บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 998: ตำหนักยมราช

ตอนที่ 998: ตำหนักยมราช

ตอนที่ 998: ตำหนักยมราช

…………………………………………………..

ตอนที่ 998: ตำหนักยมราช

“มีสิ่งผิดปกติ” ซูอี้เอ่ยพูด

เสียงยังคงดังก้อง ทว่าร่างของเขาพุ่งทะยานขึ้นไปบนอากาศพลางกวาดตามองดูรอบ ๆ แล้ว

ถึงแม้ภัยพิบัติเมฆาบนท้องฟ้ากว้างจะหายลับไปแล้ว ทว่าสายฟ้าพิฆาตโลหิตที่ปกคลุมไปทั่วซากปรักหักพังแห่งนี้กลับรวมตัวกันอยู่ทางนี้ราวกับถูกดึงดูด

สายฟ้าพิฆาตโลหิต แปลงมาจากพลังกฎเกณฑ์ของ ‘นรกสิบทิศ’ ที่แตกสลายไปแล้ว มันจึงเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว

ในช่วงเวลานับแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน วิญญาณชั่วร้ายกับภูตผีน่ากลัวที่ถูกกักขังอยู่ใน ‘นรกสิบทิศ’ เหล่านั้นกระจัดกระจายอยู่ในสายฟ้าพิฆาตโลหิต ดูดซับและกลืนกินพลังกฎเกณฑ์ที่อยู่ในนั้น

และนี่ก็คือสาเหตุที่ว่าเพราะเหตุใด ‘ซากโบราณฝังเทวะ’ จึงถูกมองว่าเป็นเขตต้องห้าม

ไม่ว่าจะเป็นสายฟ้าพิฆาตโลหิต หรือจะเป็นวิญญาณชั่วร้ายกับภูตผีน่ากลัวที่กระจัดกระจายอยู่ในเขตต้องห้ามแห่งนี้ ล้วนมีความน่ากลัวเหลือคณา สามารถฆ่าตัวตนขอบเขตจักรพรรดิได้อย่างง่ายดาย!

และเวลานี้ สายฟ้าพิฆาตโลหิตที่ปกคลุมในเขตต้องห้ามแห่งนี้กำลังรวมตัวกันอยู่ทางนี้อย่างบ้าคลั่ง เช่นนี้จึงผิดปกติเป็นอย่างมาก!

“ที่แท้ก็มาเอาเรื่องหวังถิงนั่นเอง ดูท่าแล้วหนทางแห่งยมราชที่เขาย่างก้าว ไม่เพียงแต่เป็นที่หวาดกลัวและเป็นที่เคียดแค้นของศัตรูเท่านั้น แม้กระทั่งวิญญาณชั่วกับวิญญาณน่ากลัวที่กระจัดกระจายอยู่ในเขตต้องห้ามแห่งนี้ก็ยังไม่อาจทนเห็นผู้แข็งกล้าของวิถี ‘ยมราช’ ปรากฏตัวบนโลกได้อีกครั้ง”

ซูอี้พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

ครืน!

สายฟ้าพิฆาตโลหิตกรูเข้ามาจากรอบสี่ทิศแปดหนทาง เสียงครืน ๆ ดังไม่หยุด

ชั่วขณะนี้ เย่ลั่ว ยมบาลสาว และผู้เฒ่าชุดนักพรตก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดนั้นเช่นกัน ยังอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งขึ้นมาในใจ

“พาศิษย์ของเจ้าออกไปจากที่ตรงนี้ก่อน ข้าจะเป็นผู้นำทางเอง”

ซูอี้ตัดสินใจอย่างรวดเร็วเฉียบขาด

ทันใด ผู้เฒ่าชุดนักพรตเดินมาข้างหน้า พาหวังถิงผู้เป็นศิษย์ตรงเข้าไปในเขตต้องห้ามแห่งนี้พร้อมกับพวกของซูอี้

สายฟ้าพิฆาตโลหิตพุ่งตรงเข้าใส่พวกของซูอี้ด้วยความบ้าคลั่งราวกับทะเลเพลิงที่เดือดพล่านตลอดทาง พวกมันตามติดราวกับเงาตามตัว

อีกทั้ง ระหว่างทางยังมีสายฟ้าพิฆาตโลหิตฟาดลงมาขัดขวางการเดินหน้าของพวกซูอี้

ฉึบ!

