่ธรรมชาติงดงามเพื่อกินอาหารป่าหนึ่งมื้อ แน่นอนว่าวัตถุดิบคือสินค้าเกษตรที่ซื้อมาจากตลาดในอู๋ซี ไม่ใช่ของป่า ปลอดภัยไร้สารพิษ
หลังจากกินอาหารและดื่มสุราอิ่มแล้ว ทั้งสามก็กลับมาที่สวนบ๊วย การต่อสู้ของที่นี่ยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่ขนาดการต่อสู้เล็กลงกว่าตอนที่พวกเขาจากมาเยอะมาก
เมื่อเวลาผ่านไป ความร้อนแรงในการ PK ของพวกผู้เล่นกลับค่อยๆ ลดลง เมื่อพวกที่ชอบต่อสู้ทยอยกันถูกกำจัดออกไป ผู้เล่นใหม่ที่เข้ามาก็น้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้นจำนวนของผู้เล่นที่อยู่ในสวนบ๊วยจึงลดลงเร็วมากเช่นกัน
กระทั่งตอนที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ขอบเขตของสนามต่อสู้ก็เปลี่ยนจากสวนบ๊วยมาเป็นเขตเล็กๆ ตอนที่เริ่มสู้กัน
ส่วนจำนวนผู้เล่นที่ต่อสู้ก็เปลี่ยนจากหลายหมื่นคนเป็นไม่กี่ร้อยคน อีกทั้งยังลดลงตามการตายของผู้เล่นสองฝั่งอีกด้วย
กระทั่งฝั่งพรรคกระยาจกเหลือคนไม่ถึงเจ็ดสิบสามคน ศิษย์สกุลมู่หรงยังเหลือยี่สิบเจ็ดคน จู่ๆ ก็มีเสียงมังกรคำรามดังก้องสนามรบ
ทุกคนเห็นชายร่างกำยำคนหนึ่งเข้ามาในกลุ่มฝูงชน เพียงชั่วโบกมือก็มีคนบาดเจ็บมากกว่าหนึ่ง ทำให้ผู้เล่นของทั้งสองฝั่งต่างคนต่างกลับเข้าค่ายของตัวเอง อาศัยแค่กำลังของตัวเองคนเดียว ก็ใส่เครื่องหมายจบประโยคให้ฉากตะลุมบอนของผู้เล่นเกินแสนได้แล้ว
[ติ๊ง! ศึกตะลุมบอนระหว่างพรรคกระยาจกกับสกุลมู่หรงผู้เล่นจบลง ยินดีด้วยที่คุณยืนหยัดจนถึงตอนสุดท้ายได้ ตอนนี้คะแนนรวมบนตัวคุณคือหนึ่งคะแนน หลังจากภารกิจครั้งนี้จบลง ไปแลกรางวัลกับ NPC ที่อยู่ฝั่งตัวเองได้]
ไม่สนใจระบบห่วยๆ นั่นแล้ว ตอนนี้สายตาของเยี่ยเว่ยหมิงหยุดอยู่บนตัวชายชาตรีผู้นั้น ตอนที่เขากำลังลงมือ ข้อมูล BOSS ก็ปรากฏออกมาเหนือศรีษะแล้ว
[เฉียวเฟิง]
ประมุขพรรคกระยาจก ยอดฝีมืออันดับหนึ่งรุ่นเยาว์ของยุทธภพ
เลเวล: ???
พลังชีวิต: ???/???
กำลังภายใน: ???/???
