ในที่สุดทหารองครักษ์ด้านนอกตวนจวนชินอ๋องก็แยกย้ายกันไป
ทางด้านนี้ทหารองครักษ์เพิ่งจะแยกย้าย หลี่เย่ก็รีบเร่งกลับมาที่จวนตวนชินอ๋องอย่างกระวีกระวาดร้อนใจ เพื่อไปยังเรือนเฉินเซียง
ถาวจวินหลันเองก็รู้ว่าเขาต้องกลับมา จึงนั่งรออยู่ที่ระเบียง ถ้าไม่ใช่เพราะพระอาทิตย์สาดแสงแรงกล้า นางเองก็คงไปยืนรอหน้าประตูแล้ว เวลาเจ็ดวันนี้สำหรับนางแล้วเหมือนหนึ่งปี แม้จะบอกว่าเป็นเวลาเพียงเจ็ดวัน แต่นางรู้สึกเหมือนไม่ได้พบหน้าหลี่เย่นานมาก
หนึ่งวันไม่ได้เห็น ดั่งเว้นห่างตั้งสามปี เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกแรงกล้าขนาดนี้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิดถึงมากเกินไป ถึงสื่อสารทางจิตได้ หลี่เย่เพิ่งเข้าประตูใหญ่ของเรือนเฉินเซียง ถาวจวินหลันก็เงยหน้าขึ้นมามอง ทั้งสองคนสังเกตเห็นอีกฝ่ายตั้งแต่วินาทีแรก
ทั้งคู่สบตากัน ไม่อาจละสายตาจากกันได้เลย และหลี่เย่ก็รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ก้าวเท้ายาวเดินเข้าไป
ถาวจวินหลันเองก็ลุกขึ้นมา พอใกล้กันแล้วก็ได้กลิ่นที่คุ้นชินของอีกฝ่ายหนึ่ง ฝีเท้าจึงหยุดลงพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย หลังจากมองสบตาและยิ้มให้กันแล้ว ถาวจวินหลันก็ยื่นมือพลางยิ้มและพูดก่อนว่า “กลับมาแล้วหรือเพคะ?”
หลี่เย่ยื่นมือออกไปจับนางไว้อย่างเป็นธรรมชาติ รอยยิ้มที่อบอุ่นพลันสว่างแสบตายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ แต่น้ำเสียงก็ยังคงเรียบนิ่งเป็นปกติ “อืม กลับมาแล้ว”
สถานการณ์เช่นนี้ไม่เหมือนกับไม่ได้พบหน้าเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เกือบจะคล้ายกับการจากลากันชั่วนิรันดร์ อย่างไรก็ไม่ได้แตกต่างจากตอนปกติมากนัก ไม่ได้ตื่นเต้นที่มากเกินไป มีเพียงความอบอุ่นเรียบง่ายเท่านั้น
แต่ในใจของทั้งสองคนนั้นต่างก็เติมเต็ม พอใจเอ่อล้นจนพูดไม่ออก
“หลายวันมานี้ท่านไปพักที่ใดเพคะ?” ถาวจวินหลันถามหลี่เย่ พลางรินชาให้เขาอย่างคล่องแคล่ว
หลี่เย่จิบไปคำหนึ่ง ก็ให้รู้สึกหอมกรุ่น จนอดหรี่ตาลงไม่ได้ พูดว่า “อย่างไรชาที่บ้านก็อร่อยที่สุด อยู่นอกบ้านก็ไม่สู้อยู่บ้านตัวเอง ช่วงหลายวันมานี้ข้าไปพักอยู่ที่เรือนของจิ้งผิง” องค์หญิงเก้าเป็นน้องสาวของเขา เขาอยู่ที่เรือนในก็ไม่ถึงขั้นต้องหลบหลีก เวลาที่พูดคุยปรึกษาหารือกับถาวจิ้งผิงก็สะดวกสบาย
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ใบชาเหมือนกัน น้ำก็เหมือนกัน ทว่าชงออกมาแล้วก็ควรมีรสชาติเหมือนกันซี ไฉนเลยจะอร่อยกว่าได้เล่า? เดี๋ยวข้าจะจัดเตรียมของไปมอบให้องค์หญิงเก้าเสียหน่อย”
แม้จะบอกว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน แต่คนอื่นทำดีต่อตน ตนเองก็ไม่อาจคิดว่าเป็นเรื่องที่สมควร คนอื่นทำดีกับตนเอง ตนเองก็ควรดีจะต่อคนๆ นั้นให้มากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะยิ่งสนิทสนมกันอย่างนั้นมิใช่หรือ?