สายฟ้าพิฆาตโลหิตที่คล้ายกับกิ่งไม้แตกก้านพุ่งเข้าใส่ด้วยความถมึงทึง

ท้องนภาราวกับถูกฉีกจนขาดเป็นริ้ว ๆ ระลอกคลื่นแห่งพลังทำลายล้างทำให้ฟ้าดินถึงกับสะท้าน

ซูอี้ควงค้อนทุบเซียน กวาดไปกลางอากาศ สลายสายฟ้าพิฆาตโลหิตที่พุ่งเข้าใส่อย่างแรงจนไม่เหลือ

ทว่าสายฟ้าพิฆาตโลหิตเหล่านั้นกรูเข้ามาไม่หยุด ปิดกั้นหนทางข้างหน้าราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไร้เขตแดน

เห็นแล้วแทบคลั่ง

เย่ลั่วกับยมบาลสาวยังอดหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้

หากไม่ใช่เพราะมีซูอี้คอยนำทาง เมื่อเจอกับภัยพิบัติอันตรายร้ายแรงเช่นนี้ พวกเขาคงถอยหนีไปตั้งนานแล้ว

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เห็นชัด ๆ ว่าภัยพิบัติร้ายแรงนี้พุ่งตรงมายังหวังถิงศิษย์ข้า!”

ผู้เฒ่าในชุดนักพรตสีหน้าสับสน ตื่นตระหนกไม่หาย

“ยมราชสิบตำหนักเคยสะกดนรกสิบทิศไว้ในที่แห่งนี้ และบัดนี้หนทางแห่งยมราชปรากฏขึ้นในโลกอีกครั้ง เจอผลกระทบเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก”

ซูอี้พูดพลางพาทุกคนมุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลัง

ครืน!

สายฟ้าฟาดเสียงดังกึกก้อง แสงสีเลือดส่องสว่าง

เมื่อมองลงมาจากบนฟากฟ้า ซูอี้เปรียบเสมือนลิ่มแหลมทะลุทะลวงสายฟ้าพิฆาตโลหิตที่เดือดพล่านเบิกหนทางเข้าสู่เขตต้องห้าม

ระหว่างทาง มีวิญญาณชั่วมากมายที่ผุดออกมาจากสายฟ้าพิฆาตโลหิต ขัดขวางราวกับไม่กลัวตาย

ทำให้พวกเย่ลั่วพากันใจสั่นเพราะความตื่นกลัว รู้สึกราวกับบุกเข้าไปในนรกสีโลหิตอย่างแท้จริง ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยภัยพิบัติอันน่ากลัว

ทว่า เมื่อซูอี้กวัดแกว่งค้อนทุบเซียน วิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้นก็ถูกฆ่าทำลาย ตลอดทางที่ดูเหมือนจะอันตราย แท้จริงกลับไม่ได้รับอันตรายมากเท่าใดนัก

หลังจากนั้นครึ่งเค่อ

บนแผ่นดินอันไกลโพ้น พลันปรากฏภูเขาลูกใหญ่ตั้งตระหง่าน สูงจนเสียดเมฆ ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต

แผ่นดินในช่วงระยะพันจั้งที่อยู่ใกล้ภูเขาใหญ่ลูกนั้นเปรียบดังเขตแดนต้องห้าม สายฟ้าพิฆาตโลหิตจากรอบทิศทางไม่กล้าเข้าไปใกล้

และบนยอดภูเขาใหญ่ สามารถมองเห็นเค้าโครงตำหนักราง ๆ

“อาจารย์ นั่นคือสถานที่ใดกัน?”

เย่ลั่วถามด้วยความฉงน

ภูเขาใหญ่ลูกนั้นสูงตระหง่านราวกับเป็นสิ่งเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์กับแผ่นดินโลก พอมองไปทุกอย่างดูเล็กไปเสียหมด

“มองไม่ออกอีกหรือ นั่นก็คือ ‘ภูเขาหมื่นกระแส’ แห่งทะเลทุกข์! ในอดีตกาล มันเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของทะเลทุกข์ มีความสูงสามพันเก้าร้อยจั้ง สูงทะลุแผ่นฟ้า เกี่ยวข้องกับพลังแห่งแหล่งกำเนิดภูมิมืดมิด เคยค้ำพยุงจุดลึกที่สุดของทะเลทุกข์ราวกับเสาหลักปักสมุทร”