……
เฉียวเฟิงปรากฏตัวด้วยมาดของผู้เก่งกาจไร้เทียมทาน หลังจากหยุดการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายแล้ว NPC ของสองฝั่งที่ก่อนหน้านี้ได้รับการปกป้องจากระบบก็ทยอยกัน ‘เคลื่อนไหว’
ส่วนต้วนอวี้ที่ปรากฏตัวพร้อมเฉียวเฟิงก็วิ่งมายืนอยู่ข้างกายหวังอวี่เยียนทันที ทำตัวเป็นสุนัขจอมตื๊อที่ได้มาตรฐาน
เถียงกันตามบทบาทปกติก่อน จากนั้นผู้อาวุโสสี่คนของพรรคกระยาจกก็ปรากฏตัว หนึ่งในนั้น ผู้อาวุโสที่ชื่อว่าอู๋ฉางเฟิงเริ่มสู้ตัวต่อตัวกับเฟิงปัวเอ้อ
[ติ๊ง! ศึกใหญ่ระหว่าง ผู้อาวุโสอู๋ฉางเฟิงจากพรรคกระยาจกและ ‘ลมแห่งเจียงหนาน’ เฟิงปัวเอ้อ ผู้เล่นเลือกฝั่งและเข้าร่วมการต่อสู้ได้ ไม่ว่าจะท้าทายคู่ต่อสู้คนใดจากในนั้น หลังจากสู้ชนะแล้วจะได้รับคะแนนสะสมภารกิจ 100 แต้ม]
หลังจากแจ้งเตือนระบบดังขึ้น ร่างของผู้เล่นหลายคนที่ยืนอยู่สองฝั่งก็หายไปกลางอากาศทันที คงเข้าไปอยู่ในดันเจี้ยนท้าสู้แน่นอน
พวกเยี่ยเว่ยหมิงยังรักษาจุดยืนที่เป็นกลางต่อไป พวกผู้เล่นส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนั้นก็เลือกดูการต่อสู้เฉยๆ เช่นกัน
พอมาถึงก็ต่อสู้กันนานขนาดนี้ ทุกคนอยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้าทั้งกายใจแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น รางวัลของการท้าสู้ครั้งนี้ก็ไม่ได้ดีเลิศเลยจริงๆ หากแพ้ขึ้นมา คะแนนที่สะสมมาอย่างยากลำบากก่อนหน้านี้ก็จะกลายเป็นศูนย์โดยสิ้นเชิง ถึงขั้นถูกคัดออกจากภารกิจด้วย
ธุรกิจที่ทำแล้วขาดทุนแบบนี้ นอกจากผู้เล่นส่วนน้อยที่สู้จนเสพติดความสนุก ขอเพียงเป็นผู้เล่นที่มีสติสัมปชัญญะ ก็ย่อมไม่เลือกเข้าร่วมการต่อสู้อยู่แล้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง การท้าสู้ของพวกผู้เล่นก็จบลง เฟิงปัวเอ้อก็ถูกแมงป่องที่อู๋ฉางเฟิงเลี้ยงต่อยแล้ว
จากนั้นเนื้อเรื่องก็ผ่านไปอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่นถอนพิษให้เฟิงปัวเอ้อ เฉียวเฟิงลงมือสยบเสี้ยนหนามอย่างเฟิงปัวเอ้อได้ในชั่วพริบตาเดียว
หากเรื่องราวดำเนินไปอย่างนี้ตั้งแต่แรก ผู้เล่นแปดส่วนก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย แต่หลังจากผ่านการต่อสู้อันยาวนานขนาดนั้น ทุกคนก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน ตอนนี้กลับอยากจะชมเนื้อเรื่องอย่างสบายอกสบายใจสักครู่หนึ่ง พักผ่อนร่างกายและจิตใจที่เหนื่อยล้า
แต่ในเมื่อเป็นเนื้อเรื่องตามต้นฉบับเดิม ก็ไม่ได้สุขสันต์หรรษาเช่นนี้ต่อไปแน่นอน
