ผมตื่นขึ้นมาควบคุมยานอวกาศที่แข็งแกร่งที่สุด ผมเลยเป็นทหารรับจ้างอวกาศ — I Woke Up Piloting the Strongest Starship, so I Became a Space Mercenary 289 สู่ดินแดนเผ่าโรส

ตอนที่ 289 สู่ดินแดนเผ่าโรส

“ขอโทษที่ให้รอค่ะ”

“ไม่เป็นไร เธอขยันขับบัวดำอยู่ตลอด ตอนนี้มันได้เวลาเธอได้รับประสบการณ์การขับแบบใหม่ของฉันต่อ”

“ค่ะ ดิฉันรอคอยที่จะได้รับมัน”

ขณะเธอตอบ เมย์ไปนั่งที่นั่งรองเจ้าหน้าที่สื่อสาร

หลังจากลงที่รีฟิลที่สี่หรือทีต้า เราวางแผนออกยานฤษณะจากบัวดำและมุ่งหน้าไปดินแดนเผ่าโรส

เราส่งเส้นทางการบินให้ผู้ดูแลแล้วเมื่อเราขอลงดาวเคราะห์

“มีมี่ ขอออกยานกับหอควบคุมการบิน”

“ได้ค่ะท่าน!”

มีมี่ขอการอนุญาตขึ้นบินจากหอควบคุมการบินของท่ายานผสม พื้นฐานมันเหมือนกันมากกับเมื่อขอเข้าและออกโคโลนี แต่เวลาขึ้นบินและลงจอดถูกนำทางและเฝ้าดู อืม น่านฟ้าที่บินได้ตามสบายในดาวเคราะรู้สึกว่ามันยังอึดอัดมากกว่าเมื่อเทียบกับอวกาศนอกที่กว้างใหญ่ คนต้องเอาแรงโน้มถ่วงมาคิดถึงด้วย มันอันตรายมากถ้าไม่บินตามบริการควบคุมการบิน เพราะอุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นเมื่อขึ้นบินและลงจอด

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเครื่องบินสร้างด้วยเทคโนโลยีล่าสุดที่ติดตั้งมาพร้อมโล่พลังงานแบบต่ำ อุบัติเหตุเนื่องจากปัจจัยอื่นเหมือนนกบินเข้าเครื่องและน้ำแข็งเกาะลดลงได้มาก

เอ๋? แล้วรถไฟบินที่เราขึ้นก่อนหน้าหรือ?

นั่นไม่ได้ถูกสร้างด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแต่เป็นเวทมนตร์ ดังนั้นผมไม่แน่ใจ ในความเป็นจริง ถ้าผมมีโอกาสผมอยากแนะนำการพัฒนามาตรการป้องกันผู้โดยสารถ้ามีเหตุยานบินตก โดยเฉพาะหลังจากอุบัติเหตุนั้นที่เราไปติด

『นี่เป็นหอควบคุมการบินถึงกฤษณะ คุณขึ้นบินได้ ได้โปรดตามไฟนำทาง』

“รับทราบ กฤษณะ ออกตัว”

ผมทำตามคำสั่งของฝ่ายบริการหอควบคุมการบิน และออกบินจากประตูบัวดำ ผมเพิ่งเคลื่อนที่ยานตามไฟนำทางที่แสดงอยู่บนจอหลักของกฤษณะ มันค่อนข้างง่าย

“มีมี่ใช้งานล็อกและโล่พลังงานของบัวดำ”

“ได้ค่ะท่าน ประตูพับปิดล็อก เปิดโล่พลังงาน”

“ฉันฝากการดูยานไว้ให้เธอนะเมย์ บอกเราทันทีถ้าบางอย่างเกิดขึ้น”

“ได้ค่ะ ได้โปรดปล่อยให้ดิฉันได้เลยค่ะ”

ผมไม่คิดว่าจะมีใครสักคนบนทีต้าที่จะทำบางอย่างกับบัวดำ แต่มีโอกาสอยู่เสมอ ถ้ามีแผนที่จะออกยานเป็นระยะเวลานานต้องมีมาตราการป้องกันยานที่แน่นหนาไว้

“โว่ว ไม่เหมือนอวกาศนอก ทิวทัศน์ผิวดาวเคราะห์มันสวยและสดชื่นเนาะ?”

