บทที่ 1476 สกัดกั้นระหว่างทาง
……………………………………………………………………..
บทที่ 1476 สกัดกั้นระหว่างทาง
สายลมหยุดพัดโหม ทว่าโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาทั่วนภายังคงลอยเด่น พิทักษ์ประตูบนฟากฟ้าไว้ แม้จะไม่ขยับเขยื้อน และเหมือนนิ่งงันจำศีล แต่อำนาจจากมันก็ยังทำให้ทั้งสามภพหวาดผวา
ทวยเทพในสามภพเหมือนสิ้นการคงอยู่ บรรยากาศวิปโยคในฟ้าดินเหมือนสิ้นสลาย สรรพสิ่งดูสุดแสนสงบสุข
แต่ผู้บ่มเบาะทั้งปวงในจักรวาลต่างตระหนักชัดว่าหายนะนี้ยังไม่จบสิ้น ยามทวยเทพผู้ถูกพันธนาการ ฉุดกระชากสู่เขตแดนโลกาวิปโยคตายตกหมดสิ้น ก็จะถึงคราวพวกเขาต้องเผชิญ!
วูบ!
เฉินซีกลายเป็นลำแสงวูบไหวผ่านมิติ ชายหนุ่มใช้การเคลื่อนย้ายมิติเดินทางเพราะหลังกล่าวลาพวกจั่วชิวเฟยหมิง เขาก็ตัดสินใจเดินทางกลับสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก่อน
นับแต่หายนะมาเยือน สงสัยจริงว่าภพเซียนจะยุ่งเหยิงเพียงใดในช่วงนี้… ขณะเดินทาง เฉินซีครุ่นคิดลึกล้ำ จากสัญชาตญาณ เขารู้สึกว่าในโลกมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย และบางทีสรรพสิ่งในทั้งสามภพอาจกำลังสั่นสะท้านอย่างหวาดผวากระวนกระวาย
ไม่ใช่เพียงจากหายนะ แต่เป็นเพราะเงาของนิกายอำนาจเทวะเริ่มก่อตัวแล้วในทั้งสามภพด้วย!
หนึ่งก้านธูปผ่านไป
เฉินซีเดินทางเนิ่นนานนับตั้งแต่ออกจากทะเลทรายเนตรสวรรค์ จนในที่สุดก็มาถึงเมืองโบราณแห่งหนึ่งในทวีปดาราวีรบุรุษ อ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ครึ่งวัน และได้ข้อมูลมากมายอันทำให้เขาอดรู้สึกตกตะลึงในใจไม่ได้
ปรากฏว่านับตั้งแต่หายนะอุบัติขึ้น ทั้งสามภพก็กระสับกระส่ายวุ่นวาย โซ่ศักดิ์สิทธิ์โปรยลงจากสวรรค์ พันธนาการทวยเทพทั่วสามภพ ทำให้ผู้บ่มเพาะทั้งหลายสั่นสะท้านด้วยความกลัว
ชั่วขณะนั้น ทั่วทั้งสามภพกระสับกระส่าย ไม่มีที่ใดสงบสุข หายนะบังเกิดจากสงคราม ผู้คนฆ่าฟันหนีเตลิด… เกิดขึ้นตาม ๆ กัน
ไม่มีผู้ใดทราบว่า ทวยเทพทั้งมวลในทั้งสามภพถูกผนึกหมดสิ้นแล้วหรือไม่ แต่ทุกคนก็ได้ประจักษ์อำนาจหายนะซึ่งบังเกิดในสามภพ เห็นความน่าสะพรึงกลัวยามทวยเทพถูกพันธนาการจับตัวอย่างถ้วนทั่ว
เรื่องน่าตกใจเป็นที่สุดคือ กระทั่งพิภพเบญจขันธ์ของตำหนักเต๋าหนี่หวายังถูกผนึกปิดตาย สูญหายไปในหายนะ ไร้ข่าวคราวใด ๆ และไม่อาจทราบได้ว่าสุดยอดนิกายนี้ยังอยู่หรือไม่
มันเป็นหนึ่งในสามสุดยอดนิกาย จะสูญสิ้นในหายนะไปเช่นนี้หรือ? เฉินซีตกตะลึง รู้สึกคลับคล้ายว่าเรื่องนี้ไม่มีทางธรรมดาเช่นที่รู้
เพราะถึงอย่างไร ตำหนักเต๋าหนี่หวาก็เป็นตัวตนอันทัดเทียมเขาเทพพยากรณ์และนิกายอำนาจเทวะ ดังนั้นมีหรือมันจะถูกถล่มราบด้วยหายนะเช่นนั้น?
แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เฉินซีตระหนักชัดเช่นกัน ว่าอำนาจหายนะที่นิกายอำนาจเทวะวางแผนก่อขึ้นล่วงหน้านี้น่าสะพรึงกลัวเพียงใด มันทำให้ตำหนักเต๋าหนี่หวาไร้ทางเลือกนอกจากเลือกปิดตัวลงหลบเลี่ยง
ขณะเดียวกัน เขาเทพพยากรณ์ไม่ได้ทำเช่นกันหรือ?
“นิกายอำนาจเทวะเริ่มกวาดล้างทั้งสามภพแล้ว ขณะนี้ในหมู่เจ็ดสุดยอดสำนักศึกษา เจ็ดตระกูลโบราณอันยิ่งใหญ่ กระทั่งอำนาจของศาลเซียน… ก็ถูกนิกายอำนาจเทวะปกครองไปบางส่วน!” ชายชราคนหนึ่งรำพึงอยู่ในร้านอาหาร “หายนะยิ่งใหญ่นี้ เกิดขึ้นจากอำนาจสวรรค์ กระทั่งเทพยังไม่อาจฝืนต้าน แต่พูดเทียบกันแล้ว แผนการของนิกายอำนาจเทวะน่ากลัวเป็นที่สุด โชคไม่ดี ผู้คนในโลกาขาดความระแวดระวัง น่าเสียดายอย่างแท้จริง! ในภายหน้า สามภพคงอยู่ในกำมือนิกายอำนาจเทวะอย่างสมบูรณ์…”
เฉินซีตกตะลึงในใจ ว่าแล้วเชียว นิกายอำนาจเทวะซึ่งบากบั่นพัฒนาตนเองอย่างลับ ๆ ในที่สุดก็เริ่มเผยเขี้ยวเล็บอันดุร้ายในหายนะนี้
ปัจจุบัน ศิษย์พี่เหมิงซิงเหอ จ้าวไท่ฉือ ฉือฉางเซิง อ๋าวจิ่วหุย หัวเจี้ยนคง และคนอื่น ๆ ต่างมุ่งหน้าสู่เขตแดนโลกาวินาศ สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าขณะนี้จึงเหมือนกลุ่มคนไร้ผู้นำ ต้องเกิดเหตุการณ์มากมายขึ้นในระหว่างหายนะนี้แน่ ๆ… เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ เฉินซีก็เลิกลังเล รีบร้อนออกเดินทางสู่เมืองเซียนสัประยุทธ์ทันที
สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าไม่เหมือนกองกำลังอื่น ๆ การกระจายอำนาจภายในซับซ้อนถึงขีดสุด มีทั้งกำลังจากเจ็ดตระกูลโบราณ ภพพุทธองค์ ภพวิหคอมตะ ภพมังกร และอื่น ๆ ปะปนในเหล่าอาจารย์และศิษย์ ด้วยหายนะนี้และการที่เหมิงซิงเหอ รวมถึงผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของสำนักศึกษาไม่อยู่ นิกายอำนาจเทวะจะฉวยโอกาสนี้แทรกซึมสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเป็นแน่!
นี่เป็นสิ่งที่ชัดเจนอย่างยิ่ง นอกจากนั้น สิ่งที่เฉินซีกังวลที่สุดก็คือ หากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าตกอยู่ในความโกลาหลภายในก่อนที่นิกายอำนาจเทวะจะทันมาสร้างปัญหา นั่นจะเป็นสถานการณ์ที่รับมือยากโดยแท้จริง
เพราะถึงอย่างไร คณะของเหมิงซิงเหอก็ออกเดินทางกันแล้ว จึงไม่อาจเลี่ยงได้ว่าผู้อื่นจะเกิดเจตนาร้าย คิดชิงตำแหน่งเจ้าสำนักเพื่อยึดครองสำนักศึกษา
นี่คือสำนักศึกษาอันดับหนึ่งในภพเซียน หากตกอยู่ในกำมือผู้อื่น ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเกินจินตนาการ!
…
เมืองเซียนสัประยุทธ์
ยังคงยิ่งใหญ่ คลาคล่ำด้วยผู้คนเข้าออก รุ่งเรืองพลุกพล่านเฉกเช่นเคย
แต่เมื่อเฉินซีมาถึง เขาก็ยังสัมผัสเค้าลางผิดปกติ และสัมผัสบรรยากาศความตื่นตระหนก กระวนกระวายไร้ความสงบสุขในใจ
นอกจากข่าวลือแย่ ๆ แพร่สะพัด คลื่นใต้น้ำก็ยังกระหน่ำหลากอยู่ในเมืองเซียนสัประยุทธ์ขณะนี้ เปี่ยมล้นด้วยจิตสังหาร ทำให้เมืองทั้งเมืองเต็มไปด้วยบรรยากาศสงบก่อนพายุเยือน
แน่นอน ผู้คนทั่วไปไม่สามารถตรวจจับบรรยากาศนี้ได้ มีเพียงตัวตนอย่างเฉินซีที่สามารถสังเกตร่องรอยบางอย่างท่ามกลางความเป็นไปในโลกหล้าได้เท่านั้น
หลังเข้าเมืองมา เฉินซีก็ก้าวเดินไม่หยุดพัก ฟังข่าวลือและเสียงหารือต่าง ๆ นานาระหว่างทาง ซึ่งก็ทำให้หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง
“ป่วนไปหมดแล้ว สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็รวนเรไม่ต่างกัน เจ้าสำนักเหมิงซิงเหอเพิ่งจากไปได้ไม่นาน แต่ตระกูลจงหลี ตระกูลว่านฉี และตระกูลเจี้ยงก็ร่วมมือกันเผยเจตนาเลือกเจ้าสำนักคนใหม่ นี่ไม่ใช่กบฏหรืออย่างไร?”
“จะไม่มีใครทำอะไรเลยหรือ?”
“เฮ้อ กระทั่งอาจารย์ในสำนักศึกษายังยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ แล้วใครจะทำอะไรได้?”
“แล้วศิษย์เอกหัวเจี้ยนคงของเจ้าสำนักล่ะ?”
“ไม่อยู่แล้ว ไม่เพียงแค่หัวเจี้ยนคงเท่านั้น กระทั่งบรรพชนแห่งภพมังกรและวิหคอมตะในฝ่ายสงวนคัมภีร์ยังสาบสูญไปด้วย ขณะนี้มีข่าวลือว่าพวกเขาถูกล่ามตรวน ลากไปไว้ในเขตแดนโลกาวินาศแล้ว!”
“ข้าได้ยินมาว่า ศิษย์สายในอันดับหนึ่งเฉินซีได้มรดกจักรพรรดิเต๋ามาถูกหรือไม่? หากจะมีผู้ใดสานต่อตำแหน่งเจ้าสำนัก มันก็ต้องเป็นเฉินซีสิ”
“เฉินซี? เขาโดดเด่นในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์จริง ๆ แต่น่าเสียดายที่เขายังอายุน้อย และอยู่แค่ในขอบเขตเซียนปราชญ์ เขาจะไปสู้อะไรพวกคนเฒ่าในสำนักศึกษาได้อย่างไร?”
“ไม่ถูกสิ ข้าได้ยินว่าเขาพัฒนาสู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นนานแล้ว ไม่กี่วันก่อนมีกระทั่งข่าวลือว่าเขามีส่วนร่วมในศึกทวยเทพ ณ ทะเลทรายเนตรสวรรค์ด้วยนะ”
“เฮ้อ เขาขึ้นเป็นขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นแล้วอย่างไร? ขณะนี้ทวยเทพไม่หลงเหลือในสามภพแล้ว ราชันเซียนเป็นตัวตนสูงสุด หากไม่แข็งแกร่งระดับขอบเขตราชันเซียน ต่อให้เขาได้ตำแหน่งเจ้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าไป แล้วเขาจะทำให้คนยอมรับตำแหน่งของเขาได้อย่างไร? คงจะจัดการไม่หวาดไม่ไหวเสียมากกว่า!”
ระหว่างทาง เฉินซีได้ยินเสียงซุบซิบทั้งหมดนี้ แต่ก็ไม่ได้กระทบกระเทือนความคิดของเขาอย่างจริงจังนัก ในทางกลับกัน เขารู้สึกกังวลต่อสถานการณ์ของสำนักศึกษาขึ้นมาเล็กน้อย
ทั้งหมดนี้พิสูจน์ว่าการคาดเดาของเขาถูกแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกโชคดีคือ จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้ยินข่าวลือใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่นิกายอำนาจเทวะลงมือกับสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
หืม? เฉินซีคลับคล้ายสังเกตเห็นบางอย่าง แล้วหยุดการเคลื่อนไหวเฉียบพลัน ขณะที่ประกายอัสนีวูบไหวเย็นเยียบพาดผ่านดวงตา
บนถนนมีผู้คนมากมาย คลาคล่ำด้วยคนเดินเท้าและรถม้า แต่ขณะนี้ สรรพสิ่งกลับเงียบสงัดลงกะทันหัน ถนนทั้งสายเหมือนถูกตัดขาดจากฟ้าดิน เงียบสงัดว่างเปล่า ผู้คนบนถนนถูกอำนาจไร้ลักษณ์บางอย่างเคลื่อนออกไป เผยพื้นที่ว่างเปล่าขึ้น
คนเหล่านั้นไม่ได้ตระหนักรู้เลย และดูประหลาดอย่างยิ่ง
แต่เฉินซีตระหนักชัดเจนว่านี่คือความสามารถของราชันเซียนผู้ควบคุมปราณกาลเวลาและมิติ แปรเปลี่ยนฟ้าดินในบริเวณนี้อย่างเฉียบพลัน!
“แสดงตัวเสีย!” สีหน้าของเฉินซีเยือกเย็นเรียบเฉย สายตาคมปลาบเช่นอัสนีจับตรงไปสู่ท้องนภาไกลออกไป
“เจ้าหนู เจ้าควรออกจากเมืองเซียนสัประยุทธ์ก่อนในยามนี้ มีบางอย่างที่เจ้าในขณะนี้ไม่อาจพัวพันได้” พร้อมด้วยเสียงอันทรงสง่า ร่างของสตรีผู้หนึ่งปรากฏขึ้นจากไกล ๆ นางสวมชุดคลุมหรูหราสีฟ้าดุจน้ำแข็ง ขณะที่สีหน้าของนางเรืองรองด้วยรัศมีแห่งปัญญา ใบหน้าขาวจิ้มลิ้มให้ความรู้สึกสูงส่งถือตัว
แม้นางจะยืนอยู่เฉย ๆ แต่กลับเหมือนมหาราชันมองลงมายังโลกหล้า ดูสูงส่งทรงพลัง ให้บรรยากาศหยิ่งทะนงทรงศักดิ์จากภายใน
เห็นได้ชัดว่านี่คือราชันเซียนผู้หนึ่ง!
“เจ้าเป็นใคร?” เฉินซีโพล่งขึ้น
ขณะนี้ บนถนนทั้งสายมีเพียงพวกเขาทั้งสอง ยืนเผชิญหน้ากันจากไกล ๆ ทำให้บรรยากาศเงียบงันทั่วทิศเผยเค้าจิตสังหารปกคลุมทั่วทิศทาง
“ข้าคือว่านฉีชิงจากตระกูลว่านฉี เจ้าคงไม่เคยได้ยินชื่อข้า แต่มันหาได้สำคัญไม่ เจ้าเข้าใจไว้ก็พอว่า ในเมื่อวันนี้ข้าอยู่ที่นี่ เจ้าต้องออกไปจากเมืองเซียนสัประยุทธ์เสีย มิเช่นนั้น ชีวิตเจ้าจะอยู่ในอันตราย” สตรีผู้นั้นกล่าวด้วยท่าทางสง่างามสูงส่ง น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับเผยความรู้สึกที่ไม่อาจโต้เถียงได้
“เจ้ามารอข้าอยู่แต่แรกหรือ?” เฉินซีขมวดคิ้ว เขาไม่รู้จักคนผู้นี้ แต่ตัดสินได้ราง ๆ ว่าว่านฉีชิงน่าจะเป็นตัวแทนของตระกูลว่านฉี หนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณ!
ยิ่งกว่านั้น เขาก็สงสัยว่าเหตุใด จู่ ๆ นางจึงมาปรากฏตัวขวางเขาเช่นนี้
“ถูกต้อง” ว่านฉีชิงไม่ได้ปฏิเสธ นางดูตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง แต่ทัศนคติเช่นนี้เองที่ทำให้นางดูกดดันบังคับสั่งกันอย่างยิ่ง
“เพราะเหตุใด?” เฉินซียังไม่ขยับเขยื้อน มีเพียงดวงตาที่สิ้นความอบอุ่น แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบเช่นน้ำแข็ง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกอื่นใด เนื่องจากพอเดาหนึ่งความเป็นไปได้ขึ้นมา
“รู้คำตอบอยู่แล้ว ไยจึงยังถาม? เจ้าหนู ความอดทนของข้ามีจำกัด หากยังยื้อซื้อเวลาต่อไป เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงตัดสินใจแทนเจ้า” ว่านฉีชิงกล่าวเสียงเรียบขณะเผยท่าทีเคร่งขรึมสูงศักดิ์ ดวงตานิ่งสงบดุจสายธาร เต็มเปี่ยมด้วยความเฉยเมย
“ฮ่า ๆ แค่เพราะตำแหน่งเจ้าสำนัก ถึงกับต้องส่งราชันเซียนหนึ่งคนมาขวางข้า ตระกูลว่านฉีของเจ้าเด็ดเดี่ยวจริงแท้ แต่หากตระกูลของเจ้าคิดว่าจะครองทุกอย่างได้ ก็อาจต้องผิดหวัง!” เฉินซียิ้มบาง ทว่ารอยยิ้มนั้นไม่มีอารมณ์ใด ๆ
“เจ้าหนู เจ้ายังเด็กเกินไป แค่การบ่มเพาะเล็กน้อยที่มี จะรับมือตัวตนทรงพลังได้สักกี่คนเชียว? หนนี้ ผู้ลงมือไม่ใช่เพียงตระกูลว่านฉีของข้าเสียหน่อย เห็นแก่เจ้าที่ฝึกฝนมาจนบัดนี้อย่างยากเย็น ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เลย มันไม่คุ้มกันหรอก” ว่านฉีชิงรำพึงเบา ๆ
“ข้าก็จะให้ข้อแนะนำเจ้าเช่นกัน ขณะนี้ทั้งสามภพตกอยู่ในหายนะ พวกเจ้าทั้งหลายไม่ไปสู้กับนิกายอำนาจเทวะ แต่กลับตั้งใจมาก่อปัญหาในถิ่นสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของข้า? มันต่างอะไรกับช่วยคนร้ายกระทำชั่ว?” สีหน้าของเฉินซีเคร่งขรึม รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
“เจ้าหนู เจ้ากำลังหงุดหงิด ข้ากล่าวอะไรไปยามนี้ก็คงไม่ฟังหรอก น่าเสียดาย! อัจฉริยะสะเทือนโลกากำลังจะสิ้นไปจากสามภพอีกคน…” ว่านฉีชิงรำพึงอีกครั้ง ทว่าเสียงอันกึกก้องกลางอากาศของนางไม่ทันสร่างซา จิตสังหารมหาศาลก็แผ่พล่านทั่วสารทิศ