ตอนนี้เอง หนึ่งในพรรคกระยาจกที่ชื่อเฉวียนกวนชิงก็นำกำลังพลกลุ่มใหญ่ปรากฏตัว เริ่มอาศัยเรื่องของมู่หรงแห่งกูซูกดดันเฉียวเฟิง น้ำเสียงที่ใช้พูดก็ให้ความรู้สึกข่มขู่ ต้องการจะกล่าวโทษเฉียวเฟิง
เมื่อเห็นว่าทิศทางลมไม่ถูกต้อง เฉียวเฟิงก็ลงมืออย่างไม่ลังเล อาศัยทักษะยุทธ์อันเหนือชั้นที่คนอื่นไม่มีทางโต้ตอบได้ รวมทั้งสติปัญญาอัญชาฉลาดและบารมีอันน่าเกรงขามของตัวเองแก้ไขวิกฤตในครั้งนี้ได้อย่างสบายๆ ทั้งยังล้วงข้อมูลจากปากลูกน้องคนหนึ่งของเฉวียนกวนชิง ความว่า ผู้อาวุโสผู้ถ่ายทอดวิชาและผู้อาวุโสผู้คุมกฎของพรรคกระยาจกถูกขังอยู่บนเรือในทะเลสาบ
เฉียวเฟิงสั่งให้คนไปปล่อยผู้อาวุโสสองท่านนั้น ก่อนจะเริ่มปะทะฝีปากกับเฉวียนกวนชิงและผู้อาวุโสทั้งสี่คน
ระหว่างที่กำลังปะทะกัน ในที่สุดพวกเยี่ยเว่ยหมิงก็ได้รับรู้แล้วว่าสิ่งใดที่เรียกว่า ‘การผสมผสานอันสมบูรณ์แบบแบบระหว่างถูกต้องชอบธรรมและความเผด็จการน่าเกรงขาม’
เฉียวเฟิงอาศัยกำลังของตัวเองสลายทัพกบฏก่อน บีบให้เอาผู้อาวุโสทั้งสี่คุกเข่ายอมรับผิด หลังจากผู้อาวุโสผู้ถ่ายทอดวิชาหลี่ว์จางและผู้อาวุโสผู้คุมกฎไป๋ซื่อจิ้งมาถึงแล้ว ก็เป็นฝ่ายให้อภัยผู้อาวุโสทั้งสี่เอง
ในระหว่างนั้น การกระทำที่ลงดาบกับร่างกายตนเองจนพิการก็ยิ่งทำให้พวกผู้เล่นที่อยู่ตรงนั้นสะเทือนใจ
ชั่วขณะนั้น สี่ผู้อาวุโสที่เดิมทีไม่พอใจเขาจนถึงขั้นนำก่อกบฏก็ตื้นตันใจเป็นอย่างมาก พากันสาบานว่าจะจงรักภักดีจนตัวตาย
ความสามารถและคุณธรรมระดับนี้ วิธีการระดับนี้ แม้แต่เยี่ยเว่ยหมิงเองก็รู้สึกละอายที่เทียบไม่ติด!
จัดการสี่ผู้อาวุโสได้แล้ว ยังเหลือเฉวียนกวนชิงอีกคนที่ยังเต้นผางเหมือนตัวตลก
ว่ากันว่าถ้าอยากทำลายใครให้ทำให้เป็นบ้าก่อน เฉวียนกวนชิงในตอนนี้เปิดโหมดสุนัขบ้าเต็มที่แล้ว เริ่มกัดมั่วไปหมด เริ่มจากด่าผู้อาวุโสทั้งสี่ว่าจุดยืนไม่มั่นคง จากนั้นเรียกเฉียวเฟิงว่าเป็นชาวชี่ตัน
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขาแล้ว
อาจจะมองออกว่าเฉวียนกวนชิงไม่ได้เรื่องจริงๆ มือมืดหลังม่านตัวจริงที่ตั้งใจเล่นงานเฉียวเฟิง ในที่สุด คังหมิ่นฮูหยินของรองประมุขพรรคกระยาจกหม่าต้าหยวนก็ตัดสินใจลงสนามด้วยตัวเองแล้ว นางมายืนอยู่ข้างหน้าสุด
จากนั้นแผนสำรองที่นางเตรียมไว้มากมายก็ทยอยปรากฏขึ้น ผู้อาวุโสมากมายในยุทธภพทยอยปรากฏตัว แม้แต่วังเจี้ยนทง อดีตประมุขพรรคกระยาจกก็นำจดหมายส่วนตัวของพี่ใหญ่มาเป็นหลักฐาน
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนชี้ไปที่เรื่องเดียว นั่นก็คือที่จริงแล้วเฉียวเฟิงคือชาวชี่ตันที่เติบโตในภาคกลาง!