“ไม่ใช่เพราะมันมีครึ่งบนครึ่งล่างเหรอพี่สาว?”

ระหว่างฟังพี่น้องช่างที่นั่งข้างผมบนที่นั่งสำรองคุยอย่างมีความสุข ผมตามไฟนำทางต่อและออกจากบริเวณควบคุมการบินของท่ายานผสม เมื่อออกมาถึงจุดนี้จะบินได้อิสระถึงจุดหนึ่ง แต่มีการควบคุมความเร็วกับความสูงอยู่ เพราะแม้ว่าแค่บินแบบเดินทางเฉยๆกฤษณะก็ไปถึง 2 มัคแล้ว ถ้าบินใกล้พื้นด้วยความเร็วนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่เพราะซอนิกบูม

“นานแค่ไหนก่อนเราไปถึง?”

“น้อยกว่าสองชั่วโมงที่ความเร็วเดินทาง นั่นน่าจะประมาณ 5,000 กิโลเมตร”

“5,000 กิโลเมตร…… หลังได้ยินอย่างนั้น จะรู้ได้เลยว่าดาวเคราะห์นี้ใหญ่แค่ไหนไม่ใช่เหรอ?”

“โคโลนีไม่ใกล้เคียงเลย”

โคโลนีมีขนาดต่างกันแต่มันพูดกันว่าโคโลนีที่มีขนาดใหญ่สุดหรือโคโลนียักษ์ที่เรียกกันก็มีคนได้แค่ประมาณหนึ่งล้านคน เพราะเหมือนว่าถ้าโคโลนีใหญ่เกินไปมันจะเติมเสบียงและดูแลรักษายาก ดังนั้นในจักรวรรดิกรากัน โคโลนีที่มีคนประมาณ 500,000 คนจะเป็นมาตฐาน

เมื่อเดินทางผ่านระบบดาวต่างๆเราหยุดโคโลนีค้าขาย แต่มีโคโลนีประเภทอื่นด้วยเหมือนกันเช่นโคโลนีขุดทรัพยากรณ์, โคโลนีวิจัยและพัฒนา, โคโลนีผลิตอาหาร, และกองประจำการกองทัพจักรวรรดิ เพราะส่วนใหญ่เราไม่มีธุระกับประเภทนั้น เราเลยไม่ได้เข้าไป

สรุปแล้ว โคโลนีที่สร้างในอวกาศนอกดูแลคนจำนวนมากมายไม่ได้ ดังนั้นเอง แต่ละจักรวรรดิจักรวาลและชาติต่างๆแข่งกันเพื่อให้ได้ดาวเคราะห์ที่เหมาะกับการปรับพื้นผิวดาวและเข้ายึดครอง และพวกมันถูกค้นหาอยู่ตลอดในที่ที่เรียกว่าโลกบนขอบเพื่อวางเป้าหมายขยายการควบคุม

นั่นทำไมจักรวรรดิกรากันให้ความสนใจมากกับโครงการปรับผิวดาวที่คริสหรือเอิร์ลดาเรนวาลด์ทำ และส่งกองทัพเพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยดาวเคราะห์ที่อยู่อาศัยได้เพราะสุดท้ายมันจะเพิ่มเติมความแข็งแกร่งของงชาติจักรวรดิกรากัน

ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเขายังสร้างโคโลนีกับสถานีเยอะถ้าพวกเขาไม่สามารถให้คนอยู่อาศัยได้เยอะๆหรือ? มันเพราะเมื่อพวกเขาได้เก็บทรัพยากรดิบจากสนามดาวเคราะห์น้อยและดาวเคราะห์แก๊สยักษ์และส่งไปที่อวกาศอีกครั้งมันจะค่าใช้จ่ายเยอะและไม่มีประสิทธิภาพ

พวกเขาชอบเก็บทรัพยากรในอวกาศนอก, เก็บพลังงานจากเครื่องกำเนิดพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพ, และย้ายไปเข้าขั้นตอนการผลิตหลังจากนั้น นี่จริงเป็นพิเศษเมื่อผลิตยานอวกาศลำใหญ่และอะไรใหญ่ๆพวกนั้น เพราะบรรยากาศไร้แรงโน้มถ่วงเพียงแค่เหมาะสมมากกว่า