ซูอี้กล่าวโดยเร็ว “จนกระทั่งต่อมา เพื่อควบคุมนรกสิบทิศ ยมราชสิบตำหนักจึงร่วมมือกันเคลื่อนย้ายภูเขาลูกนี้มาตั้งอยู่ตรงนี้ตราบจนทุกวันนี้”

เขาเคลื่อนสายตามองไปที่ยอดเขาสูงแห่งนั้น “และตำหนักเทพแห่งนั้นก็คือพลับพลาที่ยมราชสิบตำหนักบุกเบิกขึ้นในครั้งนั้น ถือได้ว่าเป็น ‘ตำหนักยมราช’”

ทุกคนต่างก็ตะลึง

ภูเขาหมื่นกระแส!

ตำหนักยมราช!

เมื่อได้รู้เรื่องเหล่านี้แล้ว ดวงตาใสสว่างคู่นั้นของยมบาลสาวก็เกิดประกายซับซ้อนขึ้นมา

เมื่อครั้งบรรพกาล นางเคยต่อสู้กับดินแดนปรภพมาเป็นเวลานาน และรู้เช่นกันว่ายมราชสิบตำหนักเป็นขุมกำลังที่น่ากลัวเพียงใด

ยมราชแต่ละตำหนักต่างควบคุมกฎเกณฑ์มืดมิดอันสูงส่งที่ต่างกันไป หากว่าทั้งหมดร่วมมือกันสามารถผลักดันทั้งโลกได้!

ขณะที่พูดคุย ซูอี้พาทุกคนทลายสายฟ้าพิฆาตโลหิตที่เดือดพล่าน บุกไปถึงภูเขาหมื่นกระแสแล้ว

ทันใด ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงพลังกฎเกณฑ์ไร้รูปร่างที่ยิ่งใหญ่ หนักหน่วง โบราณ ซึ่งปกคลุมฟ้าดินในระยะพันจั้งรอบภูเขาหมื่นกระแส

และก็เป็นเพราะพลังกฎเกณฑ์นี้เองที่ขัดขวางสายฟ้าพิฆาตโลหิตจากรอบด้านไม่ให้เข้ามาใกล้

ทุกคนหันกลับไปมองราวกับยกหินออกจากอก

ฟ้าดินที่อยู่ห่างออกไป สายฟ้าพิฆาตโลหิตเดือดพล่านอย่างไร้ขอบเขต ราวกับมหาสมุทรใหญ่ไร้เขตแดน เงาวิญญาณชั่วร้ายน่ากลัวจำนวนนับไม่ถ้วนผลุบโผล่อยู่ในสายฟ้าพิฆาตโลหิต ยั้วเยี้ย ขวักไขว่

เพียงแค่มองดูจากไกล ๆ ก็รู้สึกขนหัวลุกหนังหัวชา พวกเขาไม่กล้านึกภาพเลยว่าหากถูกจับเข้าไปในนั้น จุดจบที่พบเจอจะเป็นความสิ้นหวังเช่นใด

“ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะมีใต้เท้าซูอยู่ด้วย พวกข้าสองคนศิษย์อาจารย์เกรงจะไม่รอดเสียแล้ว…”

ผู้เฒ่าชุดนักพรตกลืนน้ำลายฝืดคอ มือเท้าเย็นยะเยือก ยังคงรู้สึกกลัวไม่หาย

แข็งแกร่งดังขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำแล้วอย่างไร?

หากถูกจับอยู่ในมหาสมุทรแห่งสายฟ้าพิฆาตโลหิต ต้องตายไม่มีรอดอย่างแน่นอน!

เย่ลั่วกับยมบาลก็รู้สึกหนาวสะท้านในใจเป็นพัก ๆ เช่นกัน

จริงดังว่า นี่ไม่ใช่ภัยพิบัติธรรมดาทั่วไปแล้ว แต่เป็นภัยพิบัติใหญ่ที่คล้ายกับวันสุดท้ายของโลก พวกเขาอดสงสัยไม่ได้ว่า หากเป็นผู้สามารถขอบเขตสานพันธะลึกล้ำมา ก็คงยากนักจะฝ่าวงล้อมออกมาได้!