“ข้าจำได้ว่ามีแท่นฝนหมึกอยู่แท่นหนึ่ง คิดว่าจิ้งผิงน่าจะชอบ เจ้าเองก็ให้ไปพร้อมกันด้วยเลย” หลี่เย่เข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน ย่อมต้องเห็นด้วย “อย่าให้ของที่มีราคามากเกินไป ของจำพวกผักและผลไม้สดใหม่ที่สวนส่งมาก็ส่งไปให้เยอะหน่อย”
ถาวจวินหลันพยักหน้ารับรู้ สุดท้ายก็ถามเขาว่า “หลายวันมานี้ข้าไม่สามารถถามเรื่องโรงทานและโรงยาได้เลย ในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”
“อาหารและสมุนไพรที่เจ้าตุนเอาไว้ยังมีอยู่ อย่างน้อยก็ยังพอไปได้อีกเดือนหนึ่ง ไม่ต้องเป็นกังวล” หลี่เย่พูดเสียงอ่อนโยน “ข้าให้หลิวเอินรับผิดชอบเรื่องนี้แล้ว เจ้าเองก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมากนัก สุขภาพยังไม่ทันได้หายดี ก็อย่าไปเหนื่อยใจอีก ช่วงนี้ได้กินยาตรงเวลาบ้างหรือไม่?” นี่เป็นเทียบยาบำรุงที่หมอหลวงเขียนไว้ให้ เขากลัวว่าหลายวันมานี้ถาวจวินหลันจะไม่ได้กินยาตามเวลา
ถาวจวินหลันหัวเราะพลางพูดว่า “ท่านวางใจเถิด หงหลัวให้ข้ากินยาตรงเวลา” นางไม่ได้ถามเรื่องของโรงทานและโรงยาอีก ความเป็นจริงแล้ว ต่อให้ถามไปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ? กลับกลายเป็นว่าจะทำลายบรรยากาศ นางทำลายช่วงเวลาที่ผ่อนคลายหาได้ยากนี้ไม่ลงจริงๆ
ไม่พูดแม้แต่เรื่องที่ครั้งนี้นางถูกฉ่ายยวนเล่นงาน
หลี่เย่เองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ทั้งสองคนเพียงแค่เลือกเรื่องผ่อนคลายมาพูดคุยกัน
ไม่ได้พูดคุยกันนานนัก เสียงของหงหลัวที่อยู่ด้านนอกก็ดังขึ้นมา “ชายารองเจียงส่งคนมาถามว่าท่านอ๋องกลับมาหรือยังเพคะ บอกว่ามีเรื่องต้องการคุยกับท่านอ๋อง อยากเชิญท่านอ๋องไปหา”
แม้ว่าหงหลัวจะพยายามปกปิด แต่น้ำเสียงก็ยังคงแฝงแววโกรธเคือง
หงหลัวยังเป็นเช่นนี้ ถาวจวินหลันเองก็ย่อมไม่ได้สบายใจไปกว่ากันเท่าไรนัก ถ้าเป็นปกติก็ยังพอทน แต่วันนี้นางตัดใจให้หลี่เย่จากไปไม่ได้จริงๆ และการกระทำเช่นนี้ของเจียงอวี้เหลียนยิ่งทำให้นางไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป
จาวจวินหลันยื่นมือออกไปจับแขนเสื้อของหลี่เย่เอาไว้ ออดอ้อนน้อยๆ “ให้นางมาพูดซีเพคะ” ถ้าไปครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องถูกรั้งตัวอยู่นานเพียงใด นางไม่ยินยอมจริงๆ
ถาวจวินหลันเองยังไม่รู้ว่าท่าทีของนางมีแววออดอ้อนมากเพียงใด น้อยครั้งที่นางจะเป็นเช่นนี้ หลังจากเข้ามาในจวนอ๋องแล้วก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ หลี่เย่สังเกตเห็นก็หวั่นไหวขึ้นมาหลายส่วน ไฉนเลยจะกล้าไป อีกอย่างเขาเองก็ไม่อาจตัดใจไปตั้งแต่แรกแล้ว
ในความเป็นจริงตอนนี้งานราชการยุ่งวุ่นวาย แล้วยังต้องเข้าวังหลวงไปอยู่ข้างฮ่องเต้ เขาแทบจะไม่มีเวลาได้ผ่อนคลาย วันนี้ถือว่าเป็นการหาเวลามาเป็นพิเศษ วางแผนจะใช้เวลาใกล้ชิดกับถาวจวินห
ใครจะรู้ว่าเจียงอวี้เหลียนจะมีตาหามีแววไม่เช่นนี้ ในใจของหลี่เย่อดเบื่อหน่ายขึ้นมาบางส่วนไม่ได้