เมื่อปล่อยหมัดชุดนี้มารวมกัน ก็ทำให้เฉียวเฟิงจนมุมทันที ทำได้เพียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดแต่ไร้ความสามารถว่า “ข้าเป็นชาวฮั่นที่สง่าผ่าเผย จะเป็นชาวชี่ตันได้อย่างไร หากพวกเจ้าต้องการถอดข้าออกจากตำแหน่งประมุข ข้าไม่เป็นประมุขพรรคแล้วก็ได้ เหตุใดต้องสร้างเรื่องโกหกมาใส่ร้ายข้าด้วย เฉียวผู้นี้ทำเรื่องชั่วร้ายอะไรกันแน่ พวกเจ้าจึงต้องบีบบังคับข้าขนาดนี้”
ประโยคสุดท้ายเขาคำรามจนคอแทบแตก หลายคนได้ยินแล้วรู้สึกเห็นอกเห็นใจ นอกนั้นก็มีเพียงเสียงลมสัมผัสกิ่งไม้ เสียงแมลงในพงหญ้า แต่ละคนพากันหอบหายใจ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรทั้งนั้น
ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว จ้าวเฉียนซุนที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายพลันแสยะหัวเราะ “ช่างน่าขำนัก! เป็นชาวฮั่นก็ไม่ได้เหนือกว่าใคร ชาวชี่ตันก็ไม่ได้เลวกว่าสุนัขเสมอไป! เจ้าเป็นชี่ตันแท้ๆ แต่กลับสวมรอยเป็นชาวฮั่น แม้แต่มารดาบิดาตัวเองยังไม่กล้ายอมรับ ยังมาเรียกตัวเองว่าเป็นลูกผู้ชายได้อย่างไรกัน…
…ฮ่าๆๆ น่าขำ น่าขำที่สุด!”
เมื่อเห็นว่าเรื่องราวกำลังจะเข้าสู่จุดสุดยอด เยี่ยเว่ยหมิงที่รักษาท่าทีของคนนอกที่ติดตามชมมาตลอดก็หัวเราะลั่น จากนั้นก้าวเข้ามาในสนาม
ระหว่างที่กำลังเดิน สายตาก็ชำเลืองจ้าวเฉียนซุนอย่างดูถูกแวบหนึ่ง พร้อมบอกว่า “ตอนที่ข้าสืบคดีอยู่เมืองหลวงก่อนหน้านี้ ข้าเจอข้อมูลลับที่น่าสนใจมาก ได้รู้บางอย่างที่น่าสนใจมากมาจากในนั้น ในปีนั้นทูตท่านหนึ่งของซีเซี่ยมาที่ภาคกลาง เคยมาค้างคืนที่หอนางโลม แล้วเผลอทิ้งเด็กไว้คนหนึ่ง…
…เพียงแต่นางโลมคนนั้นไม่รู้แม้กระทั่งชื่อแซ่ของขุนนางซีเซี่ยคนนั้นด้วยซ้ำ จึงตั้งชื่อให้เด็กคนนั้นว่าจ้าวเฉียนซุน เพื่อแสดงว่าพื้นเพของเขาคลุมเครือ”
“เหลวไหล!” จ้าวเฉียนซุนได้ยินแล้วโมโหมาก “ข้าเป็นชาวฮั่นผู้ผ่าเผย จะกลายเป็นลูกนอกคอกของคนซีเซี่ยได้อย่างไร อีกทั้งชื่อของข้า เดิมทีก็ไม่ใช่จ้าวเฉียนซุน นี่คือชื่อที่ข้าตั้งให้ตัวเองหลังจากศึกใหญ่ด่านเยี่ยนเหมิน นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะมาปั้นเรื่องใส่ร้ายข้าซี้ซั้ว!”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วเริ่มเปิดใช้งานโหมดยั่วโมโห “เป็นชาวฮั่นก็ไม่ได้เหนือกว่าใคร ชาวชี่ตัน… ชาวซีเซี่ยก็ไม่ได้เลวกว่าสุนัขเสมอไป! ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ ขอเพียงมีสมองต่างก็ฟังออก ว่าสิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้เป็นเพียงการล้อเล่นเท่านั้น แต่ดูจากท่าทางร้อนรนของเจ้าสิ มีสง่าราศีของผู้อาวุโสบู๊ลิ้มเหลืออยู่สักครึ่งหรือไม่”
