ตลอดทางไปบ้านพัก ถาวจวินหลันได้แต่คิดถึงท่าทีของเจียงอวี้เหลียนอยู่ตลอด…นางตั้งใจพูดออกไปเช่นนั้นเพื่อยั่วโมโหเจียงอวี้เหลียน แต่วันนี้เจียงอวี้เหลียนกลับมีปฏิกิริยาตอบกลับที่ผิดปกติมากเกินไปหน่อย นางรู้สึกแปลกใจจริงๆ
หากเป็นเจียงอวี้เหลียนเมื่อก่อนพอได้ยินนางพูดเช่นนี้แล้ว ถึงแม้จะไม่โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก แต่ก็จะต้องรู้สึกไม่พอใจอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะมองไปทางหลี่เย่เพื่อให้เขามอบความยุติธรรมแก่นางด้วยซ้ำ
แต่เจียงอวี้เหลียนในวันนี้ ไม่เพียงแต่ไม่แสดงความโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ทั้งยังไม่มีความเสียใจหรือความรู้สึกทนไม่ได้ใดๆ ทั้งสิ้น แต่กลับทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ถึงขั้นว่ายังคงยิ้มรับ น่าแปลกเหลือเกิน
เรื่องนี้จึงดูผิดปกติ ถาวจวินหลันอดคิดไม่ได้ว่า หรือเป็นเพราะเรื่องในครั้งนี้ทำให้เจียงอวี้เหลียนเสียใจมากเกินไป? จนนางดูมีท่าทีผิดปกติไปเช่นนี้?
แต่เรื่องนี้พลันหายไปจากความคิดของนาง ท่าทีที่เจียงอวี้เหลียนแสดงออกมานั้น ไม่เหมือนกับเสแสร้งแกล้งทำ แต่กลับดูเหมือนนางคิดแล้ว หรือว่าบางทีอาจพูดได้ว่านางไม่ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว
ถาวจวินหลันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย คิดในใจว่า ดูท่าแล้วต่อไปจะต้องคอยระวังเจียงอวี้เหลียนให้มาก จากท่าทีของเจียงอวี้เหลียนในวันนี้ ดูเหมือนกับว่าความคิดของนางจะไม่ง่ายดายอีกต่อไป
หลี่เย่เห็นว่าถาวจวินหลันกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ก็พูดออกมาเหมือนกับไม่ใส่ใจว่า “กลัวอะไรไป ถึงแม้นางจะมีอำนาจถึงขั้นพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้ นางก็ไม่มีทางทำอะไรในจวนตวนอ๋องได้อย่างแน่นอน”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็เข้าใจทุกอย่างทันที..มิใช่เช่นนั้นหรอกหรือ? ถึงแม้ว่าเจียงอวี้เหลียนจะมีอำนาจมากเพียงใด แต่เจียงอวี้เหลียนก็ใช้อำนาจนั้นได้เพียงแค่ในจวนตวนอ๋องเท่านั้น แต่จวนตวนอ๋องแห่งนี้ นางกลับเป็นผู้กุมอำนาจเอาไว้ทั้งหมด
นางกุมอำนาจทุกอย่างในจวนตวนอ๋องไว้ในมือ แล้วนางยังจะต้องกลัวผู้หญิงเพียงแค่คนเดียวหรือ?
ด้วยถาวจวินหลันคิดเรื่องนี้กระจ่างแล้ว นางก็รู้สึกว่าตัวเองสดชื่นกระปรี้กระเปร่าทันที จากนั้นก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าเบื่อ จึงหันไปมองหลี่เย่ที่นั่งหลับตาทำสมาธิราวกับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นก็ยิ้มแล้วเสนอความคิดเห็นว่า “เช่นนั้นข้าไปนั่งพูดคุยกับองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าจะดีกว่า พวกท่านเป็นผู้ชายจะได้พูดคุยกัน”
หลี่เย่พยักหน้ารับคำ จากนั้นรถม้าก็หยุดลง พวกนางเปลี่ยนรถม้ากัน…การออกไปท่องเที่ยวครั้งนี้ พวกเขาต่างใช้รถม้าประจำตัวของตัวเอง ความหรูหรานั้นไม่ต้องพูดถึง ขนาดก็ถือว่ากว้าง อย่างน้อยผู้ชายสามคนหรือผู้หญิงสามคนนั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน ก็ไม่มีทางเบียดเสียดกันอย่างแน่นอน
อีกทั้งบนรถม้าแต่ละคันต่างก็มีอาหารว่างและเหล้าเตรียมเอา อีกทั้งยังมีกาเอาไว้ต้มชา ถือว่าสะดวกสบายเป็นอย่างมาก
องค์หญิงแปดเสนอความคิดเห็นว่าอยากเล่นไพ่
องค์หญิงเก้าพูดว่า “ยังขาดอีกคน”
ถาวจวินหลันจึงเรียกจิ้งหลิงมา จิ้งหลิงกับองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้ารู้จักกันมาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกเคอะเขินและอึกอัด ก็พอดีทั้งสี่คนจึงนั่งเล่นไพ่ด้วยกัน
ทั้งสี่คนนั่งเล่นไพ่กันไปก็พูดคุยเรื่องซุบซิบต่างๆ ในเมืองหลวงกันไป ถึงแม้ว่าองค์หญิงแปดจะอยู่แต่ในจวนเพื่อพักรักษาตัว แต่เรื่องข่าวคราวต่างๆ ก็รู้ได้รวดเร็ว โดยส่วนมากแล้วนางจะเป็นคนพูด
อีกทั้งองค์หญิงแปดยังพูดเรื่องหนึ่งที่มีคนรู้จำนวนน้อยมาก “คิดว่าพวกเจ้าจะต้องไม่รู้เป็นแน่ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน อนุผู้หนึ่งในจวนคังอ๋องเกือบจะตายแล้ว”
ถาวจวินหลันและองค์หญิงเก้าต่างตกใจ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ?” แต่ว่าหลังจากหายตกใจแล้ว ทั้งสองต่างรู้สึกเหมือนกันว่าตกใจเกินเหตุไปแล้ว
จวนคังอ๋องเป็นแบบไหนกัน? จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร
“คนที่พูดถึงก็คืออนุที่ตั้งครรภ์ได้แปดเดือนผู้นั้น หากไม่ใช่เป็นเพราะนางยังมีบุญ เกรงว่าแม้แต่ลูกในท้องก็คงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้” องค์หญิงแปดหัวเราะเสียงเยือกเย็น จากนั้นก็จั่วไพ่ไปหนึ่งใบ “พวกเราเองก็รู้จักนาง คนที่แต่ก่อนเป็นนางกำนัลถวายการดูแลอี๋เฟย ชื่อว่าอะไรนะ? สุดท้ายแล้วก็ได้กลายเป็นพระชายารองคังอ๋องคนนั้น”
สำหรับองค์หญิงแปดที่มีฐานะสูงส่งแล้ว จะไม่สนใจคนอย่างหยวนฉงหวาอยู่ในสายตาก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ว่า ถาวจวินหลันกลับประหลาดใจไปสักพัก ไม่ใช่เป็นเพราะองค์แปดจำชื่อของหยวนฉงหวาไม่ได้ แต่เป็นเพราะองค์หญิงแปดพูดว่าก่อนหน้านี้หยวนฉงหวาอยู่ในวังหลวง เคยถวายการดูแลอี๋เฟย
หลังจากแปลกใจอยู่สักพัก ถาวจวินหลันก็ค่อยๆ คิดได้ว่า ใช่แล้ว ในตอนนั้นที่นางได้พบกับหลี่ว์หลิ่ว หลี่ว์หลิ่วยังไม่ได้สูญเสียลูกไปนั้น หยวนฉงหวาอยู่กับหลี่ว์หลิ่วและกลุ่มนางกำนัลของอี๋เฟย
เรื่องนี้ผ่านมานานหลายปีแล้ว นางจึงเกือบจะลืมทุกอย่างไปเสียหมด
จากนั้น นางก็อดยิ้มเย้ยหยันไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างคนพวกนี้ช่างซับซ้อนเสียจริง
องค์หญิงเก้ากลับพูดถึงประเด็นสำคัญขึ้นมา “ข้าจำได้ว่าหยวนซื่อคนนั้นตั้งครรภ์มิใช่หรือ? สุดท้ายจัดการกับนางเช่นไรรึ?”
องค์หญิงแปดยิ้ม แล้วยินดีที่จะอธิบายให้องค์หญิงเก้าฟังเป็นอย่างมาก “หยวนซื่อตั้งครรภ์ แน่นอนว่าไม่มีใครทำอะไรนางเป็นแน่ เพียงแต่ในตอนนี้นางถูกกักบริเวณอยู่ในเรือน ส่วนเรื่องการลงโทษนั้น คิดว่าต้องรอหลังจากนางคลอดลูกแล้ว แต่ไม่ว่าจะคลอดออกมาเป็นหญิงหรือชาย เด็กคนนั้นก็จะถูกยกให้เป็นลูกของพระชายาคังอ๋อง”
“คังอ๋องยินยอมรึ?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เรื่องนี้ใครเป็นคนเสนอความเห็นรึ?”
“คังอ๋องจะใส่ใจผู้หญิงเพียงคนเดียวอย่างหยวนซื่อรึ? ก็แค่รับคำและยอมตกลงเท่านั้น เรื่องนี้ แน่นอนว่าพระชายาคังอ๋องเป็นผู้เสนอความคิดขึ้น แต่ว่าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครคอยช่วยเหลืออยู่ข้างหลัง” องค์หญิงแปดพูดไป ก็มองไพ่ของตัวเองไป ท่าทีก็ยิ่งดูเย็นชาขึ้นเล็กน้อย “น่าเสียดายที่หยวนซื่อ ลำบากตั้งครรภ์ แต่กลับต้องยกลูกแท้ๆ ให้คนอื่นเสียเช่นนั้น”
ไม่ใช่เป็นการลำบากแทนคนอื่นรึ? ถาวจวินหลันยิ้ม ลำบากตั้งครรภ์ตั้งสิบเดือน แต่กลับเป็นการมีลูกแทนพระชายาคังอ๋อง แต่ตัวเองกลับต้องมาถูกลงโทษ
ตลอดชีวิตของหยวนฉงหวา ก็ถือว่าลำบากเป็นอย่างมาก คิดถึงนิสัยยโสโอหังของหยวนฉงหวา ถาวจวินหลันก็ยิ้มอีกครั้ง น่าเสียดายที่โชคชะตานั้นยากลำบากยิ่งนัก
พูดไปแล้ว นางเองก็ยังไม่เข้าใจว่าหยวนฉงหวาคิดอย่างไรกันแน่ เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์อยู่ดีๆ กลับยอมทิ้งความสบายเพื่อเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อย แล้วยังไม่ง่ายเลยที่จะได้ออกจากฐานะนางกำนัลเข้ามาเป็นชายารองที่จวนคังอ๋อง ทั้งยังตั้งครรภ์ แต่ทำไมสุดท้ายแล้วไม่เพียงแต่ไม่มีความดีความชอบ แต่กลับต้องขาดทุนอย่างย่อยยับเพียงนี้
“หยวนซื่อเรียกร้องของความเป็นธรรม แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจ” องค์หญิงแปดจิ๊ปาก จากนั้นก็จั่วไพ่ขึ้นมา แล้วก็ดีใจทันที “ชนะแล้ว!”
ถาวจวินหลันกับองค์หญิงเก้ามองไพ่อย่างดีแล้ว ก็ได้แต่หยิบเงินออกมา
องค์หญิงเก้าทำแก้มป่องแล้วบ่นอุบ “พี่หญิงแปดไม่ยอมอ่อนข้อให้ข้าเสียหน่อย”
องค์หญิงแปดยิ้ม “ยอมพนันแล้วก็ต้องรู้จักยอมแพ้ ไม่มีการอ่อนข้อให้อย่างแน่นอน”
ทุกคนต่างเล่นไพ่ไปแล้วพูดคุยเล่นกันไป เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว รอจนกระทั่งรถม้าหยุดลงตรงหน้าประตูบ้านพักแล้ว พวกนางกลับยังรู้สึกสนุกกันอยู่
ถาวจวินหลันยิ้มแล้วพูดว่า “หากพรุ่งนี้ไม่มีธุระอะไร พวกเราก็มาเล่นกันอีก”
ด้วยองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้ามีบ้านพักอยู่บริเวณนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้พักอยู่ด้วยกัน ต่างคนต่างไปพักที่บ้านพักของตัวเอง
ถาวจวินหลันเข้าไปในบ้านพักแล้ว ก็อดชื่นชมไม่ได้ “ช่างเป็นสถานที่ที่ดีเหลือเกิน”
หลี่เย่มีรอยยิ้มบางๆ “ครั้งนั้นที่เสด็จพ่อยังเป็นองค์รัชทายาท ทุกครั้งเมื่อถึงฤดูร้อนพวกเราก็จะมาอยู่ที่นี่ ตามเสด็จพ่อมาเพื่อมาหลบร้อนที่นี่ ทว่าสองสามปีมานี้งานราชการของเสด็จพ่อยุ่งมาก จึงไม่มีเวลามาหลบร้อนที่นี่อีกแล้ว แต่ก็ยังดีที่มีการทำความสะอาดอยู่ตลอด”
ตอนที่เขายังเด็ก ทุกปีก็จะตั้งตารอมาหลบร้อนที่นี่…ไม่เพียงแต่จะได้เปลี่ยนสถานที่ใหม่ๆ ทั้งยังมีที่เล่นที่ไม่เหมือนในวังหลวงอยู่มากมาย เช่น ปืนต้นไม้ไปจับรังนก หรือเวลาที่ทหารพาพวกเขาไปล่ากระต่ายในป่าเป็นต้น บางครั้งยังนึกสนุก และตกปลามาย่างกินก็มี
ทว่าต่อมาเขากลับชอบที่จะไปเดินเล่นในป่าเพียงคนเดียวเงียบๆ บางครั้งก็ยังปีนขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อดูดวงอาทิตย์ขึ้น เป็นเพราะยืนอยู่บนยอดเขา เวลามองดวงอาทิตย์โผล่ออกมาช่างงดงาม ทำให้ผ่อนคลายและสบายใจ ราวกับว่าความกดดันทุกอย่างถูกแสงอาทิตย์ขับให้หายไปจนหมดสิ้น
แต่ในตอนนี้ เวลาที่มองภาพบรรยากาศอันคุ้นเคย เขากลับรู้สึกว่าของทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิม แต่คนกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เพียงแต่ความรู้สึกเสียใจนี้ เมื่อเขาก้มหน้าลงไปมองใบหน้าดีอกดีใจของซวนเอ๋อร์แล้ว ก็ค่อยๆ ละลายลงไปแล้วกลายเป็นรอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นมาแทน เขาในตอนนั้นที่ทำเรื่องซุกซนอย่างการปีนต้นไม้ไปเก็บรังนกลงมา ยามนี้กลับมีลูกเสียแล้ว
แล้วซวนเอ๋อร์ก็จะเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข ไม่มีทางต้องมาพบเจอความทุกข์อย่างที่เขาต้องเจอแน่นอน
พอจัดการทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง และจัดวางสัมภาระทุกอย่างแล้ว หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ถาวจวินหลันก็เสนอความเห็นว่าให้ออกไปเดินเล่นในบริเวณบ้านพัก
นางเพิ่งเคยมาที่นี่ ดังนั้นถาวจวินหลันจึงอดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ อยากออกไปเดินดูอย่างอดรนทนไม่ไหว
หลี่เย่รับคำอย่างยินดี จากนั้นทั้งสามคนจึงถือโอกาสไปเดินเล่นชมบ้านพักก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไป ราวกับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
แล้วในตอนนี้ ฮ่องเต้ที่กำลังเสวยอาหารอยู่ในวังหลวงก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามขันทีเป่าฉวนว่า “วันนี้ตวนอ๋องเดินทางไปบ้านที่มีน้ำพุร้อนแห่งนั้นรึ?”
ขันทีเป่าฉวนช่วยคีบอาหารให้ฮ่องเต้ไป แล้วก็ตอบคำถามไป “ทูลฮ่องเต้ เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ คาดว่าเวลานี้ก็คงจะเดินทางไปถึงแล้ว แล้วก็คงจะรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้นิ่งขรึมไปสักพัก จากนั้นก็ตรัสว่า “ส่งทหารองครักษ์ไปให้มากหน่อย จะต้องรับประกันได้ว่าปลอดภัย” แต่ฮ่องเต้กลับไม่ได้บอกว่าดูแลความปลอดภัยของใคร ทว่าขันทีเป่าฉวนก็รู้ดีแก่ใจ “พ่ะย่ะค่ะ บ่าวเข้าใจแล้ว”
“เป่าฉวน เจ้าคิดอย่างไรกับสถานการณ์ในช่วงนี้?” อยู่ๆ ฮ่องเต้ก็ถามขึ้นมาเช่นนี้
แล้วขันทีเป่าฉวนก็ต้องขาสั่นเพราะคำถามนี้ทันที สุดท้ายแล้วเขาก็ฝืนยิ้มแหยๆ “ฮ่องเต้ บ่าวจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ถึงแม้ว่าจะเข้าใจ แต่มีดก็จ่ออยู่ที่คอของเขาแล้ว เขาไม่มีทางพูดอะไรออกมาได้ ถวายการดูแลฮ่องเต้จะต้องรู้ถึงฐานะของตัวเองเป็นสำคัญ รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เช่น การพูดถึงเรื่องราชการ หรือว่าการพูดเพื่อให้ฮ่องเต้โอนเอียงความคิด ต่างก็ไม่สามารถทำได้ทั้งสิ้น
ไม่เช่นนั้นเขาก็จะเหลือหนทางแค่เพียงหนทางเดียว…นั่นก็คือตาย
เป่าฉวนครุ่นคิดอย่างหนักว่า ช่วงนี้ตัวเองทำอะไรให้ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยหรือไม่ ถึงได้ทรงเอ่ยถามหยั่งเชิงเขาเช่นนี้
“ข้าพูดถึงเรื่องราชโองการที่ข้าจะแต่งตั้งตวนอ๋อง” ฮ่องเต้ถอนใจออกมา ท่าทีดูเรียบเฉย “นี่เป็นเรื่องภายในบ้าน ไม่ใช่เรื่องของบ้านเมือง เจ้าพูดออกมาเถิด ไม่เป็นไร พูดผิดก็ไม่เป็นไรหรอก”
ดูท่าทีแล้ว ฮ่องเต้จะต้องให้เป่าฉวนแสดงความคิดของตัวเองออกมาให้ได้
เป่าฉวนมองฮ่องเต้อย่างลำบากใจ สุดท้ายก็กัดฟันแล้วพูดออกมาว่า “บ่าวคิดว่า เรื่องนี้ฮ่องเต้ทรงต้องตัดสินพระทัยเองพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไร เรื่องนี้หากพูดอย่างเป็นเรื่องใหญ่ก็ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนัก หากพูดว่าเป็นเรื่องเล็ก ก็เป็นเพียงแค่เรื่องในบ้านของฮ่องเต้เพียงเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”