“ซากโบราณฝังเทวะแห่งนี้เป็นเขตต้องห้ามที่อันตรายที่สุด ครั้งนั้นตอนที่ข้ายิ่งใหญ่สูงสุดก็เคยถูกขังอยู่ในที่แห่งนี้เป็นเวลานานถึงสามปีเช่นกัน ดังนั้นไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้ามาได้”

ซูอี้พลิกมือเก็บค้อนทุบเซียน

สมบัติชิ้นนี้สืบทอดมาจากเชื้อสายของยามบอกเวลา และเชื้อสายยามบอกเวลาก็เหมือนกับเชื้อสายของผู้คุมรัตติกาล เป็นพลังสองกลุ่มที่ลึกลับที่สุดในดินแดนปรภพเมื่อครั้งบรรพกาล

ครั้งมายังพิภพยมราชฝังวิถีได้ ต้องยกเป็นความดีความชอบของค้อนทุบเซียนที่สำแดงอานุภาพออกมาในช่วงเวลาสำคัญ ๆ

“พวกเราไปพักผ่อนกันที่ตำหนักยมราชกันชั่วคราว”

ซูอี้พาคนทั้งหมดมุ่งตรงไปยังยอดเขาสูง

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ทุกคนจึงมองเห็นภูเขาหมื่นกระแสอันสูงตระหง่าน มันปกคลุมด้วยพลังกฎเกณฑ์ไร้รูปร่าง และรู้สึกได้ถึงมนต์เสน่ห์ซึ่งไม่มีวันสั่นคลอนได้อย่างชัดเจน

และที่บนยอดเขา ตำหนักทรงโบราณตั้งตระหง่าน ราวกับดินแดนที่พำนักของเหล่าเทพเซียน มีความงดงามยิ่ง

ในช่วงเวลาอันเนิ่นนาน รอบด้านของตำหนักหลังนี้เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา ลานวิถีที่หน้าตำหนักล้มระเนระนาดกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว

เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้ ทุกคนต่างก็มองไปที่ด้านบนของตำหนักใหญ่

ตรงนั้นสลักอักษรภาษามืดมิดโบราณตัวโต ๆ ว่า ‘ตำหนักยมราช’!

สองข้างของตำหนักใหญ่ หินรูปปั้นสัตว์เทวะสองตนที่นั่งอยู่ตรงนั้นแต่เดิมที แตกหักพังทลายไปหมดแล้ว เต็มไปด้วยความรกร้าง

ประตูเหล็กซึ่งมีความสูงถึงสิบแปดจั้งของตำหนักใหญ่ปิดสนิท บนประตูมีภาพวาดของนรกแต่ละแห่งที่อยู่ในความควบคุมของยมราชสิบตำหนัก

ถึงแม้ภาพวาดนั้นจะถูกกัดเซาะและทรุดโทรมไปตามกาลเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน แต่ก็ยังคงแยกแยะภาพของยมราชทั้งสิบอย่างราชาแม่น้ำฉู่ ยมราชไท่ซาน และตัวตนอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน

“เมื่อครั้งบรรพกาล ยมราชแต่ละตำหนักล้วนควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุดแต่ละข้อในภูมิมืดมิด พวกเขามีระดับวิถีล้ำลึกยากจะหยั่งถึง ครั้งนั้น ภายใต้การนำของมหาเทพมืดมิด พวกเขาร่วมมือกับกรมหกวิถีเพื่อจัดการข้า ทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส จิตวิญญาณเกือบจะดับสลาย สุดท้ายถูกกักขังอยู่ในเมืองมรณะ”

ใบหน้าสวยสดของยมบาลสาวดูสับสนขึ้นมา “น่าเสียดายที่เวลาผ่านพ้นไปแล้ว จนถึงตอนนี้ คู่ต่อสู้ในครั้งนั้นลาลับไปจากโลกเสียแล้ว…”

สายตาของเย่ลั่วประหลาดไป

ผู้เฒ่าชุดนักพรตครุ่นคิด

“ถึงแม้ตอนนั้นเจ้าจะถูกกักขัง แต่สุดท้ายก็ยังมีชีวิตอยู่มาได้ เทียบกันแล้ว ควรจะดีใจมากกว่า”

ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ

ยมบาลสาวขมวดคิ้วดำขลับเล็กน้อย ไม่ได้โต้เถียงอันใด

ซูอี้เดินไปข้างหน้า จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือกดอากาศเบา ๆ