ประโยคนี้ของเยี่ยเว่ยหมิงเหมือนเป็นการตบหน้าที่โจ่งแจ้งจริงๆ โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่เขาจงใจพูดผิดจากคำว่า ‘ชาวซีเซี่ย’ ให้เป็น ‘ชาวชี่ตัน’ จากนั้นก็พูดใหม่ แทบจะชัดเจนแล้วว่ากำลังพูดจาเสียดสี ทำให้จ้าวเฉียนซุนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
เมื่อเห็นผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องลงสนาม คังหมิ่นที่เป็นมือมืดหลังม่านในที่สุดก็นั่งไม่ติดที่แล้ว นางกลอกสายตามามองเยี่ยเว่ยหมิงแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์น้อยท่านนี้เป็นใคร เหตุใดจึงสอดมือเข้ามาแทรกแซงเรื่องใหญ่ของพรรคกระยาจก”
“ถามได้ดี!”
ระหว่างที่เยี่ยเว่ยหมิงตอบก็นำป้ายคำสั่งประจำตัวออกมาจากหน้าอกแล้วชูขึ้นสูงพร้อมประกาศว่า “มือปราบขั้นห้าของสำนักมือปราบเทพ เยี่ยเว่ยหมิง ได้รับคำสั่งให้มาสืบหาความจริงเรื่องการตายของรองประมุขพรรคกระยาจก หม่าต้าหยวน เพื่อป้องกันไม่ให้พวกที่มีเจตนาไม่ซื่อใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้สร้างความวุ่นวายให้ยุทธภพ!”
จากนั้นเฟยอวี๋ก็นำป้ายคำสั่งออกมาเช่นกัน “มือปราบขั้นห้าของสำนักมือปราบเทพ เฟยอวี๋!”
ซานเย่ว์เอาเยี่ยงอย่าง เผยป้ายคำสั่งออกมา หลับจากลังเลครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “สำนักมือปราบเทพ…มือปราบซานเย่ว์”
เห็นนางหนูคนนี้ทำสีหน้าแปลกๆ เยี่ยเว่ยหมิงจึงแอบมองปป้ายคำสั่งในมือนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกกลุ้มใจทันที
ขั้นสี่!
สาวน้อยที่ชอบทำภารกิจคนนี้ ฉวยโอกาสที่ตนท่องเที่ยวไปทั่วทั้งแผนที่ นางเลื่อนขั้นมือปราบของตัวเองจนถึงขั้นสี่แล้วหรือ
“หญิงหม้ายแซ่หวัง คำนับใต้เท้าทั้งสาม” แม้ชาวยุทธ์จะไม่พอใจราชสำนัก แต่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของชนชาติเช่นนี้ พวกเขาไม่มีหน้าไปตัดคนจากราชสำนักออกจากเรื่องนี้จริงๆ
หลังจากคังหมิ่นมองสถานการณ์กระจ่างแล้วก็เอ่ยทันทีว่า “ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้ว ความจริงก็คือเฉียวเฟิงต้องการปิดบังที่ตัวเองเป็นชาวชี่ตัน จึงสมคบกับมู่หรงฟู่สังหารสามีข้า เพราะเมื่อทำเช่นนี้ ก็จะไม่มีใครเป็นภัยต่อตำแหน่งประมุขพรรคของเขาได้!”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วลังเล ทำท่าอึกอักพูดไม่ออก จากนั้นหันมาถามพวกผู้อาวุโสของพรรคกระยาจก “เพราะหม่าฮูหยินคิดถึงสามีที่ตายไปจึงสติเลอะเลือน เริ่มคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลไม่ค่อยได้แล้ว ทุกคนคงไม่คิดอะไรเบี่ยงเบนไปเพราะนางหรอกใช่ไหม”