หลี่เย่เหลือบมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง หัวเราะเบาๆ เป็นการตอบรับ “ได้” จากนั้นก็สั่งไป “ไปถามว่ามีเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องสำคัญก็ให้นางมาที่นี่ ถ้าไม่สำคัญก็ค่อยคุยกันวันอื่น”
การออดอ้อนของนางประสบความสำเร็จ ถาวจวินหลันย่อมต้องรู้สึกยินดีและสบายใจ แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกไม่ดีเล็กน้อย กลัวหลี่เย่จะคิดว่าตนใจแคบ จึงแอบมองหลี่เย่ทีหนึ่ง เห็นท่าทีของเขายังคงอบอุ่น จึงพูดอธิบายว่า “ข้าเองก็ตัดใจไม่ลง อย่างไรก็ไม่ได้เห็นหน้าท่านมานานหลายวันแล้ว”
คิดถึงสถานการณ์ตอนที่รู้ว่าตนเองอาจติดโรคระบาด เสียงของถาวจวินหลันก็ยิ่งเบาลง “ในตอนนั้น ข้ากลัวจริงๆ นะเพคะ” นางพูดไปพลางวางมือไว้บนมือของหลี่เย่
หลี่เย่เห็นก็รู้สึกเจ็บปวดใจ รีบกุมมือของนางเอาไว้ และดึงนางเอามาโอบไว้ในอ้อมอก “เรื่องผ่านไปแล้ว ต่อจากนี้ไปจะไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก” ในใจก็คิดว่า ผ่านไปไม่นาน ข้าจะต้องเรียกหนี้ครั้งนี้กลับคืนมาแทนเจ้าให้ได้
แต่คำพูดนี้กลับไม่ได้พูดออกมา อย่างแรกเพราะไม่อยากให้ถาวจวินหลันคิดมาก อย่างที่สองเรื่องนี้ยังไม่ทันสำเร็จ พูดไปก็ไม่มีความหมาย รอจนเรื่องนี้สำเร็จแล้ว ค่อยพูดออกไปถึงทำให้ถาวจวินหลันมีความสุขไม่ใช่หรืออย่างไร?
“เพคะ” ถาวจวินหลันส่งเสียงรับคำ ตัวก็พิงอยู่ในอ้อมอกของหลี่เย่ ดมกลิ่นหอมบนร่างกายของเขา พลางพูดออกมาอย่างสบายใจ
นั่งนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันถึงถามเรื่องอื่นขึ้นมา “คนที่พบฉ่ายยวนในวันนั้นมีใครป่วยบ้างหรือไม่เพคะ?” ในเมื่อมีจวนอ๋องหลายที่ที่ไป ถ้าเช่นนั้นย่อมต้องถูกปิดจวนเช่นเดียวกัน ในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีสถานการณ์เป็นเช่นใดบ้าง
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่จวงอ๋องอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร พลั้งมือโบยอนุภรรยาจนเสียชีวิตไปคนหนึ่ง” หลี่เย่พูดเนิบๆ โดยไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย แม้จะบอกว่าจวงอ๋องเป็นน้องชายของตน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกเขายังเทียบกับพี่น้องร่วมสาบานไม่ได้ด้วยซ้ำไป ดังนั้นถ้าจะบอกว่าเขาต้องเป็นกังวลแทนจวงอ๋อง ย่อมไม่มีทางแน่นอน
ในความเป็นจริงแล้ว เขาคิดว่าครอบครัวของคนอื่นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ล้วนไม่เกี่ยวกับเขาทั้งนั้น โดยเฉพาะบรรดาพี่น้องของเขา
“โบยตีอนุภรรยาจนเสียชีวิตหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้วน้อยๆ “ทำไมจวงอ๋องถึงได้กล้าเช่นนั้น” นางพอมองออก เพราะฮ่องเต้ให้ความสำคัญซูเฟยมากขึ้น ดังนั้นจวงอ๋องต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนเองเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ตลอดเวลา จวงอ๋องจะทำเรื่องที่โง่เง่าเช่นนี้ได้อย่างไร?
แม้จะบอกว่าการโบยอนุภรรยาจนเสียชีวิตนั้นไม่ได้มีค่าอะไร เป็นเพียงแค่ของเล่นเท่านั้น แต่อย่างไรนั่นก็ถือเป็นชีวิตคนชีวิตหนึ่ง ฮ่องเต้รู้เข้าคงไม่ได้รู้สึกดีเป็นแน่ อาจคิดว่าจวงอ๋องโหดเ**้ยมเกินไปด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าฮ่องเต้เองก็จัดการนางสนมจำนวนไม่น้อย แต่นั่นไม่เหมือนกัน นี่เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ทำเอง แต่ไม่ยินยอมเห็นลูกชายของตนกระทำ
“อนุภรรยากลัวตายจึงไม่กล้าปรนนิบัติจวงอ๋อง จวงอ๋องรู้สึกหงุดหงิดใจ อารมณ์พลุ่งพล่านแล้วพลั้งมือไป” หลี่เย่อธิบายออกมา พูดตามจริงแล้วตอนที่เขาได้ยินข่าวนี้กลับไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย จะต้องรู้ว่าจวงอ๋องไม่ใช่คนอารมณ์ดีเป็นมิตรและอบอุ่น ในกระดูกของจวงอ๋องเต็มไปด้วยความดุร้ายและเ**้ยมโหด เป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่เด็ก
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันที จึงถอนหายใจพลางส่ายหน้า สวดมนต์ออกมาบทหนึ่งแทนอนุภรรยาที่โชคร้ายคนนั้น ที่จริงถ้าพูดความจริงแล้วนางเองก็ไม่คิดว่าอนุภรรยาคนนั้นจะทำผิดใหญ่หลวง อย่างไรเรื่องขี้ขลาดกลัวตายก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เพียงเพราะเรื่องนี้จวงอ๋องถึงกับโบยตีให้ตายทั้งเป็น นี่ก็ถือว่าโหดเ**้ยมเกินไปหน่อย
“เกรงว่าฮ่องเต้ทราบเรื่องนี้แล้ว คงไม่ไว้หน้าจวงอ๋องสักเท่าไร” ถาวจวินหลันพูดออกมา พลางมองหลี่เย่ “ทำไมชายาเอกจวงอ๋องถึงไม่ห้ามสักนิดเล่าเพคะ?”
หลี่เย่แค่นหัวเราะ “ห้าม? ไม่พูดชื่นชมก็ถือว่าดีแล้ว”
ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไป ชายาเอกจวงอ๋องอาจตั้งใจฉวยโอกาสยืมมือจวงอ๋องกำจัดอนุภรรยาคนนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมอนุภรรยาคนนั้นถึงได้ขัดตาของชายาเอกจวงอ๋องนัก
“อนุภรรยาคนนั้นตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้พูดออกมาเท่านั้น” หลี่เย่เหมือนจะรู้สิ่งที่ถาวจวินหลันสงสัย จึงอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด “ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ก็คงไม่ถึงขั้นเสียชีวิต”
ถาวจวินหลันตกใจพลางถลึงตาโต รู้สึกหนาวเหน็บในใจ อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “โหดเ**้ยมเกินไปหน่อยแล้ว” แต่เป็นแค่อนุภรรยา ไม่ได้ขู่ขวัญมากเท่าไรนัก ทำไมจะต้องทำเช่นนี้ด้วย อีกทั้งเป็นการแสดงว่าตนเองว่าใจแคบคิดเล็กคิดน้อย ไม่คำนึงถึงประโยชน์โดยรวม
“ตอนนี้จวงอ๋องเองก็ไม่ชอบใจ จึงทะเลาะกับชายาเอกจวงอ๋อง” หลี่เย่หัวเราะ “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ได้ดั่งใจหรืออย่างไร ตอนนี้จวงอ๋องกลับล้มป่วยลง”
“ล้มป่วยหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว “ได้บอกหรือไม่ว่าป่วยเป็นโรคอะไร?” คงไม่ใช่โรคระบาดใช่หรือไม่?
หลี่เย่ส่ายหน้า “ไม่ใช่โรคระบาด เพียงแค่กระอักเลือดไม่เท่าไร หมอหลวงบอกว่าอึดอัด กลับไม่ได้บอกเหตุผลที่ชัดเจน” สุดท้ายแล้วก็ตรวจไม่พบ หรือว่ามีสาเหตุมากกว่านั้น แต่เขากลับสืบไม่พบ
ถาวจวินหลันรู้สึกตกใจ จะต้องรู้ว่ากระอักเลือดไม่ได้เป็นอาการเล็กๆ “ถ้าเช่นนั้นเป็นอะไรมากหรือไม่เพคะ?”
“หมอหลวงให้พัก” หลี่เย่ยิ้ม ความเย็นเยียบในดวงตายิ่งมากขึ้น “เกรงว่าคงต้องใช้เวลาสองสามเดือน เสด็จพ่อให้จวงอ๋องรักษาตัวให้ดีแล้ว แม้แต่เรื่องของอนุภรรยานั่นก็ไม่ได้พูดอะไรมาก” เหตุผลที่ไม่พูดย่อมต้องเป็นเพราะว่าจวงอ๋องป่วย และยิ่งเป็นเพราะว่าตัวเขา อู่อ๋องและรัชทายาทนั้นได้ขอร้องแทนจวงอ๋องแล้วด้วย