เพียงแต่ เมื่อเห็นสภาพภายในตำหนักใหญ่แล้ว พวกของซูอี้พากันตกตะลึง

ภายในตำหนักที่กว้างขวางโอ่อ่ามีแต่ความว่างเปล่า บนผนังกำแพงสี่ด้าน มีตะเกียงฝังติดเป็นแนว

และใจกลางตำหนักใหญ่ มีกองไฟที่กำลังลุกโชติช่วงอยู่กองหนึ่ง

ผู้ชายรัดผมด้วยเกล้าดารา สวมชุดยาวสีน้ำเงินนั่งอยู่กับพื้น ในมือถือดาบวิถี บนดาบวิถีเสียบด้วยปีกสัตว์ที่ถูกย่างจนผิวเกรียมน้ำมันเยิ้ม

กลิ่นหอมของเนื้อย่างโชยออกมาเป็นพัก ๆ ตลบอบอวลอยู่ในตำหนักใหญ่ที่ว่างเปล่าแห่งนี้

ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ผิดไปจากความคาดหมาย

ที่นี่คือจุดลึกสุดของซากโบราณฝังเทวะ นับแต่บรรพกาลมาถูกผู้ฝึกตนในโลกมองว่าเป็นสถานที่ต้องห้าม และตำหนักยมราชบนภูเขาหมื่นกระแสแห่งนี้ ก็ยังเป็นพลับพลาที่ยมราชสิบตำหนักบุกเบิกไว้เมื่ออดีตกาลนานมาแล้วอีกด้วย!

แต่ใครกันจะคาดคิดว่าเวลาเช่นนี้กลับยังมีคนมาก่อกองไฟอยู่ในตำหนักยมราช ทั้งยังย่างเนื้อด้วยความสบายใจเฉิบเสียด้วย?

“อาจารย์ คนผู้นี้มีพิรุธ“

สายตาของเย่ลั่วเป็นประกาย รู้สึกได้อย่างแม่นยำว่าผู้ชายรัดผมด้วยเกล้าชุดสีน้ำเงินคนนี้ไม่ธรรมดา ถึงแม้กลิ่นอายพลังบนตัวจะราบเรียบเจือจาง ทว่าให้ความรู้สึกอันตรายอย่างที่สุด

เมื่อยมบาลมองเห็นเกล้าดาราบนศีรษะผู้ชายในชุดสีน้ำเงินแล้ว นางก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ดวงตาสดใสเย้ายวนคู่นั้นหรี่ลง

เกล้าดารานั้นราวกับหยกขาวที่ได้รับการขัดเกลา ส่วนตรงกลางที่อยู่ใกล้กับหน้าผากสลักลายรูปดอกบัว เป็นสีเขียวอมน้ำเงินเหมือนจริงมาก

หากพิจารณาดูให้ละเอียด ภายในรูปดอกบัวที่มีขนาดประมาณสามชุ่นนั้น มีแสงเทวะปกคลุม ราวกับมีดาวดาราและโลกภูมินับไม่ถ้วนรวมอยู่ในนั้น!

เกล้าดอกบัวเมฆดารา!

เมื่อนึกขึ้นได้ในจุดนี้ ยมบาลก็สะดุ้งขึ้นในใจ ตัวตนลึกลับคนนี้ เหตุใดจึงข้ามดวงดาราอันไร้ขอบเขตมายังดินแดนแห่งทะเลทุกข์มืดมิดนี้ได้?

“สหายเต๋า คนผู้นี้มีที่มาไม่ธรรมดา และอันตรายอย่างยิ่ง พวกเราควรรีบไปจากที่นี่โดยเร็วจะดีกว่า”

ยมบาลสาวรีบส่งกระแสปราณไปยังซูอี้

แต่ชายหนุ่มกลับนิ่งเงียบ เขาเบนสายตามองไปที่ปีกสัตว์ย่างที่เสียบอยู่บนดาบวิถีในมือผู้ชายชุดสีน้ำเงินคนนั้น สีหน้าเย็นยะเยือกลงไปทีละน้อย

เขารู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ดูเหมือนว่าไก่แจ้เฒ่าจะถูกผู้ชายชุดสีน้ำเงินคนนี้ฆ่าตายเสียแล้ว แม้กระทั่งร่างวิถีของไก่แจ้เฒ่าก็ดูเหมือนจะกลายเป็นอาหารในปากของคน ๆ นี้ไปด้วยเช่นกัน!

……….

บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]

บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset