คำพูดนี้ของชิงกูกูนั้นทำให้ถาวจวินหลันสนใจขึ้นมา “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?”
ชิงกูกูยิ้มบางๆ แลดูมีท่าทีลึกลับ “หากรังเกียจท่าน ถ้าเช่นนั้นในเมื่อมีฮองเฮาชักใยอยู่ เกรงว่าไทเฮาก็คงไม่ยอมให้ท่านเข้ามาในจวนตวนอ๋องได้ และยิ่งไม่ให้ท่านให้กำเนิดลูกชายให้ท่านอ๋องเป็นแน่”
ถาวจวินหลันนิ่งไป แม้จะบอกว่าคำพูดนี้ฟังแล้วดูเย็นชา แต่เมื่อถาวจวินหลันคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล หากไทเฮาบีบบังคับหลี่เย่ไม่ให้ตนเองเข้ามาในตระกูล หลี่เย่ก็ไม่สามารถละเลยได้
ดังนั้นคำพูดนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล เพียงแต่นางยังรู้สึกว่าไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก “แต่ไทเฮาแสดงออกว่าไม่ค่อยชอบข้าอยู่ตลอดไม่ใช่หรืออย่างไร?”
ชิงกูกูมีท่าทีร้อนรนใจ “ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าท่านเป็นคนฉลาด แต่ทำไมตอนนี้กลับเลอะเลือนเสียได้?”
ถาวจวินหลันกระพริบตา หลังจากที่ครุ่นคิดพิจารณาแล้วนั้นจู่ๆ ก็เริ่มเข้าใจความหมายที่ชิงกูกูต้องการจะสื่อได้ “ความหมายของกูกูคือที่ไทเฮาเป็นเช่นนี้ก็เพราะหวังดีต่อข้า?”
“อย่างไรท่านก็เป็นถึงชายารอง และได้รับความโปรดปราน หากไทเฮาไม่ทำเช่นนี้…ต้นไม้ตั้งตระหง่านกลางป่าใหญ่ จะต้องถูกลมปะทะเข้าก่อน” ชิงกูกูมองไปยังถาวจวินหลันอย่างแฝงนัย
ใช่แล้ว หากท่านโดดเด่นไม่มีที่สิ้นสุดตั้งแต่แรก เกรงว่าหลิวซื่อคงลงมือกับท่านไปนานแล้ว? ไม่มีทางรอจนถึงภายหลังเป็นแน่ อีกอย่างนางเป็นลูกสาวของขุนนางมีโทษ แม้จะบอกว่ามีจวนเพ่ยหยางโหวเป็นเกราะกำบัง แต่ชาติกำเนิดก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีคนใช้เหตุผลนี้มาบีบคั้นนางก็ถือว่าง่ายดายนัก
ไทเฮาช่วยสร้างความสมดุลของเรือนในแทนหลี่เย่ ช่วยหลี่เย่ขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นในภายหลัง
หรือแต่เดิมนั้นก็เป็นหลี่เย่ที่ขอให้ไทเฮาช่วยเหลือ
ยิ่งคิดก็ยิ่งซับซ้อน ในใจของถาวจวินหลันยิ่งรู้สึกไม่ดีขึ้นมา ใช่แล้ว แม้ว่าไทเฮาจะแสดงท่าทีไม่ชอบนางมาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่เคยลงมือกับนางเลย หลายครั้งที่คอยช่วยเหลือนาง อย่างเช่นครั้งที่ฮองเฮามอบซวนเอ๋อร์ให้หลิวซื่อ หากว่าไทเฮาไม่ชอบนางจริงก็ไม่จำเป็นต้องช่วยนางโดยการรั้งตัวซวนเอ๋อร์เอาไว้ แค่มอบให้หลิวซื่อเลี้ยงก็ได้แล้ว
ต่อให้เลี้ยงข้างกายหลิวซื่อ ไทเฮาก็มีวิธีการอีกมากมายที่จะทำให้หลิวซื่อไม่สามารถกีดกันบังคับซวนเอ๋อร์ได้ไม่ใช่หรืออย่างไร?
“แต่เหตุใดไทเฮาถึงยอมปล่อยให้ฮองเฮาใช้อำนาจหลอกหลวงปิดบังหูตาผู้คนเล่า?” นี่เป็นเรื่องที่ถาวจวินหลันคิดไม่ตกมากที่สุด
ชิงกูกูยิ้มบางๆ “ใครบอกว่าฮองเฮาใช้อำนาจหลอกหลวงปิดบังหูตาผู้คนเล่า? คนที่มีอำนาจมากที่สุดในวังหลวง อย่างไรก็มีเพียงฮ่องเต้คนเดียวเท่านั้น”
ถาวจวินหลันยังคงไม่เข้าใจ
“พูดเช่นนี้ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงก็ดี องค์ชายก็ดี ล้วนเป็นสายเลือดของฮ่องเต้ทั้งนั้น และวังในก็เป็นเพียงวังในของฮ่องเต้เพียงคนเดียว ฮองเฮาดูเหมือนจะมีอำนาจ แต่หากฮ่องเต้ประกาศคำสั่งลงไป อำนาจนี้ก็สลายหายไปได้ตลอดเวลา ฮองเฮาที่บ้าอำนาจถึงเพียงนี้ก็มีเพียงแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น” ชิงกูกูนั้นพูดออกมาตรงๆ
ถาวจวินหลันลังเลขึ้นมาในทันใดเหมือนได้รับการรดน้ำ ฮองเฮาบ้าอำนาจ ก็เพียงเพราะว่าฮ่องเต้ยังต้องใช้ฮองเฮาก็เท่านั้นเอง
ใช่แล้ว ฮองเฮาเอาแต่ใจตนเองโดยไม่สนใจเรื่องอื่นมากเกินไป ฮ่องเต้พบเจอเรื่องนี้แล้วจะทำเช่นไร? บทสรุปเห็นได้ชัดว่ามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ถาวจวินหลันคิดถึงประโยคหนึ่งขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขมขื่น “ที่แท้ขิงแก่ถึงจะร้องแรง ไทเฮาดูแล้วไม่สนใจ แต่ความเป็นจริงแล้วกลับทำเรื่องมากมายแล้ว”
ถาวจวินหลันคิดตัดสินใจอยู่เงียบๆ ภายในใจ ต่อจากนี้จะต้องจับตาดูไทเฮาให้มากขึ้นถึงจะถูก หากเรียนรู้ได้จากสิ่งนี้สักเล็กน้อย สำหรับนางก็ถือว่าเป็นผลประโยชน์ครั้งใหญ่
ตกกลางคืนตอนที่หลี่เย่กลับมาก็กำลังฝนตก แม้ว่าจะกางร่ม แต่รองเท้าก็เปียกชื้น ถาวจวินหลันเอ่ยกล่าวโทษเขา “เหตุใดไม่ให้คนแผ่นไม้มารองไว้ที่ข้างใต้เล่าเพคะ? ทำเช่นนี้เท้าจะไปรับไหวได้อย่างไร?”
ทันใดนั้นก็เรียกคนให้ไปเตรียมน้ำร้อนมาให้เขาล้างเท้า และนางก็รับใช้ถอดรองเท้าถุงเท้าให้เขาด้วยตนเอง มองดูเท้าที่เริ่มเป็นสีซีด สีหน้าของถาวจวินหลันก็คล้ำไปหลายส่วน
หลี่เย่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกไม่มั่นใจ รีบยิ้มและพูดว่า “จะไม่มีครั้งต่อไป วันนี้รีบกลับมาถึงได้ไม่มีเวลาทำเรื่องนั้น ใครจะรู้ว่าฝนจะตกแรงเช่นนี้”
ถาวจวินหลันถึงได้เก็บคำพูดกล่าวโทษกลับไป
ตอนที่ล้างเท้านั้น จู่ๆ หลี่เย่ก็พูดออกมาประโยคหนึ่งอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ “สืบตัวตนของนักฆ่าได้ชัดแจ้งแล้ว”
ถาวจวินหลันกำลังบีบนวดฝ่าเท้าให้เขาอย่างตั้งใจ ได้ยินคำพูดเช่นนี้พลันหยุดการกระทำ แล้วอดเงยหน้ามองเขาไม่ได้ “จริงหรือ?”
“อืม คนนี้เคยเป็นทหารองครักษ์ในวังหลวงมาก่อน ทำเรื่องผิดถึงได้ถูกปลดออกจากตำแหน่ง” หลี่เย่พยักหน้า พูดออกมาอย่างละเอียด “ที่บังเอิญก็คือเขาเคยอยู่ในกลุ่มทหารองครักษ์ที่รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยในวังของฮองเฮา”
“ทำผิดเรื่องอะไรหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันรู้สึกตกใจ และยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ในเมื่อถูกปลอดออกจากตำแหน่งจากวังของฮองเฮา ถ้าอย่างนั้นเหตุใดถึงยังได้ขายชีวิตให้กับฮองเฮาอยู่อีก?
แม้นนางจะรู้สึกว่าฮองเฮาไม่จำเป็นต้องเป็นคนทำเสมอไป แต่ในสันชาตญาณของนางสุดท้ายแล้วก็ยังเอาฮองเฮามาเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อยู่ดี อย่างไรแล้วนอกจากฮองเฮาก็ดูเหมือนไม่มีตัวเลือกที่สองอีก
“มีคนบังเอิญพบเขาและนางกำนัลคนหนึ่งในวังของฮองเฮาแอบลอบพบปะกัน” หลี่เย่ยิ้มเย็น “นางกำนัลคนนั้นปกติแล้วได้รับความเชื่อใจจากฮองเฮามากนัก”
“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเขายังรักษาชีวิตได้อีกหรือ?” ถาวจวินหลันรู้สึกสงสัย และถามอีกว่า “นางกำนัลคนนั้นเล่า?”
“นางกำนัลคนนั้นถูกส่งออกจากวังหลวง มีคนพบเจอนางกำนัลคนนั้นทำหน้าที่กูกูอยู่ที่จวนคังอ๋อง” หลี่เย่พูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆ “ส่วนนักฆ่าคนนั้นไม่เพียงรักษาชีวิตเอาไว้ได้ จากนั้นยังกลายเป็นเศรษฐีใหม่ ซื้อร้านค้า ที่ดินไม่พอ แล้วยังสู่ขอภรรยา มีลูกอีกต่างหาก”
“ภรรยาของเขาไม่ใช่กูกูในจวนคังอ๋องหรืออย่างไรเพคะ?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว ในใจรู้สึกเยียบเย็น
หลี่เย่พยักหน้ายิ้มเล็กน้อย “ใช่แล้ว”
“แต่นักฆ่าคนนั้นเป็นทหารสละชีวิต หากมีลูกและภรรยาเขายอมที่จะสละชีวิตอย่างนั้นหรือ?” เรื่องนี้ทำให้ถาวจวินหลันเข้าใจได้ยาก พูดตามหลักการแล้วผู้ชายที่มีครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ควรที่จะละทิ้งภรรยาและลูกของตนเองไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
หลี่เย่ส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ยอม แต่คนของข้าสืบมาได้เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือลูกชายของนักฆ่าคนนั้นถูกลักพาตัวไปได้กว่าครึ่งเดือนแล้ว และภรรยาของเขานั้นก็ด้วยหาลูกชายไม่พบจนแทบจะเป็นบ้าไปแล้วเหมือนกัน”
ใจของถาวจวินหลันกระตุกเล็กน้อย คาดเดาถึงสิ่งที่หลี่เย่อยากจะพูดได้ “พูดเช่นนี้เป็นเพราะว่ามีคนตั้งใจใช้ลูกของนางข่มขู่นักฆ่าคนนั้นใช่หรือไม่?”
“มีความเป็นไปได้” หลี่เย่พยักหน้า “น่าเสียดายที่หาเด็กคนนั้นไม่พบ และไม่มีทางพิสูจน์เรื่องนี้ได้ และนักฆ่าคนนั้นกลับไม่ยอมเปิดปากพูดแม้แต่น้อย”
ถาวจวินหลันพลันรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับว่าเบาะแสขาดไปแล้ว หลี่เย่จะไปหาเด็กคนนั้นมาจากที่ใด? และไม่ต้องพูดถึงว่าจะหาพบหรือไม่ ทางด้านฮ่องเต้ก็ให้เวลามาเพียงแค่เท่านั้น
ในตอนนั้นถาวจวินหลันยังคิดว่าสิบวันถือว่าเยอะแล้ว แต่เวลาห้าวันกลับผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว นางกลับรู้สึกว่าเวลาไม่พอเสียแล้ว นางคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะตึงมือถึงขนาดนี้
นางหันไปมองหลี่เย่อีกทีหนึ่ง เขากลับไม่ร้อนใจอะไร แต่อมยิ้มอย่างอบอุ่น เหมือนว่ามีความมั่นใจอยู่เต็มอกแล้ว
ถาวจวินหลันอดหันไปมองเขาไม่ได้ “เหตุใดท่านถึงไม่รู้สึกร้อนใจแม้แต่น้อยเล่า?”
“ร้อนใจไปก็ไร้ประโยชน์ และสืบเรื่องจริงไม่ได้” หลี่เย่ส่ายหน้ายิ้มบางๆ “ดังนั้นเมื่อเทียบกับการที่ตนเองต้องวุ่นวายไปนู่นมานี่ กลับไม่สู้นั่งสงบนิ่งคิดดูว่าควรใช้วิธีไหนจะดีกว่า”