นั่นคือพื้นฐานทั้งหมดที่ผมเข้าใจ ยังมีปัจจัยที่ทำให้เปลี่ยนหลายๆอย่างเช่นเพราะการพัฒนาเทคโนโลยีเหมือนหน่วยขับอวกาศขั้นสูงสุดและการดูแลเครือข่ายประตูทาง และมันดูเหมือนว่าพวกเขาก็วิจัยความเป็นไปได้ที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างยักษ์เพื่อให้มีคนจำนวนมากอยู่ได้เรื่อยๆด้วย

แต่มีความคิดเห็นต่างกันภายในระดับสูงของผู้นำจักรวรรดิกรากัน บางคนอยากเน้นกับการเปลี่ยนดาวเคราะห์อยู่อาศัยได้ให้อยู่ใต้การปกครองของพวกเขาเพื่อทำเป็นดาวเคราะห์เมืองเหมือนเมืองหลวงจักรวรรดิ ระหว่างที่อีกฝ่ายเสนอความคิดสร้างสิ่งก่อสร้างยักษ์โดยใช้ทรัพยากรณ์ทั้งหมดที่อยู่ในระบบดาวอย่างกล้าหาญ กระนั้นก็ยังมีอีกฝ่ายที่อยากเน้นการค้นหาและค้นพบดาวเคราะห์แทนที่จะจินตนาการเกินจริงไปเรื่อยเปื่อย

ถึงอย่างไร มันค่อนข้างเละอยู่

ข้อมูลเหล่านี้ผมเรียนมาในรายละเอียดที่เมย์สอนเมื่อเธอเห็นผมอ่านประเด็นนี้ระหว่างอยู่พื้นที่พักของบัวดำ เพราะอะไรไม่รู้เธอรู้อยู่แล้วว่าผมค้นคว้าอะไรอยู่ก่อนหน้า, ปรากฏมาช่วงเวลาสมบูรณ์แบบ, และจงใจเสนอสอนผมเต็มที่

อืม จริงๆแล้วผมก็รู้อยู่ว่าทำไมเธอทำอย่างนั้นได้แต่เพียงแค่ไม่สานต่อประเด็นนี้ ผมไม่ได้มีเจตนาจิ้มรังแตนให้โดนต่อยถ้าพูด ดังนั้นผมไม่มีเจตนาขุดประเด็นนี้ลึก ใช่เธอไม่ได้เฝ้าดูผมอยู่เรื่อยๆ เธอเพียงแค่ดูผมให้อบอุ่นใจ ถ้าผมตีความแบบนั้น ผมจะรักษาความสบายใจไว้ได้

เวลาบินผ่านไปและเราคุยกันเล่นในห้องนักบิน และก่อนเรารู้ เราบินสองชั่วโมงแล้ว กฤษณะมาถึงสนามบินกลางของเผ่าโรสอย่างปลอดภัย

“ยังไงไม่รู้ บรรยากาศที่นี่ต่างจากเผ่ามินฟาและกราโดมากเลยนะ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?”

“ใช่ มันมีตึกระฟ้าเต็มไปหมดจริงๆ แต่มันไม่ใช่ไม่มีสีเขียวเลย แต่มันเข้ามาผสมเข้ากับเมืองสมัยใหม่เต็มๆ”

ผมขับยานตามคำแนะนำหอควบคุมการบินของสนามบินกลางและเริ่มนำกฤษณะลงที่บริเวณลงจอดที่กำหนดไว้  ระบบจอดออโตยังมีประโยชน์แม้ว่าในบรรยากาศนี้อย่างนั้นเหรอ

เมื่อคนเข้าระยะควบคุมของสนามบินหลังขอลงจอดยานจะลงจอดอัตโนมัติเมื่อได้รับอนุญาต

“เราจะทำอะไรต่อหลังเราลงสนามบิน?”

“ดิฉันติดต่อตระกูลวิลโรสแล้วค่ะ พวกเขาบอกดิฉันว่าพวกเขาจะส่งคนมารับเรา”

“เฮฮ๋ มันรู้สึกเหมือนแขกสำคัญสุดๆเลย”

“ไม่ใช่แค่รู้สึกหรอก เขาทำเหมือนเราเป็นแขกสำคัญสุดจริงๆ”

สำหรับเอลฟ์ทีต้า เรา หรือผม เป็นบุคคลแบบพิเศษ อย่างแรกผมช่วยลูกคนสำคัญในเผ่ากราโดและมินฟาที่ถูกโจรสลัดอวกาศลักพาตัว หลังจากนั้น เพราะชะตาหักมุมบ้าๆ เราไปเจอเมล็ดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เอลฟ์บูชา และผมถูกบอกให้ทำตัวเป็นฮีโร่ในตำนานของเอลฟ์ ในความจริงนั้นเมล็ดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่กับผมอยู่เลย

“ไม่ว่ายังไง ถ่อมตัวและไม่หยาบใส่พวกเขากันเถอะ เราถูกคนน่าสงสัยมองแล้วฉันเลยไม่อยากได้ปัญหามากกว่านี้ถ้าทำได้”

“ฉันไม่คิดว่าเราจะไปพัวพันกันปัญหาแบบนั้นที่นี่ ถิ่นนี้เป็นของเผ่าโรสเต็มๆ”

“เรียกที่นี่ว่าถิ่นทำให้ฉันนึกอดีตนะ”

“เพราะมันเป็นคำที่เด็กแก๊งมีอายุแล้วใช้ไง”

“เงียบน่า”

ขณะเราคุยกันเล่นๆ ระบบจอดออโตก็เสร็จงานและลงจอดอย่างสมบูรณ์แบบ

ตอนนี้ ทั้งหมดที่เราต้องทำคือพร้อมลงยานกัน

เรามีแผนอยู่ที่นี่สองสามคืน ดังนั้นเราต้องเอาไปหลายอย่าง

แปลโดย: wayuwayu

tipme : tipme.in.th/wayuwayutl

ได้โปรดโดเนทเพื่อสนับสนุนผู้แปล ติดตามข้อมูลข่าวสาร, ติดต่อ: ​http://linktr.ee/wayuwayu

ผมตื่นขึ้นมาควบคุมยานอวกาศที่แข็งแกร่งที่สุด ผมเลยเป็นทหารรับจ้างอวกาศ — I Woke Up Piloting the Strongest Starship, so I Became a Space Mercenary

ผมตื่นขึ้นมาควบคุมยานอวกาศที่แข็งแกร่งที่สุด ผมเลยเป็นทหารรับจ้างอวกาศ — I Woke Up Piloting the Strongest Starship, so I Became a Space Mercenary

Score 10
Status: Completed
เมื่อผมตื่นขึ้นมา ผมพบว่าตัวเองอยู่ในยานอวกาศ ผมเดาว่าพวกคุณต้องคิดว่าผมพูดไร้สาระที่นี่ แต่ผมก็ไม่มีเบาะแสเลยว่าอะไรเกิดขึ้นกับผมกันแน่ ผมเกือบจะขาดสติ แต่เดชะบุญ ผมสามารถที่จะสังเกตว่าที่นี่คล้ายกับโลกที่อยู่ในเกมที่ผมเล่นไม่นานมานี้จริงๆ ผมฝันอยู่หรือ? ไม่ มันไม่ใช่ฝัน ผมอาจจะถูกส่งไปที่โลกอื่นหรืออะไรบางอย่าง? แต่ไม่ใช้เรื่องพวกนั้นปรกติแล้วจะถูกส่งไปที่โลกแห่งเวทมนตร์ ที่มีเอลฟ์ ดวาร์ฟ มังกร และอะไรพวกนั้นหรือ? ไม่ว่ากรณีไหน ผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุสำหรับเรื่องนี้ แต่ผมเดาว่าผมต้องยอมรับความไม่พึงพอใจพวกนี้ และใช้ชีวตอยู่อย่างถูกต้องในโลกนี้ตั้งแต่ตอนนี้ไป มันจะโอเค ผมได้อยานอวกาศที่ผมเชื่อใจมา ดังนั้นผมน่าจะหาเงินได้บ้าง มันจะโอเค! มันต้องโอเค! นี่เป็นเรื่องราวของชายที่ถูกโยนเข้าไปในจักวารอย่างกระทันหัน ด้วยกันกับยานอวกาศส่วนตัวของเขา เขาไปทุกที่กับมัน และช่วยสาวน้อยที่เดือดร้อนในที่เหล่านั้นระหว่างที่ไป จีบกับสาวที่ว่ามานั้น หาเงินในฐานะทหารรับจ้าง ไปสู่การใช้ชีวิตอย่างอิสระและง่ายดาย

Options

not work with dark mode
Reset